รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 386 เจอราเม็ง
แต่ราเม็งมีความดีใจนี้ได้ไม่นาน ก็ตกใจกับผ้าพันแผลบนศีรษะมายมิ้นท์
ราเม็งนึกถึงตอนกลางวันที่ชาหวานพูดในโทรศัพท์ ให้เขาห้ามโกรธเมื่อเห็นมายมิ้นท์ ดูเหมือนจะหมายถึงสิ่งนี้
ราเม็งแอบกำหมัดลับๆ ผลุบเปลือกตาลง ซ่อนความอาฆาตในดวงตาเอาไว้
โชคดีที่การเคลื่อนไหวเขาไม่ชัดเจน เหล่าคนชมการแสดงไม่เห็นมัน
ไม่อย่างนั้น จะมีการพาดข่าวในวันพรุ่งนี้
หลังจากราเม็งโพสต์ท่าหน้าเวทีแล้ว ก็หันตัวเดินไปปลายเวที
ชาหวานเข้าไปใกล้มายมิ้นท์ แล้วพูดเสียงเบา “ประธานมายมิ้นท์ ราเม็งเห็นแผลบนหัวคุณแล้ว เขาไม่พอใจมาก ถึงเขาจะซ่อนมันได้ดีมาก แต่ฉันก็ยังมองออก”
ได้ยินคำพูดนี้ มายมิ้นท์ก็ถอนหายใจ “ไม่เป็นไร เดี๋ยวบอกความจริง”
เธอเดาได้นานแล้วว่าราเม็งจะไม่พอใจ จึงเตรียมใจไว้เรียบร้อยแล้ว
หลังเวที ราเม็งเดินไปบริเวณที่พักผ่อน
ผู้จัดการยื่นน้ำหนึ่งขวดให้เขา “ราเม็ง ดื่มน้ำหน่อย”
ราเม็งไม่สนใจ หลังจากเดินไปบริเวณที่พักผ่อน มือหนึ่งก็กวาดเครื่องสำอางบนโต๊ะทิ้งลงพื้นหมดเลย
การเครื่องไหวนี้ ดึงดูดสายตานายแบบนางแบบทั้งหมดที่อยู่หลังเวที รวมถึงผู้จัดการของพวกเขาด้วย
“ราเม็ง นายเป็นอะไร?” มีนายแบบนางแบบเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง
ราเม็งยังคงไม่สนใจ ก้มศีรษะลง รอบกายมีกลิ่นอายน่ากลัวแผ่กระจาย
ใครกันแน่ ใครมันทำร้ายเธอ!
รอเขาสืบได้ก่อน จะต้องฆ่าคนนั้นแน่!
สีหน้าราเม็งบิดเบี้ยวน่าขนลุกน่ากลัว
ผู้จัดการเห็นดังนั้น ก็รีบไปขวางเขา ป้องกันไม่ให้มีใครถ่ายเขาไว้ ถึงตอนนั้นถ้าเผยแพร่ลงอินเทอร์เน็ตก็จะร้อนระอุ
“ราเม็ง เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ถึงได้โกรธขนาดนี้?” ผู้จัดการเอียงศีรษะเล็กน้อย เอ่ยถามเสียงเบา
ราเม็งหายใจเข้าลึกๆ ฝืนกลั้นอารมณ์มืดมนภายในใจ แล้วตอบกลับอย่างเย็นชา “ไม่เป็นไรครับ”
“แต่นี่นายไม่เหมือนไม่เป็นไร อย่าเสแสร้งตัวตนที่แท้จริงของนายเลย เห็นได้ชัดว่า……”
“เอาล่ะนายแบบนางแบบทุกท่าน!” คำพูดผู้จัดการยังไม่จบ ก็ถูกคนงานคนหนึ่งขัดจังหวะ
คนงานคนนั้นปรบมือ “ถึงเวลาขอบคุณผู้ชมแล้ว ทุกคนรีบไปเข้าแถว ขึ้นไปขอบคุณผู้ชมหลังจบการแสดง”
ผู้จัดการได้ยิน ก็ทำได้แค่กลืนคำพูดตัวเองที่อยากจะพูดออกไป แล้วเตือนราเม็ง “เอาล่ะราเม็ง ไปขอบคุณผู้ชมก่อน อย่าลืมเก็บอารมณ์กับสีหน้าให้ดี อย่าให้สื่อถ่ายไว้ได้ ไม่งั้นพรุ่งนี้นายกับฉันรอโดนวิจารณ์ได้เลย”
ดวงตาราเม็งหลบหลีก “ผมรู้”
พูดจบ เขาก็ขมวดคิ้ว ปรับสีหน้าให้ดี แล้วเดินไปที่ทางเข้าขอบคุณผู้ชมการแสดง
ที่ตำแหน่งผู้ชม ชาหวานรู้ว่าเป็นการขอบคุณผู้ชมหลังจบการแสดง ก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาอีกครั้ง ตั้งใจจะถ่ายฉากขอบคุณผู้ชมของราเม็ง
มายมิ้นท์ก็นั่งฟังเธอเล่ากระบวนการทั้งหมดของการขอบคุณผู้ชมอย่างเงียบๆ อยู่ข้างๆ เธอ
ไม่นาน การขอบคุณผู้ชมก็สิ้นสุดลง เหล่านายแบบนางแบบทั้งหมดก็ถอนตัวออกจากเวที
ผู้ชมทั้งหมดที่รับชมการแสดงนี้ ก็ลุกขึ้นปรบมือกัน
มายมิ้นท์ก็ยืนขึ้นมาด้วยการประคองของชาหวาน
ทั้งสองปรบมืออยู่สักพักหนึ่ง ชาหวานก็ถาม “ประธานมายมิ้นท์ เราต้องไปหาราเม็งไหม?”
