รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 371 มายมิ้นท์ตาบอด
พอผู้ช่วยเหมันตร์เห็นว่าคำพูดของตัวเองได้ถ่ายทอดออกไปแล้ว ก็เข็นเปปเปอร์ไปที่ห้องพักผู้ป่วยข้าง ๆ เลย และปล่อยให้ลาเต้ค่อยๆ ครุ่นคิดอยู่ที่นี่ไป
ลาเต้ครุ่นคิดไปประมาณสองนาทีถึงจะตั้งสติกลับมาได้ แต่ตรงหน้าก็ไม่มีเสียงของพวกเปปเปอร์อยู่แล้ว
“เฮี้ย!” ลาเต้กระทืบเท้าขึ้นมา
ไอ้เปปเปอร์นี่ช่างไร้ยางอายจริง ๆ เมื่อกลางวันก็บอกให้ยาหยีย้ายโรงพยาบาล พอยาหยีย้ายไม่ได้ ตัวเขาก็ย้ายมาซะเอง
หน้าด้านขนาดนี้ ช่างทำให้คนรังเกียจมากจริง ๆ!
ลาเต้โกรธจนตัวสั่นไปทั้งตัว แต่ก็ทำอะไรไม่ได้
ในเมื่อเรื่องมันเป็นแบบนี้แล้ว เขาจะทำอะไรได้อีก?
คงจะไปไล่เปปเปอร์ไปไม่ได้หรอกมั้ง?
ก่อนอื่นที่นี่ไม่ใช่โรงพยาบาลของเขา และที่สำคัญเขาก็ไม่มีความสามารถที่จะไปไล่เปปเปอร์ได้จริง ๆ
สิ่งเดียวที่เขาสามารถทำได้ในตอนนี้ก็คือ สั่งพยาบาลพิเศษไว้ว่าหลังจากที่เขาออกไปแล้ว ให้พยาบาลพิเศษอย่าเปิดประตูให้เปปเปอร์ แล้วก็อย่าให้โอกาสเปปเปอร์มาใกล้ชิดมายมิ้นท์เด็ดขาด
เมื่อคิดได้อย่างนี้แล้ว ลาเต้ก็ลุกขึ้นมา แล้วก็เข้าไปในห้องพักผู้ป่วยอย่างรวดเร็ว
พอเห็นพยาบาลพิเศษรับประกันแล้วรับประกันอีกว่านอกจากพยาบาลแล้วจะไม่ให้ใครเข้ามาเลย ถึงได้จากไปอย่างไว้วางใจ
หลังจากที่เขาจากไปแล้วไม่นาน เปปเปอร์ที่เปลี่ยนเป็นชุดผู้ป่วยของโรงพยาบาลนี้แล้ว ก็ให้ผู้ช่วยเหมันตร์เข็นตัวเองมาถึงหน้าประตูห้องพักผู้ป่วยของมายมิ้นท์
ผู้ช่วยเหมันตร์ยกมือขึ้นมาเคาะประตูเล็กน้อย
พยาบาลพิเศษเดินมาที่ประตู แล้วมองผ่านกระจกใสของประตู แล้วสบตาเข้ากับผู้ช่วยเหมันตร์ “พวกคุณเป็นใคร?”
“สวัสดีครับ ผมชื่อเหมันตร์ เจ้านายของผมกับคุณมายมิ้นท์เป็นเอ่อ…….” ผู้ช่วยเหมันตร์ขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่รู้ว่าจะบรรยายสถานะของเปปเปอร์ออกไปยังไง
จะพูดว่าเป็นสามีเก่า ประธานเปปเปอร์ก็ต้องไม่พอใจแน่ ๆ
พูดว่าเป็นแฟน มันก็ไม่ใช่
จะพูดว่าเป็นเพื่อน……
คุณมายมิ้นท์จะยอมรับประธานเปปเปอร์เป็นเพื่อนเหรอ? คิดว่าน่าจะไม่นะ!
แล้วอีกอย่าง ประธานเปปเปอร์ก็คงจะไม่ได้อยากจะเป็นเพื่อนอะไรกับคุณมายมิ้นท์หรอก เพราะฉะนั้นคำสรรพนามนี้มัน……
ในตอนที่ผู้ช่วยเหมันตร์กำลังจะเอาเรื่องนี้โยนให้กับเปปเปอร์ ให้เปปเปอร์คิดคำสรรพนามให้ตัวเองขึ้นมาอันหนึ่งนั้น
จู่ ๆ พยาบาลพิเศษที่อยู่ประตูก็มีท่าทีระแวดระวังขึ้นมา “ชื่อเหมันตร์เหรอ? เจ้านายคุณนามสกุลนวบดินทร์ใช่ไหม?”
