รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 379 สะกดจิตหล่อน
ลำดวนจ้องมองข้อมือที่พันผ้าพันแผลไว้ของมายมิ้นท์ ในดวงตาก็มีแววขี้ขลาดกะพริบขึ้นเล็กน้อย “ฉัน…… ฉัน……”
“อย่าอ้ำ ๆ อึ้ง ๆ อย่าบอกนะว่าคุณไม่รู้ ถ้าคุณไม่บอกมา ฉันมายมิ้นท์ขอสาบานเลย ถึงจะทุ่มสุดตัวทั้งหมดที่ฉันมี ก็ไม่มีทางที่ปล่อยคนในครอบครัวคุณไปแน่ รวมทั้งคนที่สำคัญที่สุดของคุณ คุณเชื่อไหม!” มายมิ้นท์วางมือลง น้ำเสียงเยือกเย็นราวกับถ้ำน้ำแข็ง
ลาเต้รีบพยักหน้าขึ้นมา “ใช่ อย่าคิดว่าพวกเรากำลังล้อเล่นอยู่นะ ด้วยฐานะและตำแหน่งของพวกเรา พวกเราจะต้องทำได้แน่ เพราะฉะนั้นสารภาพมาซะดี ๆ”
ลำดวนจะร้องไห้อยู่แล้ว
สารภาพไปซะดี ๆ เหรอ?
เธอจะไปสารภาพอะไรได้!
เธอไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไฝแดงเม็ดนั้นมันหมายถึงอะไรอยู่ ผู้หญิงคนนั้นพูดแต่เพียงว่า ไฝแดงของคุณมายมิ้นท์คนนี้จะเป็นภัยคุกคาม แต่ว่าคุกคามยังไงนั้น ผู้หญิงคนนั้นไม่ได้บอกกับเธอเลย
พอเห็นลำดวนตัวสั่นเทา แต่ก็ยังไม่ยอมเปิดปากพูด
มายมิ้นท์ไม่มีความอดทนแล้วจริง ๆ ในดวงตามีแสงอำมหิตที่เยือกเย็นกะพริบผ่านไปเสี้ยวหนึ่ง “ในเมื่อคุณยังบอกไม่ได้เหมือนเดิม ได้ งั้นคุณอย่ามาโทษฉันละกัน เต้ เข็นฉันออกไป!”
ตอนแรก เธอรู้ว่าเปปเปอร์จะเอาผู้หญิงคนนี้มอบให้การันต์เอาไปทำการทดลองทางการแพทย์นั้น ยังอยากจะขัดขวาง ในเมื่อการทดลองทางการแพทย์นั้นค่อนข้างโรคจิตเกินไป ถึงแม้จะเป็นแค่การลองยามันก็ดูโรคจิตมาก
ปกติแล้วคนที่เอาไปลองยา ส่วนใหญ่ก็เป็นพวกผู้ป่วย และยังเป็นพวกผู้ป่วยที่ไม่มีทางรักษาแล้วด้วย แต่คนร่างกายแข็งแรงคนหนึ่ง ไม่มีทางที่จะไปลองยาอยู่แล้ว เพราะว่าไม่มีใครรู้ว่าร่างกายจะเกิดการเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นมา
ความดีของเธอทำให้เธอไม่อยากเห็นคนร่างกายแข็งแรงคนหนึ่ง สุดท้ายแล้วต้องมาพิการหรือเสียอวัยวะอะไรไปเพราะผลข้างเคียงของยาหรอก เพราะฉะนั้นจึงอยากจะขัดขวาง
แต่ว่าตอนนี้อยู่ ๆ เธอก็รู้สึกว่า คนบางคน ไม่คุ้มค่าที่เธอจะไปใจดีด้วยเลย บางทีเธออาจจะต้องจิตใจโหดเหี้ยมขึ้นมาหน่อย มีแต่แบบนี้ คนที่ปากแข็งถึงจะยอมศิโรราบได้!
ด้านนอกห้องสอบสวน ลาเต้เข็นมายมิ้นท์มาถึงมุมมุมหนึ่ง “ยาหยี ผู้หญิงคนนี้ปากแข็งเกินไปแล้ว ทำยังไงก็ไม่ยอมพูด แล้วพวกเราจะต้องยอมปล่อยไปอย่างนี้เลยเหรอ?”