มายมิ้นท์พยักหน้า “แน่นอน ไปกันเถอะ”
ชาหวานคืนโทรศัพท์ให้เธอ ประคองเธอเดินไปที่หลังเวที
มาถึงทางเข้าหลังเวที ทั้งคู่ก็หยุด ไม่ได้เข้าไป ตั้งใจจะรอราเม็งออกมา
โชคดีคือรอได้ไม่นาน ผู้จัดการราเม็งก็ออกมา
ผู้จัดการรู้จักมายมิ้นท์ เมื่อก่อนเคยเจอมายมิ้นท์สองครั้ง
เห็นมายมิ้นท์ ผู้จัดการก็เดินเข้ามาทักทาย “คุณมายมิ้นท์ คุณก็มาดูแฟชั่นโชว์ของราเม็งสินะ”
“ใช่ค่ะพี่เจ๊ท ราเม็งเชิญฉันมา” มายมิ้นท์ยิ้มตอบ
ผู้จัดการมองมายมิ้นท์ แค่รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่บอกไม่ถูก “คุณมายมิ้นท์มาที่นี่ อยากเจอราเม็งใช่ไหม?”
“ใช่ค่ะ พี่เจ๊ทช่วยฉันเรียกเขาหน่อยสิ” มายมิ้นท์เอ่ยขอ
ผู้จัดการตกลง “ได้ ฉันจะไปเดี๋ยวนี้ คุณรอสักครู่”
“ขอบคุณค่ะ” มายมิ้นท์ยิ้มขณะกล่าวขอบคุณ
พี่เจ๊ทเข้าไปในห้องแต่งหน้า ไปเรียกเขา
สองนาทีต่อมา ราเม็งก็เดินออกมาจากด้านใน
เขาเปลี่ยนชุดสำหรับโชว์บนร่างแล้ว แต่ยังไม่ทันได้ล้างเครื่องสำอางบนใบหน้า ดูแล้วงดงามเป็นพิเศษ เหมือนท่านเคานต์แวมไพร์ที่เดินออกมาจากยุคกลาง หล่ออย่างยิ่ง
“พี่……” ราเม็งเดินมาตรงหน้ามายมิ้นท์ เอ่ยเรียกเสียงทุ้ม
มายมิ้นท์ตอบอืม แล้วกล่าวเรียบๆ “ตอนแรกฉันกำลังคิดว่า นายไม่คิดจะเจอฉันหรือเปล่า”
“ได้ไงล่ะ” ราเม็งรีบปฏิเสธ
มายมิ้นท์ทำเสียงฮึดฮัดไม่พอใจ “ทำไมจะไม่ได้ แม้แต่โทรศัพท์ฉันนายก็ไม่รับสาย ไม่มาเจอฉันก็เป็นไปได้ไม่ใช่เหรอ?”
“ผม……” ราเม็งลำคอสะอึก พูดไม่ออกชั่วคราว หลังจากผ่านไปสักพักก็เอ่ยปากเสียงแหบพร่า “ผมแค่ไม่รู้ว่าควรเผชิญหน้ากับพี่ยังไง และไม่มีหน้าไปเผชิญด้วย ผมทำเรื่องแบบนั้นกับพี่ลงไป กลัวพี่จะเกลียดผม โกรธผม ไม่ให้อภัยผม ก็เลย……”
“เอาล่ะ มันผ่านไปแล้ว ฉันไม่ได้เกลียดนาย และไม่ได้โกรธนายด้วย ยิ่งไม่ต้องให้อภัยนาย” มายมิ้นท์ถอนหายใจพูดขึ้น
ดวงตาราเม็งเป็นประกายเล็กน้อย บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มเซอร์ไพรส์ “พี่ พี่ให้อภัยผมเหรอ?”