“ใช่ คุณรู้ได้ยังไงกัน?” ผู้ช่วยเหมันตร์รู้สึกแปลกใจ
พยาบาลพิเศษสะบัดมือขึ้นมาติด ๆ กัน “ไป พวกคุณไปเลย ฉันไม่มีทางเปิดประตูให้พวกคุณแน่ คุณลาเต้สั่งไว้แล้ว ถ้าพวกคุณมา ก็ให้ขวางพวกคุณไว้นอกประตูเลย นอกจากหมอกับพยาบาลแล้ว ห้ามปล่อยให้ใครเข้ามาเด็ดขาด เพราะฉะนั้นพวกคุณรีบไปเถอะ”
พอพูดเรื่องพวกนี้เสร็จ พยาบาลพิเศษก็หมุนตัวเดินไปจากประตูเลย
ผู้ช่วยเหมันตร์กับเปปเปอร์หันหน้ามามองสบตากัน
ยังไงเปปเปอร์ก็คิดไม่ถึง ว่าลาเต้จะออกคำสั่งแบบนี้ไว้กับพยาบาลพิเศษไว้
ชั่วขณะหนึ่ง สีหน้าจึงดูแย่ลงเล็กน้อย
ผู้ช่วยเหมันตร์ลูบจมูกเล็กน้อยแล้วถามขึ้นว่า “ประธานเปปเปอร์ครับ หรือไม่พวกเรากลับกันก่อนดีไหมครับ”
“ไม่ต้อง!” เปปเปอร์ยกมือขึ้นมาเล็กน้อย
ในเมื่อเขามาแล้ว ทำไมจะต้องไปด้วย?
“ไป ไปเรียกพยาบาลมาคนหนึ่ง” เปปเปอร์หรี่ตาลงออกคำสั่งไป
ไหนบอกว่าขอแค่เป็นบุคลากรทางการแพทย์ก็จะเปิดประตูให้ไม่ใช่เหรอ?
ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นเขาก็จะทำให้ลาเต้สมปรารถนาสักหน่อย
ผู้ช่วยเหมันตร์ตาเป็นประกายขึ้นมา แล้วก็เข้าใจความหมายของเปปเปอร์ขึ้นมาทันที จึงปล่อยมือจากที่จับรถเข็น แล้วก็ไปตามพยาบาลเลย
ไม่นาน พยาบาลก็มา
ผู้ช่วยเหมันตร์เคาะประตูอีกครั้ง
พอพยาบาลพิเศษมาถึงหน้าประตู แล้วเห็นหน้าผู้ช่วยเหมันตร์อีกครั้ง ท่าทีก็แย่ลงทันที และเตรียมจะเดินกลับไป
และในเวลานี้ ผู้ช่วยเหมันตร์ก็ลากพยาบาลมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง
แล้วจ้องมองพยาบาลพิเศษไป พยาบาลพิเศษก็อึ้งไปเล็กน้อย และทำอะไรไม่ถูกขึ้นมาทันที
เพราะฉะนั้น ตอนนี้เธอจะเปิดหรือไม่เปิดล่ะ?
ลาเต้เคยพูดไว้แล้วว่า พอมีบุคลากรทางการแพทย์มาก็ให้เปิด
แต่ถ้าเปิดประตูแล้ว สองคนนั้นก็จะต้องตามเข้ามาแน่……
พยาบาลพิเศษเกาหัวเล็กน้อย ทั้งตัวลังเลไม่หยุด
ที่นอกประตู ผู้ช่วยเหมันตร์เห็นว่าพยาบาลพิเศษยังไม่เปิดประตู รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไปเล็กน้อย แล้วพูดเสียงขรึมขึ้นว่า “พยาบาลก็มาแล้วยังไม่เปิดประตูอีกเหรอ? พยาบาลเขามาตรวจร่างกายให้คุณมายมิ้นท์ ถ้าคุณยังไม่เปิดประตูอีกเดี๋ยวเสียเวลาตรวจร่างกายไป ถ้าเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาคุณจะรับผิดชอบไหวเหรอ?”
