รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 373 ความเห็นใจของตำรวจ
เขาอยากจะรุกหน้าเข้าไปจับทั้งสองคนแยกออกจากกันมาก
แต่พอเห็นมายมิ้นท์ที่เดินออกมาจากโลกส่วนตัวได้ และมีรอยยิ้มโผล่ออกมา สุดท้ายก็ได้สะกดกลั้นความคิดนี้ทิ้งไป
ช่างเถอะ ให้เธอได้ดีใจบ้างก็ได้
แต่ก็แค่ครั้งนี้ครั้งเดียวเท่านั้น
ครั้งหน้า เขาจะต้องแยกพวกเขาออกแน่นอน
เปปเปอร์ครุ่นคิดไปและกำผลตรวจที่อยู่ในมือไว้แน่น
การันต์จ้องมองเขาที่มีท่าทางเต็มไปด้วยความหึงหวง มุมปากคลี่ออกเล็กน้อย
น่าสนุกจริง ๆ
เรื่องความรู้สึกนี้ เป็นเหมือนหนอนพิษอย่างหนึ่ง ที่จะทำให้คนเกิดอารมณ์เปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา ทำให้ตัวเองเปลี่ยนไปจนไม่เป็นตัวเอง
โชคยังดี ที่เขาไม่มีเรื่องปวดหัวทางด้านนี้
จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้นมา
นอกจากมายมิ้นท์แล้ว คนอื่น ๆ ก็หันไปมองที่หน้าประตู เป็นคนสองคนที่ใส่ชุดตำรวจอยู่ น่าจะมาเพราะเรื่องที่มายมิ้นท์โดนลอบทำร้าย
“ขอโทษด้วยครับที่มารบกวนทุกท่าน พวกเราได้ยินมาว่าคุณมายมิ้นท์ตื่นแล้ว ก็เลยตั้งใจมาสอบถามสถานการณ์กับคุณมายมิ้นท์สักหน่อย” ตำรวจคนแรกพูดขึ้นมา
มายมิ้นท์เปิดปากพูดขึ้นว่า “เชิญเข้ามาเถอะค่ะ”
นายตำรวจสองนายยกฝีเท้าเดินเข้ามา
เดินมาถึงข้างเตียงผู้ป่วย ตำรวจทั้งสองนายจ้องมองมายมิ้นท์ แววตาแฝงไว้ด้วยความเห็นใจเสี้ยวหนึ่ง
พวกเขาไม่เคยเห็นใครที่ซวยเท่าคุณมายมิ้นท์คนนี้มาก่อนเลย แค่ระยะเวลาสั้น ๆ ไม่กี่เดือน ก็มาแจ้งความตั้งหลายครั้ง จนได้คุ้นเคยสนิทสนมกับสถานีตำรวจของพวกเขาแล้ว
แน่นอนว่าคิดอยู่ในใจก็เป็นแค่ความคิดอยู่ในใจ แน่นอนว่าตำรวจทั้งสองนายไม่มีทางที่จะพูดคำพูดในใจออกมาต่อหน้ามายมิ้นท์แน่นอน แล้วกระแอมไอขึ้นมาคำหนึ่งแล้วถามขึ้นว่า “คุณมายมิ้นท์ครับ สำหรับเรื่องที่คุณโดนลอบทำร้าย เรื่องนี้คุณมีความคิดเห็นยังไงบ้างครับ และช่วงนี้เคยไปล่วงเกินใครมาบ้างหรือเปล่า?”