“ปล่อยไปเหรอ?” มายมิ้นท์ยิ้มเย็นขึ้น “ไม่มีทางอยู่แล้ว ฉันยังไม่รู้ในสิ่งที่ฉันอยากจะรู้เลย จะปล่อยไปได้ยังไงกัน”
“งั้นคุณอยากจะทำยังไง?” ลาเต้จ้องมองเธอ
มายมิ้นท์กัดริมฝีปากล่างไว้ “การันต์สะกดจิตเป็นไม่ใช่เหรอ? เอาตัวลำดวนคนนี้มอบให้เขาไป ให้เขามาแหกปากของลำดวนออก ฉันไม่เชื่อหรอก ว่าลำดวนคนนี้จะสามารถต่อต้านการจู่โจมจิตใจจากการสะกดจิตได้”
ดวงตาของลาเต้เป็นประกายขึ้น แล้วก็ยิ้ม “ใช่แล้ว นี่เป็นวิธีที่ดี ยาหยี คุณนี่ฉลาดจังเลย”
มายมิ้นท์มองตาขาวใส่เขาทีหนึ่ง แล้วพูดขึ้นว่า “คราวนี้ ก็แค่ไปสืบประวัติของลำดวนคนนี้ดูสักหน่อย โดยเฉพาะประวัติครอบครัวของหล่อน และเรื่องมนุษยสัมพันธ์ ฉันคิดว่า คนที่หล่อนให้ความสำคัญที่สุด ถ้าไม่ใช่คนในครอบครัว ก็ต้องเป็นคนรัก”
“ได้ เดี๋ยวผมจะติดต่อทางสำนักงานนักสืบให้” ลาเต้พยักหน้าขึ้น
และในเวลานี้ เปปเปอร์ก็คุยโทรศัพท์เสร็จแล้ว และโดนผู้ช่วยเหมันตร์เข็นกลับมา
พอเขาเห็นมายมิ้นท์ ก็ยักคิ้วให้เล็กน้อย “ถามจบแล้วเหรอ?”
มายมิ้นท์มองไม่เห็นเปปเปอร์ แต่ว่าได้ยินเสียงรถเข็น ก็พอรู้ว่าเปปเปอร์อยู่ทางไหน แล้วก็ส่ายหน้าไปทางนั้นเล็กน้อย “เปล่าค่ะ หล่อนปากแข็งเกินไป ไม่ยอมพูดอะไรเลยค่ะ”
“ไม่ยอมพูดเหรอ?” สีหน้าของเปปเปอร์เคร่งขรึมขึ้น “ผมยกเอาคนในครอบครัวหล่อนมาข่มขู่แล้ว หล่อนยังไม่ยอมพูดอีกเหรอ?”
มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “เหมือนกับว่าหล่อนจะไม่ยอมเชื่อว่าพวกเราจะทำร้ายคนในครอบครัวของหล่อนได้”
“ดูแบบนี้แล้ว ลำดวนคนนี้น่าจะพอมีที่พึ่ง ถึงรู้สึกว่าพวกเราจะทำร้ายคนในครอบครัวเธอไม่ได้ แค่ไม่รู้ว่าหล่อนไปเอาความมั่นใจมาจากไหนกัน” ผู้ช่วยเหมันตร์แตะแว่นเล็กน้อย แล้วพูดแทรกขึ้นอย่างดูถูก
ดวงตาทั้งคู่ที่ว่างเปล่าไม่มีสีสันของมายมิ้นท์‘จ้องมอง’ไปที่เปปเปอร์ “ประธานเปปเปอร์ คุณไปบอกกับทางตำรวจเถอะ ให้ส่งตัวคนไปให้การันต์เถอะ?”
เปปเปอร์รู้สึกแปลกใจ “ไหนคุณไม่เห็นด้วยกับการเอาไปให้การันต์ทำการทดสอบไม่ใช่เหรอ?”
