รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 446 ในที่สุดก็รอดแล้ว
มายมิ้นท์กะพริบตาอย่างเหม่อลอย
เธอจำได้ว่า เมื่อคืนตอนที่ตัวเองหลับไป เธอจงใจรักษาระยะห่างจากเขาครึ่งเมตร
หรือว่า เขาตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก แล้วขยับเข้ามา?
การคาดเดานี้กำลังผุดขึ้นมาในหัว มันก็ถูกมายมิ้นท์ปฏิเสธทันที
เพราะว่าเปปเปอร์นอนหลับไปก่อนเธอ ท่านอนก็เป็นแบบนี้ ไม่ได้เปลี่ยนไป ดังนั้นเขาน่าจะไม่ได้ตื่นขึ้นมาตอนกลางคืน
แต่ถ้าเขาไม่ได้ตื่นขึ้นมา แล้วทำไมเขาขยับมาอยู่ใกล้เธอขนาดนี้ มีเพียงคำตอบเดียวเท่านั้น
เธอนอนดิ้น ขยับเข้าไปหาเขาเอง!
คิดแบบนี้ มายมิ้นท์ก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คิดไม่ถึงว่าตัวเองจะนอนดิ้นแบบนี้
แต่ผ่านไปไม่นาน มายมิ้นท์ก็สงบสติอารมณ์ได้
เธอคิดว่าถึงแม้ว่าตัวเองจะขยับเข้าไป แต่ก็ไม่มีใครเห็น เธอไม่พูดแล้วใครจะรู้?
เปปเปอร์ยังไม่รู้ด้วยซ้ำ
บิดขี้เกียจ มายมิ้นท์เปิดผ้าห่มออกแล้วเดินไปที่กองไฟ
ฟืนหมดแล้ว ไฟก็ดับไปเอง แต่ว่ากองไฟยังร้อนอยู่ คาดว่าไฟน่าจะดับไปไม่นาน
จากนั้น มายมิ้นท์ก็จับเสื้อผ้าที่อยู่ข้างกองไฟ เห็นว่ามันแห้งหมดแล้ว เธอจึงดึงลงมาทีละตัว เตรียมที่จะเปลี่ยนเสื้อผ้า
“ไม่รู้ว่าตอนนี้กี่โมงแล้ว” มายมิ้นท์มองออกไปที่แสงสีขาวตรงทางเข้าถ้ำแล้วพึมพำกับตัวเอง
วินาทีต่อมา เธอก็นึกถึงนาฬิกาข้อมือของเปปเปอร์ เธอรีบวางเสื้อผ้าในมือลงแล้วไปดูนาฬิกา
แต่เมื่อมายมิ้นท์เดินเข้าไปหาเปปเปอร์ นั่งลงแต่ยังไม่ทันได้จับมือเขาออกมา ก็เห็นว่าสีหน้าของเขาผิดปกติ
ทำไมเขาหน้าแดงขนาดนี้
แล้วยังหายใจก็เร็วและหนักขนาดนี้
นี่มันคืออาการของคนเป็นไข้
เธอตกใจ มายมิ้นท์รีบยื่นมือออกไปแตะหน้าผากของเปปเปอร์ “ร้อนมาก!”