“ยาหยีของเราไม่มีทางไปล่วงเกินใครแน่นอน คนพวกนั้นต่างหากที่เป็นคนมาล่วงเกินยาหยีของเราเอง” ลาเต้ไม่พอใจคำพูดของตำรวจ จึงอดไม่ได้ที่จะพูดแทรกขึ้นมา
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้น “เต้ อย่าพูดไปเรื่อย”
ลาเต้เบ้ปากเล็กน้อย แล้วไม่พูดอะไรอีกเลย
มายมิ้นท์ถึงเปิดปากพูดขึ้น “ขอโทษนะคะ เพื่อนฉันอารมณ์ร้อนไปหน่อย อย่าถือสาเลยนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ พวกเราเข้าใจ” นายตำรวจทั้งสองสะบัดมือเล็กน้อย ท่าทางไม่ได้ใส่ใจซะเท่าไหร่
มายมิ้นท์ถามขึ้น “ที่จริงถ้าจะพูดว่าล่วงเกินใครละก็ คนที่ฉันล่วงเกินในช่วงนี้ ก็ค่อนข้างเยอะนะ มีสองสามีภรรยาตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ส้มเปรี้ยว แล้วก็ขนมผิง แต่ว่าส้มเปรี้ยวนั้นตัดออกไปได้เลย คงจะไม่ใช่หล่อน ส่วนอีกสามคนนั้น ฉันไม่รู้ว่าจะใช่หรือเปล่า เพราะว่าตอนนั้นฉันโดนตีจนสลบไปเลย ไม่เห็นว่าคนคนนั้นหน้าตาเป็นยังไง แม้แต่เป็นผู้หญิงหรือว่าผู้ชายก็ยังไม่รู้เลย”
ที่เธอสามารถตัดส้มเปรี้ยวออกไปนั้น มีความคิดเหมือนกับกับเปปเปอร์เลย
อย่างแรกส้มเปรี้ยวโดนควบคุมตัวไว้แล้ว ไม่มีทางที่จะลงมือได้ ถึงจะหาคนมาลงมือ ก็คงจะต้องเอาเธอให้ตายแน่นอน ทำไมถึงแค่ตีหัวเธอและทำให้แขนเธอบาดเจ็บล่ะ?
เพราะฉะนั้นนี่มันไม่ใช่สไตล์การกระทำของส้มเปรี้ยวเลย
สำหรับคำตอบของมายมิ้นท์ ตำรวจทั้งสองนายไม่ได้รู้สึกสงสัยเลย
พวกเขาเห็นภาพเหตุการณ์ที่เธอโดนตีจนสลบแล้ว เธอได้หมดสติไปทันที และมองไม่เห็นหน้าคู่กรณีจริง ๆ
“คนที่ลอบทำร้ายคุณมายมิ้นท์ เป็นผู้หญิงคนหนึ่งครับ” นายตำรวจนายหนึ่งพูดขึ้นมา
มายมิ้นท์รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย “ผู้หญิงเหรอ? ถ้าอย่างงั้น ก็อาจจะเป็นขนมผิงหรือว่าคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์ละมั้ง?”
ที่จริงจากที่เธอดูแล้ว ความเป็นไปได้ว่าจะเป็นคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์นั้นก็ไม่ได้สูงมากนัก
ถึงแม้ว่าเธอจะไม่ได้มีความแค้นกับคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์โดยตรง แต่เธอทำให้ส้มเปรี้ยวคนที่คุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์รักมากที่สุดต้องเข้าคุกไป และยังมีความแค้นกับเยี่ยมบุญอีก บวกกับเรื่องของคุณพ่อด้วยแล้ว เพราะฉะนั้นคุณนายตระกูลภักดีพิศุทธิ์จะต้องเกลียดเธอมากแน่ ๆ ถ้าจะลงมือกับเธอละก็ จะต้องลงมืออย่างหนักแน่นอน
ถ้าอย่างงั้น ก็เหลือแต่ขนมผิงแล้ว
แต่แล้วในตอนนี้เองจู่ ๆ เปปเปอร์ก็เปิดปากพูดขึ้นว่า “ไม่ใช่ขนมผิง”
ทุกคนต่างก็มองไปที่เขา
ถึงแม้ว่ามายมิ้นท์จะมองไม่เห็น แต่ก็ยังมองไป
เปปเปอร์มองไปที่นายตำรวจทั้งสองแล้วพูดขึ้นว่า “เมื่อวานผมก็เคยสงสัยขนมผิง ก็เลยให้คนไปตรวจสอบขนมผิงมา ขนมผิงไม่ได้ออกไปข้างนอกเลย และทรัพย์สินของหล่อนก็โดนอายัดไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจึงไม่มีทางที่จะให้คนมาลงมือกับมายมิ้นท์ได้ด้วย เพราะคราวที่แล้วที่ขนมผิงให้คนมาข่มขู่มายมิ้นท์ ประธานตระกูลมหาเอกรัตนาก็อายัดทรัพย์สินทั้งหมดของหล่อนไป รวมทั้งเงินสดด้วย”
พอได้ยินคำพูดนี้ คิ้วเรียวของมายมิ้นท์ก็ขมวดกันแน่นขึ้นมา
แม้แต่ขนมผิงก็ไม่ใช่ งั้นจะเป็นใครไปได้ล่ะ?