มายมิ้นท์หรี่ตาต่ำลง “ฉันเปลี่ยนความคิดแล้วค่ะ ตอนนี้ฉันต้องการความช่วยเหลือของการันต์ ต้องการให้เขาช่วยสะกดจิตลำดวนให้หน่อย”
“ได้” เปปเปอร์พยักหน้าตอบตกลง
ไม่นาน ลำดวนก็โดนปล่อยตัวออกมาแล้ว
และเพราะว่าเปปเปอร์ได้บอกกล่าวล่วงหน้าแล้ว รวมทั้งมายมิ้นท์ที่เป็นผู้เสียหายก็ไม่ได้เอาเรื่องแล้ว ทางตำรวจจึงต้องปล่อยตัวไป
ลำดวนโดนเปปเปอร์เรียกคนมาเอาตัวไปส่งที่โรงพยาบาลนิวเวอร์โดยตรงเลย
เปปเปอร์ไม่ได้ตามไปด้วย โทรศัพท์สายเมื่อกี้ เป็นสายที่ทางบริษัทโทรมา ทางบริษัทเกิดเรื่องขึ้นมาเล็กน้อย เขาจำเป็นที่จะต้องกลับไปสักเที่ยว
เพราะฉะนั้นผู้ช่วยเหมันตร์ก็เลยเข็นเปปเปอร์กลับไปที่บริษัทตระกูลนวบดินทร์
ส่วนลาเต้ก็ขับรถพามายมิ้นท์ตรงไปที่โรงพยาบาลนิวเวอร์ เพื่อที่จะไปดูขั้นตอนการสะกดจิตของการันต์เองกับตา
ระหว่างทาง ลาเต้ดูดีใจมากเป็นพิเศษ ดีใจจนตบพวงมาลัยไปอย่างอารมณ์ดี “ดีจริง ๆ เลย ในที่สุดไอ้เปปเปอร์นั่นก็ไม่ได้ตามมาหน้าด้าน ๆ อีกแล้ว”
มายมิ้นท์นั่งอยู่ที่เบาะนั่งด้านหลัง พอได้ยินคำพูดนี้ก็ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อย “เอาล่ะ ตั้งใจขับรถหน่อย ฉันได้ยินเสียงการเคลื่อนไหวของนาย ก็รู้แล้วว่านายไม่ตั้งใจขับรถ”
ลาเต้หัวเราะแหะ ๆ ขึ้นมา “ก็ผมดีใจนี่”
พูดจาเฮฮากันไปตลอดทาง ไม่นานก็มาถึงโรงพยาบาลนิวเวอร์แล้ว
การันต์รู้ว่ามายมิ้นท์จะมา จึงตั้งใจมารอเธอที่หน้าประตูโรงพยาบาลเป็นพิเศษ
พอเห็นเธอมาถึงแล้ว มือทั้งคู่สอดไว้ในกระเป๋าด้านหน้าเสื้อกาว “เป็นยังไงบ้าง ออกมาเที่ยวหนึ่งนี้ รู้สึกไม่สบายตรงไหนหรือเปล่า?”
มายมิ้นท์ส่ายหัวเล็กน้อย “ยังโอเคค่ะ ถึงจะยังรู้สึกเวียนหัวอยู่บ้าง แต่ว่าดีกว่าเมื่อวานเยอะแล้วค่ะ”
“งั้นก็ดี แล้วดวงตาล่ะ?” การันต์จ้องมองดวงตาที่ไม่เปล่งประกายทั้งคู่ของเธอ
มายมิ้นท์ยกมือขึ้นมาลูบไปทีหนึ่ง “ยังเหมือนเดิมค่ะ”
“รู้สึกได้หรือเปล่าว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวัน?” การันต์ถามขึ้นมาอีก
มายมิ้นท์เงยหน้าขึ้นมาเล็กน้อย จากนั้นก็ตอบกลับไปว่า “ได้ค่ะ รับรู้แสงได้ค่ะ”
“งั้นแสดงว่าการรับรู้ถึงแสงยังอยู่ ไม่เลวเลย ดูท่าอีกไม่นานก็น่าจะหายเป็นปกติแล้วล่ะ” การันต์ยืดตัวตรงแล้วพูดขึ้นมา
พอได้ยินคำพูดนี้ อารมณ์ของมายมิ้นท์ก็รู้สึกดีขึ้นมา ยิ้มแล้วก็พูดขึ้น “งั้นก็ต้องขอบคุณคำพูดสิริมงคลของคุณด้วย อ๋อ ใช่แล้ว เธอมาถึงหรือยังคะ?”
