รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 391 สับสนในชีวิต
ผู้ช่วยเหมันตร์ลากหมอมาถึงโรงแรม หรือว่าเปปเปอร์จะไม่สบายเหรอ?
“จากนั้นฉันก็ถามผู้ช่วยเหมันตร์ว่าเกิดอะไรขึ้น ผู้ช่วยเหมันตร์บอกว่าประธานเปปเปอร์ท้องเสีย ฉันก็รู้สึกสงสัยมาก ประธานเปปเปอร์มีผู้ช่วยเหมันตร์คอยดูแลอยู่ข้างกาย ทำไมถึงท้องเสียได้ ฉันก็เลยตามไปที่ห้องเพรสซิเด้น สวีท ก็เลยได้ยินมาว่าประธานเปปเปอร์กินอาหารเหลือก็เลยทำให้ท้องเสีย” ชาหวานหัวเราะจนแทบจะหายใจไม่ทัน
เป็นถึงCEOกลุ่มบริษัทข้ามชาติทั้งคน กลับมาท้องเสียเพราะกินอาหารเหลือเนี่ยนะ
นี่ถ้าลือกันออกไป คิดว่าคงจะทำให้คนหัวเราะกันจนตายเป็นกลุ่มใหญ่แน่เลย
มุมปากของมายมิ้นท์กระตุกเล็กน้อย คิดไม่ถึงจริง ๆ ว่าเปปเปอร์จะเกิดป่วยขึ้นมาจริง ๆ
แถมยังป่วยด้วยโรคแบบนี้
“ทำไมเขาถึงกินอาหารเหลือล่ะ?” มายมิ้นท์กุมขมับขึ้นมา ในดวงตาก็แฝงไว้ด้วยความขบขัน
มีแต่ราเม็งที่อยู่อีกข้างหนึ่งไม่ได้หัวเราะด้วย บนใบหน้ามีความมืดมนขึ้นมาเล็กน้อย
ชาหวานหายใจออกยาว ๆ ทีหนึ่ง แล้วตอบกลับอย่างสงบนิ่งมากขึ้นแล้ว “ก็เป็นเพราะประธานมายมิ้นท์แหละค่ะ”
“ฉันเหรอ?” มายมิ้นท์ชี้มาที่ตัวเอง
ชาหวานพยักหน้าเล็กน้อย “ประธานเปปเปอร์ยึดอาหารเที่ยงที่คุณสั่งไปให้ เอาไปคนเดียวหมดเลย แล้วก็ปรากฏว่ากินไม่หมด แต่ก็เสียดายไม่ยอมทิ้ง จากนั้นก็เก็บไว้ตอนค่ำแล้วให้ทางโรงแรมช่วยเอาไปอุ่นให้ แต่ว่าเขาไม่เคยกินอาหารเหลือมาก่อน พอกินเข้าไปแล้ว ก็ปรากฏว่าท้องไส้มันรับไม่ได้ ก็เลยท้องเสียไปเลยไงคะ?”
มายมิ้นท์ยักคิ้วเล็กน้อย
ที่แท้เป็นเพราะสาเหตุนี้นี่เอง
“พี่ ทำไมพี่ต้องไปสั่งอาหารเที่ยงให้เปปเปอร์ด้วย?” แล้วในเวลานี้เอง อยู่ ๆ ราเม็งก็ถามขึ้นมาอย่างไม่พอใจ
มายมิ้นท์ฟังออกแล้ว และก็ยิ้มแล้วอธิบายขึ้นว่า “เมื่อเช้าเขาสั่งอาหารเช้าให้ฉัน ฉันก็เลยสั่งคืนให้เขาเท่านั้น”
“เขาสั่งอาหารเช้าให้พี่ พี่ไม่รับก็ได้นี่” ราเม็งจ้องมองเธอ ในตาแฝงไว้ด้วยประกายที่ทำให้คนจิตใจหวาดหวั่น “เพราะฉะนั้นพี่ ทำไมพี่ต้องรับไว้ด้วย? ไหนพี่บอกว่าไม่รักเปปเปอร์แล้วไง และอยากจะอยู่ห่าง ๆ เปปเปอร์ไม่ใช่เหรอ? ทำไมจะต้องรับอาหารเช้าของเขาด้วย? แล้วก็อีกอย่าง เมื่อกี้พอได้ยินว่าเปปเปอร์ท้องเสีย ทำไมพี่ต้องเป็นห่วงว่าเขาท้องเสียได้ยังไงด้วย พี่ พี่ตกหลุมรักเขาอีกแล้วใช่ไหม?”