เหมือนมีภูเขาใหญ่ลูกใหญ่มาทับอยู่บนตัวพยาบาลพิเศษ แล้วพยาบาลพิเศษก็ไม่ลังเลอีกต่อไป และรีบเปิดประตูออกทันที
ล้อเล่นซิ ถ้าเกิดเรื่องขึ้นมา เธอจะไปรับผิดชอบไหวได้ยังไง เพราะฉะนั้นยังไงก็ต้องให้พวกเขาเข้ามาแล้วล่ะ
ถ้าพรุ่งนี้คุณลาเต้ถามขึ้นมา เธอก็บอกว่าพวกเขาไม่เคยเข้ามาก็พอแล้ว
พอประตูเปิดออก พยาบาลพิเศษก็ถอยไปอยู่อีกข้างหนึ่ง
ผู้ช่วยเหมันตร์เข็นเปปเปอร์เข้ามา ในตอนที่เดินผ่านพยาบาลพิเศษนั้น ก็ไม่ลืมที่จะชื่นชมขึ้นว่า “ถือได้ว่าคุณรู้ตัวว่าควรจะทำตัวอย่างไง”
เหอะ เหอะ
พยาบาลพิเศษมองตาขาวอยู่ในใจ
เธอเป็นคนอยากรู้ว่าควรทำตัวอย่างไรเหรอ?
ทั้ง ๆ ที่เขากำลังข่มขู่เธออยู่ชัด ๆ!
แต่ก็ไม่กล้าพูดอะไร แล้วพยาบาลพิเศษก็ปิดประตูลง
ถึงแม้ว่าพยาบาลจะโดนผู้ช่วยเหมันตร์ดึงตัวมาเป็นกุญแจเปิดประตู แต่ว่าก็ยังตรวจดูอาการของมายมิ้นท์อย่างตั้งใจไปรอบหนึ่งแล้วค่อยออกไป
ผู้ช่วยเหมันตร์เองก็ออกไปพร้อมกัน ในตอนที่ออกไปนั้น ก็ได้พาตัวพยาบาลพิเศษออกไปด้วย
สำหรับไมโล เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น แล้วก็ได้นอนหลับไปบนโซฟาแล้ว ก็ไม่ได้กระทบอะไรต่อการอยู่ด้วยกันของประธานเปปเปอร์หกับคุณมายมิ้นท์
เปปเปอร์นั่งลงตรงข้างเตียงมายมิ้นท์ สายตาอ่อนโยนไปตกอยู่บนหน้ามายมิ้นท์
นี่เป็นครั้งแรกที่เขามาเฝ้าอยู่ข้างกายเธอ และจ้องมองเธออย่างเงียบสงบเช่นนี้
แล้วก็เป็นเพราะสถานการณ์แบบนี้ เธอถึงไม่กีดกันจากเขา หรือปฏิเสธเขา
เปปเปอร์ยื่นมือไป จับมือมายมิ้นท์ไว้ แล้วก้มหน้าลงไปจูบลงบนมือของเธอเบา ๆ ทีหนึ่ง
มือของเธอเย็นมาก เปปเปอร์ไม่ได้จับไว้นาน ก็เอาซุกกลับไปใต้ผ้าห่มแล้ว
จากนั้น เปปเปอร์ก็อยู่เป็นเพื่อนเธอไปเงียบ ๆ แบบนั้น และจ้องมองเธอไป
จนเลยหลังเที่ยงคืนไปแล้ว ถึงได้โดนผู้ช่วยเหมันตร์มาเรียกตัวกลับไป
ในเวลาหลายชั่วโมงที่อยู่เป็นเพื่อนมายมิ้นท์นั้น เปปเปอร์ได้ผ่อนคลายอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ในขณะเดียวกัน เขาเองก็รู้ดีว่า นี่เป็นเวลาที่เขาได้อยู่ใกล้ชิดเธอที่สุด
กลางคืน ค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา
มายมิ้นท์รู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในช่วงเวลาเที่ยงของวันที่สอง
ในตอนที่ตื่นขึ้นมานั้น ลาเต้กำลังพิงอยู่ข้าง ๆ เตียงผู้ป่วย หันหลังให้มายมิ้นท์ และคุยโทรศัพท์อยู่
พอได้ยินเสียงพึมพำลอยมา ตัวของลาเต้ก็อึ้งไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบวางโทรศัพท์ลง แล้วก็หันหน้ามามองอย่างดีใจ
พอเห็นตาของมายมิ้นท์ลืมขึ้นมา ก็ยิ้มอย่างดีใจขึ้น “ยาหยี ดีจังเลย ในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว!”
มายมิ้นท์กะพริบตาเล็กน้อย “เต้เหรอ?”
“ใช่ ผมเอง” ลาเต้ยื่นมือไป จับมือของเธอเอาไว้
มายมิ้นท์สัมผัสถึงตัวเขา ก็โล่งใจไปเปลาะหนึ่ง “เต้ นี่ฉันอยู่ที่ไหนเหรอ?”