“อืม” มายมิ้นท์พยักหน้า
ราเม็งยื่นมือออกมา จับตัวเธอเขย่า “พี่ นี่เรื่องจริงเหรอ? พี่ไม่โทษผมจริงๆ เหรอ?”
“จริง แต่……” มายมิ้นท์ชักมือออกมา พูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “แต่ฉันหวังว่าต่อจากนี้ไป นายห้ามทำเรื่องแบบนี้อีก รู้ไหม?”
แววตาราเม็งมืดมนเล็กน้อย แต่ปากตอบตกลง “โอเค ผมจะไม่ทำแล้ว”
“งั้นก็ดี” มายมิ้นท์ยิ้มพึงพอใจ “อีกอย่าง ฉันก็รู้เรื่องสภาพจิตใจนายแล้วด้วย”
คำพูดนี้ทำให้สีหน้าราเม็งค่อยๆ แข็งทื่อ “พี่……พี่รู้แล้วเหรอ?”
“อืม ดังนั้นราเม็ง ฟังฉันนะ ไปหาจิตแพทย์กันดีไหม?” มายมิ้นท์โน้มน้าวอย่างจริงใจ
ราเม็งหรี่ตาเล็กน้อย จ้องใบหน้าเธอสักพักหนึ่ง สุดท้ายก็ผลุบตาลงแล้วตอบกลับหนึ่งคำ “ได้!”
“เด็กดี!” มายมิ้นท์ตบแขนเขาเบาๆ
เขาอยู่ข้างๆ เธอ แน่นอนว่าเธอไม่ต้องมองก็รู้ได้ว่าแขนเขาอยู่ตรงไหน
อีกด้านหนึ่ง ชาหวานเห็นฉากนี้ มุมปากก็ยกขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ทำปากไร้เสียงกับราเม็งว่า: นายเหมือนพูดกับประธานมายมิ้นท์แบบขอไปทีนี่ นายไม่อยากไปพบจิตแพทย์หรอก!
ราเม็งอ่านปากเข้าใจ ก็เตือนเธอด้วยแววตาเย็นยะเยือก แล้วเลิกทำอย่างรวดเร็ว กลัวถูกมายมิ้นท์เห็นเข้า
ชาหวานกลอกตา อยากบอกว่าไม่ต้องเครียดขนาดนี้หรอก เพราะประธานมายมิ้นท์มองไม่เห็น
แต่คำพูดนี้ เธอคิด เธอไม่อยากพูด ให้เขารู้เองดีกว่า
“จริงสิพี่ แผลที่หัวพี่ มันเกิดอะไรขึ้นเหรอ?” ราเม็งมองผ้าพันแผลบนศีรษะมายมิ้นท์ ในดวงตามีความเย็นชา แต่สีหน้าเป็นห่วงมาก
มายมิ้นท์ลูบผ้าพันแผลบนศีรษะ การแสดงออกเรียบเฉย “โดนหมาบ้าทำร้ายมา”
“ใคร?” ราเม็งถามทันที
มายมิ้นท์เอ่ยปากตอบ “เอาล่ะราเม็ง ไม่ต้องถามแล้ว เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เราไปกันก่อนดีกว่า อย่าอยู่ตรงนี้เลย มันจะขวางทางเดิน”
ราเม็งเห็นเธอไม่พูด ก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัด
สุดท้ายแล้วก็คำนึงถึงความรู้สึกเธอ ทำได้แค่ระงับความโหดเหี้ยมในใจเอาไว้ คลายหมัดออก “ไปห้องรับรองผมดีกว่า นายแบบนางแบบทุกคนที่นี่ มีห้องรับรองส่วนตัว”
“ได้” มายมิ้นท์พยักหน้า จากนั้นก็ยื่นมือหนึ่งออกไป
ราเม็งไม่เข้าใจนิดหน่อยว่าเธอหมายถึงอะไร กำลังสงสัย ก็เห็นชาหวานประคองเธอ
และอีกมือหนึ่งของเธอคว้าอากาศตรงหน้า ราวกับว่าสัมผัสดูว่ามีกำแพงอะไรพวกนั้นหรือไม่ สัมผัสไม่โดนจึงวางลง
เมื่อเห็นฉากนี้ ดวงตาราเม็งก็หดตัว ทั้งร่างตกใจมาก “พี่ ตาพี่……”
“มองไม่เห็นชั่วคราว” มายมิ้นท์รู้ว่าเขาจะรับรู้ได้ และถามคำถามนี้ไม่ช้าก็เร็ว จึงไม่ปิดบัง ยิ้มเรียบๆ ตอบกลับ
ราเม็งรีบประคองใบหน้าเธอ “มองไม่เห็น? ทำไมมองไม่เห็น? นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่?”