พอเผชิญกับการคาดคั้นของเขา ปฏิกิริยาบนใบหน้ามายมิ้นท์ก็ค่อย ๆ นิ่งค้างไป หัวคิ้วก็ขมวดขึ้นมา
ถึงแม้ว่าตอนนี้เธอจะมองไม่เห็นท่าทางของเขา แต่เธอก็สามารถจินตนาการออกมาได้ว่า ปฏิกิริยาและสภาพจิตใจของเขาในตอนนี้ จะต้องผิดปกติไปแน่ ๆ
“ราเม็งนายใจเย็นก่อน……”
“พี่ พี่ตอบผมมาซิ!” มายมิ้นท์ยังไม่ทันได้พูดจบ ราเม็งก็พูดขัดเธอไปเลย แล้วก็โน้มตัวลงมาถามเธอ อยากจะทับตัวเธอให้ล้มลงไปบนโซฟา
แต่ว่าราเม็งยังไม่ทันได้แตะต้องโดนตัวมายมิ้นท์ ชาหวานก็รุดหน้าเข้ามาด้วยหน้าดำคร่ำเครียด แล้วหิ้วปกคอเสื้อของราเม็งขึ้นมา แล้วลากตัวเขาออกห่างจากมายมิ้นท์ จากนั้นก็โยนไปบนโซฟาฝั่งตรงข้าม
“เด็กหนุ่ม แกทำตัวดี ๆ ให้ฉันหน่อยนะ!” ชาหวานว่ากล่าวตักเตือนราเม็งขึ้นมา ต่อหน้ามายมิ้นท์เลย
ราเม็งก้มหน้าลงไป ทำให้คนมองปฏิกิริยาของเขาไม่ชัด
มายมิ้นท์ยื่นมือออกไปคลำตรงหน้าสองที พอแตะโดนชายเสื้อด้านล่างของชาหวาน ก็จับไว้แน่น “ชาหวาน มีอะไรเหรอ? เกิดอะไรขึ้น?”
ชาหวานหันหน้ากลับมา “เจ้าเด็กนี่ เมื่อกี้สติแตกขึ้นมาแล้ว และอยากจะใช้กำลังบีบบังคับให้คุณตอบคำถามเมื่อกี้”
พอได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาของมายมิ้นท์ก็ลืมตาโตขึ้นมา เห็นได้ชัดว่าตกตะลึงขึ้นมาแล้ว “ราเม็ง……”
เธอพอจะรู้ว่า ทำไมจู่ ๆ อาการป่วยทางจิตของราเม็งถึงกำเริบขึ้นมา
ตั้งแต่ที่ราเม็งถามคำถามพวกนั้นกับเธอก็สามารถดูออกได้แล้วว่า ราเม็งเห็นเธอถามเรื่องเกี่ยวกับเปปเปอร์ไปหลายประโยค ก็เลยคิดว่าเธอเป็นห่วงเปปเปอร์ เพราะฉะนั้นจึงนึกว่าความรู้สึกที่เธอมีต่อเปปเปอร์ได้จุดประกายขึ้นมาอีกแล้ว จากนั้นก็โดนความคิดแบบนี้กระตุ้นขึ้นมา ในใจก็เลยยอมรับไม่ได้แล้วก็สติแตกขึ้นมา
พอถอนหายใจไปทีหนึ่ง มายมิ้นท์ก็เปิดปากพูดขึ้นมา “ราเม็ง ฉันไม่ได้ตกหลุมรักเปปเปอร์ ที่ฉันถามคำถามพวกนี้ เป็นเพราะว่าเห็นชาหวานหัวเราะแบบนั้น ก็เลยอยากจะรู้ว่าเปปเปอร์สร้างเรื่องตลกอะไรขึ้นมาเท่านั้น ไม่ได้มีความหมายอย่างอื่นเลยนะ”
ราเม็งเงยหน้าขึ้นมาจ้องมองเธอ แล้วขยับปากเล็กน้อย เหมือนอยากจะพูดอะไร แต่สุดท้ายก็ไม่พูดออกมา แล้วก็ลุกขึ้นและขอตัวออกไปเลย
เหมือนจะรู้ว่าเมื่อกี้ตัวเองเกือบจะทำร้ายมายมิ้นท์เข้าแล้ว แผ่นหลังของราเม็งดูไปแล้วมีความสั่นเทาเล็กน้อย
ชาหวานเอามือเท้าเอวไว้ “เจ้าเด็กนี่ ทั้ง ๆ ที่ทำความผิดแล้ว แต่ตัวเองกลับมาเป็นฝ่ายหนีไปซะอีก”
มายมิ้นท์นวดหัวคิ้วขึ้นเล็กน้อย
เธอไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรแล้ว
คราวที่แล้วตอนที่ราเม็งวางยาเธอก็เป็นแบบนี้ พอโดนเธอเปิดเผยออกมา ก็หนีไปดดื้อ ๆ กะทันหันแบบนี้เหมือนกัน จากนั้นก็หายไปหลายวันเลย