“อยู่ในโรงพยาบาล” ลาเต้ถามขึ้นมาอย่างรู้สึกสงสัยเล็กน้อย
ห้องนี้แค่ดูก็รู้แล้วนี่ว่าเป็นห้องพักผู้ป่วยในโรงพยาบาล
แล้วทำไมเธอถึงดูไม่ออกล่ะว่าตัวเองอยู่ที่ไหน?
“อ๋อ ใช่แล้วยาหยี คุณรู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า เดี๋ยวผมไปตามหมอมาให้นะ” ลาเต้ไม่ได้คิดอะไรมาก แล้วเปลี่ยนเรื่องถามขึ้นมา
มายมิ้นท์นวดขมับเล็กน้อย “เวียนหัว แล้วก็รู้สึกอยากจะอวกด้วย ในสมองก็รู้สึกหนักอึ้งมาก เหมือนมีของอะไรกำลังแกว่งไปแกว่งมาอยู่”
พอได้ยินคำพูดนี้ ลาเต้ก็ตื่นเต้นขึ้นมาไม่หยุด แล้วก็รีบกดกริ่งฉุกเฉินบนหัวเตียง
มายมิ้นท์จ้องมองเพดานที่มืดสนิท แล้วก็ถามอย่างไม่เข้าใจขึ้นว่า “เต้ มันเป็นเวลากลางคืนแล้วนี่ ทำไมคุณถึงไม่เปิดไฟล่ะ?”
แคร๊ง!
แก้วที่อยู่ในมือลาเต้ลื่นไหลออกไปจากมือทันที แล้วตกลงไปบนพื้น จนแตกกระจายเป็นเสี่ยง ๆ น้ำในแก้วก็สาดไปทั่วพื้น จนทำให้ขากางเกงของเขาเปียกไปส่วนหนึ่งด้วย
แต่ว่าตอนนี้ลาเต้จะสนใจอะไรมากไม่ได้แล้ว เขารีบวิ่งมาที่ข้างเตียง แล้วก้มหน้าลงมองมายมิ้นท์ น้ำเสียงตกใจและสั่นเทา “ยาหยี เมื่อกี้คุณพูดว่าอะไรนะ ตอนนี้เป็นเวลากลางคืนเหรอ?”
“ใช่ค่ะ ทำไมเหรอคะ?” มายมิ้นท์กะพริบตาอย่างรู้สึกสงสัย
ลาเต้จ้องมองนัยน์ตาที่ล่องลอยไร้แสงระยิบระยับของเธอ สีหน้าก็ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นขาวซีดขึ้นมา แล้วยื่นมือไปโบกตรงหน้าเธอเล็กน้อย
มายมิ้นท์ไม่มีการตอบสนองอะไรเลย
ลาเต้ตกใจจนถอยหลังไปก้าวหนึ่ง ผ่านไปพักหนึ่งถึงมีน้ำเสียงกลับมาได้ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงขมขื่นขึ้นว่า “ยาหยี ตอนนี้มัน……เป็นเวลากลางวัน!”
บรรยากาศเงียบลงไปทันที
ความสงสัยบนใบหน้าของมายมิ้นท์ค่อย ๆ เด่นชัดขึ้นมา
ผ่านไปนาน เธอถึงยกมือขึ้นมาอยู่ตรงหน้าตัวเอง เพื่อที่จะดูว่าตกลงตัวเองตาบอดไปจริง ๆ หรือเปล่า
และแล้วพอโบกไปตั้งนาน เธอก็ไม่เห็นอะไรเลย สิ่งที่เห็น มีแต่ความมืดทั้งนั้น
ในวินาทีนั้น มายมิ้นท์ไม่มีทางที่จะโกหกตัวเองได้อีกแล้ว
เธอ มองไม่เห็นแล้วจริง ๆ!
ความหวาดกลัวของการตาบอดค่อย ๆ ถาโถมเข้ามาในใจ ร่างกายของมายมิ้นท์สั่นเทาขึ้นมา แล้วน้ำตาก็ไหลลงมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ตอนนี้เธอกลัวมากจริง ๆ และไม่รู้ว่าควรจะทำยังไงดี
ในเมื่อคนตาบอดคนหนึ่งจะไปทำอะไรได้?
มองไม่เห็นอะไรเลย แล้วจะไปพัฒนาเทนเดอร์กรุ๊ปได้ยังไง จะแก้แค้นอีกได้ยังไง?
แม้แต่ศัตรูมายืนอยู่ตรงหน้าแล้ว ก็ยังไม่รู้เลยมั้ง!