เธอรีบดึงมือกลับมาแล้วขมวดคิ้ว จากนั้นก็มองดูเขาด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึม
เมื่อวานตอนที่เธอทายาให้เขา เธอฆ่าเชื้อลดอักเสบ เพราะกังวลว่าจะดูแลแผลที่แผ่นหลังของเขาได้ไม่ดี ทำให้เขาไม่สบาย
แต่คิดไม่ถึงว่า ถึงแม้ว่าจะดูแลแผลดีขนาดนั้นแล้ว เขาก็ยังไม่สบาย
ดูเหมือนว่าสาเหตุของการไม่สบาย ไม่ใช่เพราะว่าบาดแผล แต่เป็นเพราะว่าหลังจากตกน้ำ เขาใส่เสื้อผ้าเปียกนานเกินไป แล้วยังตากลมหนาวบนหลังของเธออยู่นาน
“ไม่ได้ ต้องหาวิธีลดไข้” มายมิ้นท์กัดริมฝีปากตัวเอง จากนั้นก็รีบลุกขึ้นไปค้นดูในกล่องยาเมื่อคืน ค้นหายาลดไข้ออกมา
มายมิ้นท์ถือยากลับไปหาเปปเปอร์อีกครั้ง จากนั้นก็ประคองเขาขึ้นมา ให้เขาพิงไหล่ของเธอ เปิดปากของเขาแล้วยัดยาลดไข้เข้าไปในปากของเขา
จากนั้น เธอก็ปิดปากเขา ยกคางของเขาขึ้นอยากให้เขากลืนยาลงไป
แต่สำหรับคนที่หมดสติ เขาไม่มีทางกลืนมันลงไป
ดังนั้นมายมิ้นท์พยายามอยู่นาน แต่ยาก็ยังคงอยู่ในปากของเปปเปอร์
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วด้วยความกังวล
วินาทีต่อมา เธอก็คิดวิธีหนึ่งขึ้นมา สายตาของเธอเป็นประกาย
แต่ว่าวิธีนั้นค่อนข้างทำให้เธอลำบากใจ ถ้าเป็นไปได้ เธอไม่อยากทำแบบนั้นจริงๆ
แต่ตอนนี้เธอต้องทำเพื่อให้ไข้ของเขาลดลง
มายมิ้นท์ก้มหน้าลงมองใบหน้าที่แดงก่ำของเปปเปอร์สองสามวินาที สุดท้ายเธอก็สูดหายใจเข้าลึกๆ อ้าปากของเขาอีกครั้งจากนั้นก็ก้มหน้าลงจูบเขา
มายมิ้นท์ใช้ลิ้นดันยาลงไปในคอของเปปเปอร์ทีละนิด
หลังจากรู้สึกว่าดันเข้าไปที่คอแล้ว เธอก็เงยหน้าขึ้นมา เปิดขวดน้ำที่อยู่ข้างๆ ดื่มน้ำเข้าไปในปากแล้วจูบปากของเปปเปอร์อีกครั้ง ป้อนน้ำเข้าไปในปากของเขาทีละน้อย จนกระทั่งเห็นว่าเม็ดยาสีขาวในคอถูกน้ำดันลงไปแล้ว เธอถึงได้ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
“เยี่นมเลย ลงไปแล้ว” มายมิ้นท์ยิ้มอย่างดีใจ จากนั้นก็ปิดฝาขวดน้ำ
แต่เธอดีใจได้ไม่นาน เพราะเธอไม่แน่ใจว่ายาลดไข้จะได้ผลรึเปล่า มันจะทำให้ไข้ของเปปเปอร์ลดลงรึเปล่า
ดังนั้นพวกเขาจะอยู่รอให้คนของเปปเปอร์มาตามหาที่นี่ไม่ได้แล้ว
เพราะไม่มีใครรู้ว่าคนของเปปเปอร์จะมาเมื่อไหร่ ถ้ามาเร็วๆนี้ก็ดี แต่กลัวว่าถ้ามาช้า บางทีตอนนั้นเปปเปอร์อาจจะเป็นไข้คนกลายเป็นคนบ้าไปแล้ว
ดังนั้น เธอต้องพาเขาเดินต่อไปข้างหน้า
คิดแบบนี้ มายมิ้นท์ก็วางขวดน้ำลง เดินไปที่ที่วางเสื้อผ้าไว้เมื่อกี้ ถือกางเกงของเปปเปอร์มา ล้วงกระเป๋าเงินในกระเป๋ากางเกงของเขาออกมา หยิบเงินทั้งหมดออกมาแล้วยัดลงในกล่องยา
นี่คือเงินขอบคุณเจ้าหน้าที่ดูแลป่าไม้สองคนนั้น ขอบคุณที่พวกเขาทิ้งข้าวของพวกนี้ไว้ในถ้ำ
ไม่อย่างนั้นเธอกับเปปเปอร์คงจะหนาวตายไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว
หลังจากนั้น มายมิ้นท์ก็แบกเปปเปอร์เดินออกไปจากถ้ำ แม้แต่เสื้อผ้าก็ไม่ได้เปลี่ยน
เพราะว่าไม่ทันแล้ว เปลี่ยนเสื้อผ้ามันทำให้เสียเวลา เปปเปอร์ต้องไปหาหมอให้เร็วที่สุด ดังนั้นเธอจึงไม่สนใจเสื้อผ้าพวกนั้น