ก็ไม่รู้ว่าครั้งนี้ จะหายตัวไปอีกไหม
“ประธานมายมิ้นท์ หรือไม่ฉันว่า ต้องจับตัวเจ้าเด็กนี่ไปพบจิตแพทย์ให้เร็วที่สุดแล้วล่ะ แค่ครู่เดียวก็สติแตกไปแล้ว อนาคตไม่รู้จะเป็นยังไงบ้าง ที่สำคัญนิสัยของเขาก็ต้องแก้ไขด้วย มีความเป็นตัวของตัวเองสูงเกินไป พอเจอเรื่องอะไรก็เอาแต่หนี เหมือนเด็กมากเกินไปแล้ว” ชาหวานจ้องมองไปทางที่ราเม็งเดินออกไป แล้วก็พูดขึ้นมาอย่างจริงจัง
มายมิ้นท์ถอนหายใจขึ้นมา “ที่เธอพูดมาก็ถูก ชาหวาน เอาโทรศัพท์มาให้ฉันหน่อย แล้วก็ช่วยกดเปิดวีแชทให้ฉันด้วย หาหน้าแชทของราเม็งให้ด้วยนะ”
“ได้ค่ะ” ชาหวานพยักหน้าแล้วก็ทำตาม
พอมายมิ้นท์ได้รับโทรศัพท์ ก็ใช้ความทรงจำที่เคยใช้วีแชทประจำ แล้วกดตรงส่งข้อความเสียงแล้วพูดขึ้นมาว่า “ราเม็ง เรื่องเมื่อกี้ ฉันไม่ได้โทษนายนะ พรุ่งนี้กลับเมืองเดอะซีพร้อมกับฉันดีไหม? พวกเรากลับไปหาจิตแพทย์ด้วยกันนะ?”
พอได้ยินเสียงส่งข้อความออกไปแล้ว มายมิ้นท์ก็วางโทรลงแล้วรอคอยไปเรื่อย ๆ
รอไปประมาณสองนาที โทรศัพท์ถึงสั่นขึ้นมาทีหนึ่ง
มายมิ้นท์รีบถามขึ้นมา “ชาหวาน เป็นข้อความตอบกลับของราเม็งหรือเปล่า? ตอบมาว่ายังไงบ้าง?”
ชาหวานก้มหน้าลง “เดี๋ยวฉันดูก่อนนะ ใช่ เขาตอบกลับมาแล้ว ตอบมาแค่คำเดียวว่าได้ ประธานมายมิ้นท์ส่งข้อความไปตั้งเยอะขนาดนี้ แต่เขากลับส่งมาแค่คำเดียว เห็นได้ชัดเลยว่ายังงอนอยู่”
จากที่เธอดูแล้ว คนอย่างราเม็ง เหมาะที่จะเป็นแค่น้องชายเท่านั้น ไม่เหมาะที่จะเอามาเป็นคนรักหรอก
เพราะว่าเกี่ยวข้องกับนิสัยและอารมณ์ในตอนนี้ และบวกกับความเป็นตัวของตัวเองที่สูงเกินไป ทุกครั้งที่มีเรื่องทะเลาะกัน เขาไม่มีทางที่จะเป็นฝ่ายก้มหัวลงก่อน จะต้องให้คนอื่นเป็นฝ่ายไปเกลี้ยกล่อมเขา พอนาน ๆ ไป มันก็จะรู้สึกเหนื่อยมาก
และที่สำคัญราเม็งก็ชอบมายมิ้นท์ด้วย เพราะฉะนั้นเธอจึงไม่อยากให้สุดท้ายแล้วประธานมายมิ้นท์ก็ไปชอบเขาด้วย
พอมายมิ้นท์ได้ยินคำพูดของชาหวาน ก็วางโทรศัพท์ลงแล้วหัวเราะขึ้นมาเล็กน้อย “ครั้งนี้ยังดี อย่างน้อยเขาก็ตอบข้อความฉันกลับมา ในเมื่อตอบมาแล้ว งั้นฉันก็วางใจได้แล้ว ชาหวาน ฉันง่วงแล้วล่ะ”
“ได้ค่ะ เดี๋ยวฉันพยุงคุณไปค่ะ” ชาหวานพยุงเธอลุกขึ้นมา
ห้องเพรสซิเด้น สวีท ที่ชั้นบนสุด
หลังจากที่หมอสั่งยาให้เปปเปอร์เสร็จก็กลับไปเลย
ผู้ช่วยเหมันตร์ถือน้ำอุ่นแก้วหนึ่งเดินเข้ามาในห้องของเปปเปอร์ แล้วเห็นเปปเปอร์นอนพิงหัวเตียงอยู่ด้วยใบหน้าขาวซีด ในดวงตามีแววยินดีในความทุกข์ของคนอื่นกะพริบขึ้นมาเสี้ยวหนึ่ง
นี่ก็คือกรรมของการกินไม่รู้จักแบ่ง!