“มาถึงแล้ว อยู่ในห้องทำงานผม ไปกันเถอะ” การันต์นำทางอยู่ข้างหน้า
ลาเต้เข็นมายมิ้นท์ตามอยู่ข้างหลัง
ทั้งสามคนมาถึงห้องทำงาน การันต์ก็เปิดประตูออก ลำดวนนอนอยู่บนโซฟา ตาทั้งสองหลับตาไว้แน่น เหมือนกับว่าสลบไปแล้ว
ลาเต้ชี้ไปที่เธอแล้วถามขึ้น “เธอเป็นอะไรไปเหรอครับ?”
“นอนหลับอยู่ ตอนที่อยู่ที่สถานีตำรวจไม่ได้นอนเลย พอมาถึงที่นี่แล้ว ก็ทนไม่ไหวแล้ว จึงเลยนอนหลับไป” การันต์ยังไหล่ทีหนึ่งแล้วพูดไป มายมิ้นท์มองไม่เห็น แล้วก็ไม่ได้เปิดปากพูดอะไร
ลาเต้เข็นเธอไปถึงตำแหน่งที่อยู่ไม่ห่างจากตรงหน้าลำดวนเท่าไหร่นักก็หยุดลง “การันต์ เริ่มได้แล้วค่ะ”
“ได้” การันต์ยังไหล่เล็กน้อย จากนั้นก็เริ่มการสะกดจิตอย่างเป็นทางการขึ้นมา
ลาเต้มองเห็น จากการสะกดจิตของการันต์ ท่าทีของลำดวนก็ยิ่งอยู่ยิ่งสงบและนิ่งมากขึ้น
ในตอนแรกเห็นหัวคิ้วของลำดวนยังคงขมวดกันไว้แน่น ถึงจะเป็นการนอนหลับไป แต่ท่าทีก็ยังเต็มไปด้วยความไม่สบายใจและความหวาดกลัวที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
แต่ตอนนี้ มันได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว
การเปลี่ยนแปลงแบบนี้ เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ลาเต้มองจนอ้าปากค้าง “โอ้สวรรค์ นี่มันเป็นเวทมนตร์แล้วมั้ง”
“อย่าเสียงดังไป” มายมิ้นใช้ศอกสะกิดเขาไปทีหนึ่ง
การันต์เก็บนาฬิกาพกเข้าไป และพูดอย่างร่างกายเซไปเล็กน้อย “เรียบร้อยแล้ว มีปัญหาอะไรก็ถามเลย หล่อนจะพูดทุกอย่างที่หล่อนรู้เลย”
สีหน้าของเขาขาวซีดเล็กน้อย
พอลาเต้เห็นเข้า ก็ปล่อยที่จับรถเข็นออก แล้วก็ไปประคองเขาทีหนึ่ง “คุณไม่เป็นไรนะ?”
“เขาเป็นอะไรเหรอ?” มายมิ้นท์หรี่ตาลง แล้วถามขึ้น
การันต์ผลักลาเต้ออก แล้วตัวเองก็กลับไปนั่งลงที่เก้าอี้หลังโต๊ะทำงาน “ผมไม่เป็นไร เพียงแต่แค่สะกดจิตเสียพลังงานไปหน่อยเท่านั้น”
การสะกดจิตกับการให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจนั้นมันคนละเรื่องเลย
การให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจจะไม่เสียพลังงาน แต่การสะกดจิตกลับต้องเสียไปเยอะมาก
ที่สำคัญทางด้านการให้คำปรึกษาทางด้านจิตใจนั้นเขาก็เรียนมาดีมาก แต่ทางด้านสะกดจิตก็แค่สามารถพอทำได้เท่านั้น ถ้าเทียบกับศิษย์พี่แล้วก็ห่างไกลอีกเยอะ
ถ้าศิษย์พี่มาสะกดจิต จะต้องไม่เป็นเหมือนเขาแน่ ที่ยังจะรู้สึกเวียนหัวด้วย
มายมิ้นท์มองไม่เห็นสภาพของการันต์ในตอนนี้ แต่น้ำเสียงที่เหน็ดเหนื่อยของเขา ทำให้ใจเธอเกิดความรู้สึกผิดขึ้นมา
เธอหรี่ตาลง แล้วเปิดปากพูดขึ้นอย่างรู้สึกผิด “ขอโทษนะคะ ต้องลำบากคุณแล้ว”