นายตำรวจทั้งสองเหมือนกับว่าจะมองออกว่ามายมิ้นท์กำลังคิดอะไรอยู่ พอสบตากันแล้ว ก็เอาโทรศัพท์ออกมา “คุณมายมิ้นท์ครับ ทางเราได้ภาพกล้องวงจรปิดที่คุณโดนลอบทำร้ายมา คุณลองดูซิครับ ถึงแม้ว่าคนคนนั้นจะปิดบังตัวเองไว้อย่างมิดชิดมาก ถ้าเป็นคนที่คุณรู้จัก คุณก็น่าจะรู้สึกคุ้นเคยมากนะครับ”
“ขอโทษค่ะ ฉันมองไม่เห็นแล้ว” มายมิ้นท์ยิ้มขมขื่นแล้วก็ส่ายหน้าเล็กน้อย
นายตำรวจทั้งสองคนรู้สึกแปลกใจเป็นอย่างมาก
ลาเต้ตอบไปก่อนที่พวกเขาจะถามออกมาว่า “เพราะว่าตาของยาหยีมองไม่เห็นแล้ว”
“อะไรนะครับ?” นายตำรวจทั้งสองนายตกตะลึงขึ้นมา “ทำไมถึงมองไม่เห็นครับ?”
“สำหรับเรื่องนี้ ผมมาให้คำตอบเอง” การันต์ที่เงียบมาตลอดจู่ ๆ ก็พูดขึ้นและแตะแว่นเล็กน้อย แล้วก็บอกเล่าเหตุผลที่มายมิ้นท์มองไม่เห็นออกมา
หลังจากที่นายตำรวจทั้งสองได้ยินแล้ว ก็ยิ่งเห็นใจมายมิ้นท์มากยิ่งขึ้น
“ขอโทษครับคุณมายมิ้นท์ พวกเราไม่รู้เรื่องเลย” นายตำรวจทั้งสองขอโทษขึ้น
มายมิ้นท์ยิ้มเล็กน้อย “ไม่เป็นไรค่ะ แค่เป็นอาการชั่วคราวเท่านั้น แต่ตอนนี้ ฉันไม่มีทางช่วยพวกคุณดูคลิปกล้องวงจรปิดได้จริง ๆ ค่ะ แต่ว่าพวกคุณสามารถอธิบายลักษณะของผู้หญิงคนนี้ให้ฉันฟังสักหน่อย บางทีฉันอาจจะพอคุ้นเคยได้บ้าง”
“ได้ครับ” นายตำรวจทั้งสองพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มอธิบายขึ้นมา
มายมิ้นท์ยิ่งฟังก็ยิ่งขมวดคิ้วลึกมากขึ้น
เธอนึกมาตลอดว่า คนที่ลอบทำร้ายเธอ อย่างมากสุดก็คงจะแค่ทำการปลอมตัวเล็กน้อย อย่างพวกใส่หน้ากากหรือใส่หมวกอะไรแบบนี้ แล้วจากรูปร่าง หรือส่วนสูงก็จะสามารถดูออกได้ว่าคนคนนั้นอาจจะคือใคร
แต่กลับคิดไม่ถึงว่า จะปลอมตัวมาอย่างมิดชิดแบบนี้ ไม่ใช่แค่ใส่เสื้อผ้าตัวใหญ่ที่ปิดบังรูปร่าง ยังใส่รองเท้าเสริมส้นไซส์ใหญ่คู่หนึ่ง จนปิดบังรูปร่างและส่วนสูงไปทั้งหมด
การแต่งตัวแบบนี้ แล้วเธอจะดูออกได้ยังไงว่าเป็นใคร?