ถนนบนภูเขาที่ฝนพึ่งจะหยุดตกไปนั้นเดินยาก มายมิ้นท์เดินอย่างระมัดระวังทุกย่างก้าว กลัวว่าตัวเองและเปปเปอร์จะล้ม ดังนั้น เธอจึงเหนื่อยมากกว่าเมื่อวาน
ไม่รู้ว่าเดินออกมานานแค่ไหน ในที่สุดมายมิ้นท์ก็แบกเปปเปอร์ออกมาจากป่า
และเมื่อมายมิ้นท์เหนื่อยล้าจนหมดแรง เหงื่อออกเต็มหน้า เธอกำลังจะทนไม่ไหว เธอก็เห็นบ้านสองชั้นหลักหนึ่ง
มองไปที่บ้านหลังนั้น มายมิ้นท์ราวกับมองเห็นความหวังสุดท้าย เธอออกแรงสุดท้าย กัดฟันแล้วแบกเปปเปอร์เดินไป
ทันทีที่เดินเข้ามาในลานบ้านหลังนั้น หญิงวัยกลางคนถือกะละมังเดินออกมาจากในบ้าน เห็นพวกเขาที่น่าอนาถ เธอก็ตกใจ “พวกคุณ…”
“ช่วย…” ริมฝีปากแห้งเหือดของมายมิ้นท์ขยับเบาๆ ยังพูดไม่จบ เธอก็หน้ามืด
พลั่ก
เธอล้มตัวลง ล้มลงไปบนพื้นกับเปปเปอร์
ก่อนที่เธอจะหมดสติไป เธอเห็นหญิงวัยกลางคนคนนั้นโยนกะละมังในมือลงด้วยความตกใจ จากนั้นก็วิ่งเข้ามาหาเธอและเปปเปอร์แล้วตะโกนว่า “ตาแก่ รีบออกมาเร็ว มีคนเป็นลม!”
เธอและเปปเปอร์น่าจะรวดแล้วใช่ไหม?
คิดแบบนี้ มายมิ้นท์ก็สลบไปอย่างโล่งอก
เมื่อเธอตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็ผ่านไปแล้วหนึ่งวัน
มายมิ้นท์ลืมตาขึ้นมา มองเห็นเพดานสีขาว ได้กลิ่นยาฆ่าเชื้ออ่อนๆในอากาศ เธอรู้ว่านี่คือโรงพยาบาล
และมองเห็นการตกแต่งของห้องผู้ป่วยที่คุ้นเคย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่คือโรงพยาบาลนิวเวอร์
แต่ว่าทำไมเธอถึงอยู่ที่โรงพยาบาลนิวเวอร์?
หรือว่า คนของเปปเปอร์หาพวกเขาเจอแล้ว?
มายมิ้นท์ลูบหัวที่หนักหน่วงของตัวเอง จากนั้นก็กำลังจะยกตัวขึ้นนั่ง
สุดท้ายพึ่งจะนั่งได้นิดเดียว สีหน้าของเธอก็เปลี่ยนไป “เจ็บๆๆ…”
มายมิ้นท์รีบนอนลงอีกครั้งด้วยความไม่สบายตัว
เธอไปทำอะไรมา ทำไมเอวและหลังถึงได้ปวดขนาดนี้ ราวกับหักไปแล้ว!
“ที่รัก!”
และในขณะที่มายมิ้นท์กำลังปรับตำแหน่งการนอนของตัวเองเบาๆ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้โดนเอวและหลัง จู่ๆประตูห้องผู้ป่วยก็ถูกเปิด มีร่างหนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน เดินตรงเข้ามาที่เตียง บนใบหน้าที่หล่อเหลาเต็มไปด้วยความเป็นห่วง “ที่รักในที่สุดคุณก็ตื่นแล้ว ดีจังเลย ผมเป็นห่วงจะแย่อยู่แล้ว!”
ขณะที่เขาพูดอยู่ จู่ๆลาเต้ก็โน้มตัวลงมากอดมายมิ้นท์ น้ำตาคลอเบ้าแล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เหมือนจะร้องไห้ “ไม่ใช่แค่เป็นห่วง คุณทำผมตกใจแทบตาย รู้ว่าคุณตกลงไปจากหน้าผา วิญญาณของผมออกไปจากร่างทันที สองวันนี้แม้แต่นอนก็ยังนอนไม่หลับ ผมผอมลงไปมาก ที่รัก คุณต้องรับผิดชอบนะ”
ได้ยินเสียงที่สั่นเทาของลาเต้ และความหวาดกลัวในน้ำเสียงของเขา มายมิ้นท์รู้ว่า เรื่องที่ตัวเองตกหน้าผา ทำให้เขาตกใจจริงๆ เธอยกมือขึ้นตบหลังเขาเบาๆ “ขอโทษนะเต้ ที่ทำให้คุณเป็นห่วง ต่อไปฉันจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว”
“คุณยังอยากมีครั้งต่อไปอีกเหรอ” ลาเต้ปล่อยเธอออกแล้วมองหน้าเธอ