“แค่ก!” ผู้ช่วยเหมันตร์กระแอมไอขึ้นมาคำหนึ่ง แล้วเก็บความอยากจะขำขันในใจไป แล้วเอาน้ำยื่นไปให้ “ประธานเปปเปอร์ครับ กินยาได้แล้วครับ”
เปปเปอร์รับแก้วน้ำมา แล้วก็เอายาที่หัวเตียงมา และกินลงไปด้วยใบหน้าไม่มีปฏิกิริยาอะไร
“มายมิ้นท์น่าจะรู้เรื่องของฉันแล้วใช่ไหม?” เปปเปอร์วางแก้วน้ำลง แล้วพูดด้วยเสียงขรึมขึ้นมา
ผู้ช่วยเหมันตร์แตะแว่นเล็กน้อย “น่าจะใช่ครับ เมื่อกี้ตอนที่ผมคุยกับคุณหมออยู่ คุณชาหวานก็มาได้ยินเข้า คิดว่าคุณชาหวานน่าจะเอาไปบอกคุณมายมิ้นท์แล้วล่ะครับ”
สีหน้าของเปปเปอร์เคร่งขรึมขึ้นมาทันที
มายมิ้นท์รู้เรื่องแล้ว งั้นเธอจะมองเขายังไงนะ
จะหัวเราะเขาหรือเปล่า?
พอนึกถึงภาพชาหวานหัวเราะในตอนนั้น ใจของเปปเปอร์ ก็หนักหน่วงจนตกไปอยู่ก้นเหวทันที
ตอนนี้มายมิ้นท์รังเกียจเขาซะขนาดนี้ พอได้ยินเรื่องตลกของเขา ไม่มีทางที่เธอจะไม่หัวเราะเยาะเขา คงจะหัวเราะอย่างมีความสุขมาก ๆ แน่
ภาพลักษณ์ของเขา พังไปหมดแล้ว!
เปปเปอร์ยกแขนขึ้นมา มาบังสายตาเอาไว้ รู้สึกไม่อยากเผชิญหน้ากับโลกใบนี้ซะเท่าไหร่เลย
โตมาขนาดนี้แล้ว นี่เป็นครั้งแรกที่เขาขายหน้า
พอเห็นท่าทางเปปเปอร์เหมือนสับสนในชีวิต ผู้ช่วยเหมันตร์ก็รู้สึกไม่ค่อยกล้าที่จะมีความสุขในความทุกข์ของคนอื่นแล้ว แล้วก็หยิบแก้วน้ำบนหัวเตียงไปและพูดขึ้นว่า “ประธานเปปเปอร์ ผมขอตัวออกไปก่อนนะครับ?”
เปปเปอร์ตอบอืมไปคำหนึ่ง
ผู้ช่วยเหมันตร์หมุนตัวเดินออกไปทางประตู
เขาคงจะไม่รบกวนประธานเปปเปอร์แล้ว
ทิ้งที่นี่ไว้ให้ประธานเปปเปอร์ค่อย ๆ สงบสติอารมณ์ไป แล้วกลับสู่โลกมนุษย์อีกครั้งเถอะ
วันที่สอง พวกมายมิ้นท์ทั้งสามคนก็ไปขึ้นเครื่องกลับเมืองเดอะซีเลย
เปปเปอร์ไม่ได้ไปด้วย เขายังมีงานบางอย่างที่เมืองน้ำรุ้ง ยังต้องไปตรวจบัญชีของบริษัทลูกสักหน่อย รอตรวจเสร็จแล้วถึงจะกลับ
“ยาหยี!” พอมายมิ้นท์ลงเครื่องมา และออกมาจากทางออกแล้ว ก็ได้ยินเสียงดีอกดีใจของลาเต้ ดังลอยมาจากทางด้านหน้า