“คนคนนี้ตั้งใจปลอมตัวเป็นผู้ชาย” การันต์เล่นมีดผ่าตัดอยู่ในมือไป
“ใช่แล้ว คนคนนี้รู้ว่าละแวกชุมชนมีกล้องวงจรปิดอยู่ แต่กลับไม่รู้ว่ากล้องวงจรปิดติดอยู่ตรงไหนบ้าง เพราะฉะนั้นเพื่อไม่ให้จับได้ว่าเป็นใคร หล่อนก็เลยปลอมตัวให้กลายเป็นแบบนี้ ปลอมตัวเป็นผู้ชาย เพื่อต้องการดึงความคิดของพวกเราไปในทิศทางนั้น ทำให้พวกเรารู้สึกว่าคนที่มาลอบทำร้ายคุณ เป็นผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว โอกาสที่หล่อนจะไม่โดนสืบค้นเจอก็จะยิ่งสูงมากยิ่งขึ้นไปอีก” เปปเปอร์พูดแล้วพยักหน้าไป
ลาเต้เองก็พูดต่อว่า “น่าเสียดาย ที่หล่อนปลอมตัวได้ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ แต่ยังมีรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ บางอย่าง ที่ได้เปิดเผยพิรุธของความเป็นผู้หญิงออกมา”
นายตำรวจทั้งสองพูดขึ้นอีกว่า “ทางแผนกพิสูจน์หลักฐานของเรา ได้คำนวณจากภาพในคลิปกล้องวงจรปิด สามารถประมาณส่วนสูงและน้ำหนักของคนคนนี้ออกมาได้”
“คะ?” มายมิ้นท์ตื่นเต้นขึ้นมา
นายตำรวจทั้งสองคนพูดขึ้น “ด้วยวิธีการทางเทคนิคมา เราได้ใช้การคำนวณตามสูตรของร่างกายมนุษย์มาแล้ว คำนวณออกมาได้ว่าคนคนนี้น่าจะมีสวนสูงประมาณหนึ่งร้อยห้าสิบแปดเซนติเมตร น้ำหนักประมาณสี่สิบห้ากิโลกรัม เพราะฉะนั้นคุณมายมิ้นท์ครับ คุณลองคิดดูหน่อยนะครับ ข้างกายคุณมีคนลักษณะแบบนี้หรือเปล่า?”
มายมิ้นท์เริ่มครุ่นคิดขึ้นมา
หลังจากที่ครุ่นคิดไปสองนาที เธอก็ส่ายหน้าขึ้นมา “ไม่มีค่ะ คนข้างกายฉัน มีแต่คนสูง ๆ ไม่มีใครที่ส่วนสูงหนึ่งร้อยห้าสิบแปดเซนติเมตรเลยค่ะ”
ถึงจะพูดไปแบบนี้ แต่เธอมักจะรู้สึกว่าตัวเองเหมือนได้ละเลยอะไรไป
ตกลงละเลยอะไรไปกันแน่ แต่เธอก็คิดไม่ออก
พวกเปปเปอร์ผู้ชายทั้งสามคนก็ช่วยกันคิด แต่ก็คิดไม่ออกว่าข้างกายมายมิ้นท์ จะมีคนที่มีสัดส่วนร่างกายตรงกับสัดส่วนแบบนี้
พอนายตำรวจทั้งสองนายเห็นมายมิ้นท์พูดแบบนี้ แล้วก็พยักหน้าเล็กน้อย “พวกเรารู้แล้วครับ งั้นจากที่ดูมา คนที่มาลอบทำร้ายคุณมายมิ้นท์คนนี้ ก็น่าจะเป็นคนที่ถูกจ้างวานมา ถ้าเป็นแบบนี้จริง ๆ งั้นคดีก็ต้องยุ่งยากมากขึ้นแน่ แค่จับตัวคนที่ลงมือทำได้ก็ยังไม่พอ ยังต้องจับคนที่อยู่เบื้องหลังออกมาด้วยถึงจะได้”
มายมิ้นท์พยักหน้าให้เล็กน้อย ท่าทางเหมือนกับเห็นด้วย
ในขณะเดียวกัน อยู่ ๆ เปปเปอร์ก็มองไปที่นายตำรวจทั้งสองนาย “เมื่อวานพวกคุณเอาภาพกล้องวงจรปิดที่คนคนนั้นมาที่คอนโดพราวฟ้าไปไม่ใช่เหรอ? ตกลงคนคนนั้นปรากฏตัวออกมาได้ยังไง พวกคุณน่าจะมีผลการสืบค้นได้แล้วมั้ง”
พอได้ยินแบบนี้ ลาเต้ก็รีบพูดขึ้นว่า “ใช่ ขอแค่รู้ให้แน่ชัดว่าคนคนนี้ปรากฏตัวออกมาได้ยังไง ไม่แน่ก็อาจจะหาตัวเขาออกมาได้แล้ว”