รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 453 องอาจอยู่ที่ไหน
“ใช่ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้า “จากเศษผ้าและรอยเท้าที่ท่านกับคุณมายมิ้นท์ทิ้งเอาไว้ บังเอิญกับที่ผมไปพบชาวบ้านคนหนึ่ง กำลังสนทนากับหมอ ผมจึงได้นำรูปภาพของท่านและคุณมายมิ้นท์เดินตรงเข้าไปถามว่าพวกเขาเคยเห็นคุณทั้งสองคนหรือไม่ คิดไม่ถึงว่าจะบังเอิญเหลือเกิน ชาวบ้านคนนั้นบอกว่าพวกคุณทั้งสองคนอยู่ที่บ้านของเขา ทั้งยังบอกว่าที่เดินทางมาเรียกหมอก็เพื่อจะให้ดูอาการของคุณทั้งสองคน”
สวรรค์เท่านั้นจึงจะรู้ว่าวินาทีที่เขาเดินทางไปถึงตีนเขาแล้วเห็นทะเลสาบนั้นเขาทั้งดีใจและตื่นเต้นเพียงใด
เนื่องจากเขารู้ว่าจากสภาพน้ำหนักของมนุษย์ หากว่าตกลงมาจากหน้าผาสู่ด้านล่าง หากไม่มีพายุหรือหินถล่ม ร่างก็คงจะตกลงมาสู่เบื้องล่างโดยไม่คลาดเคลื่อนแต่อย่างใด
ดังนั้นวินาทีที่เขาเห็นทะเลสาบก็รู้ได้ทันทีว่าประธานเปปเปอร์และคุณมายมิ้นท์ไม่ได้ตาย ด้วยเหตุนี้เองจึงให้คนส่งออกไปตามหาพวกเขาจนกระทั่งพบเบาะแส
เป็นไปดังนั้น พวกเขาค้นหาพบเศษเสื้อผ้าของมายมิ้นท์
เขารู้ดีว่านั่นเป็นสิ่งที่คุณมายมิ้นท์และประธานเปปเปอร์ทำสัญลักษณ์ไว้ให้พวกเขา ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงได้ติดตามเศษผ้าเหล่านั้น เข้าไปถึงถ้ำ แต่ว่าในถ้ำนั้นเขากลับมาพบเพียงเสื้อผ้าของคุณมายมิ้นท์และเปปเปอร์ ไม่เห็นทั้งสองคนแต่อย่างใด
เขาจึงรู้ตัวว่าน่าจะมาสายไปก้าวหนึ่ง คุณมายมิ้นท์และประธานเปปเปอร์น่าจะจากไปแล้ว ดังนั้นจึงได้รีบสั่งให้คนออกตามหาบริเวณรอบๆ ถ้ำ เมื่อเห็นรอยเท้าจึงได้ติดตามรอยเท้านั้นไป จนกระทั่งพบทั้งสองในที่สุด
“เป็นอย่างนี้นี่เอง” เปปเปอร์พยักหน้าตอบรับ
ผู้ช่วยเหมันตร์พูดขึ้นอีกว่า “ตอนนั้นท่านกำลังมีไข้สูง หากว่าไม่ได้ชาวบ้านไปเชิญหมอมาแล้วก็ คาดว่าท่านคงจะ……”
ประโยคข้างหลังนั่นกลายเป็นความเงียบงัน เขาไม่ได้พูดมันออกมา
แต่ว่าเปปเปอร์ก็เข้าใจ
เขาเหลือบตาไปมองดูผู้ช่วยเหมันตร์แล้วพูดขึ้นเบาๆ ว่า “โชคดีที่ชาวบ้านตามหมอมาให้พวกเราทัน แต่ถึงอย่างไรความดีความชอบนี้ก็ต้องยกให้มายมิ้นท์ เธอพาผมลงมาจากภูเขา ไม่อย่างนั้นหากจะให้รอพวกคุณมาถึงก็ไม่รู้ว่าต้องรอถึงเมื่อไหร่?”
ประโยคนี้ทำให้ผู้ช่วยเหมันตร์อ้าปากค้างพูดอะไรไม่ออก
ก็จริง ถ้าหากว่ามายมิ้นท์ไม่ได้พาประธานเปปเปอร์ลงมาจนกระทั่งพบกับหมู่บ้าน หากว่ารอให้พวกเขาไปหาล่ะก็ คาดว่าประธานเปปเปอร์คงจะจับไข้ตายไปแล้ว
เขายังจำได้ดีที่ชาวบ้านบอกกับเขาว่า ตอนที่เห็นคุณมายมิ้นท์กับประธานเปปเปอร์นั้น ประธานเปปเปอร์ถูกคุณมายมิ้นท์แบกเอาไว้ ประธานเปปเปอร์อยู่ในสภาพสลบไสล ส่วนคุณมายมิ้นท์ก็ดูท่าทางอ่อนแอมากเนื่องด้วยแบร์กประธานเปปเปอร์เอาไว้ กระทั่งในที่สุดเธอเหนื่อยมากหมดแรงและเป็นลมไป
วินาทีนั้น เขาจึงได้รู้ว่า ทำไมรอยเท้าที่พวกเขาติดตามไปนั้นจึงมีเพียงแค่รอยเท้าเดียว
“ขอโทษครับประธานเปปเปอร์ ผมพูดในสิ่งที่ไม่ควรออกไป” ผู้ช่วยเหมันตร์ก้มหน้าแล้วยอมรับผิด
เปปเปอร์ยกมือขึ้นเล็กน้อยแล้วถามว่า “ขอบคุณชาวบ้านเหล่านั้นหรือยัง?”
“เราได้ขอบคุณและตอบแทนพวกเขาแล้วครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบ
เปปเปอร์ตอบรับคำว่า “อืม” เบาๆ ในลำคอ “แล้วก็ยังมีคนขับรถอีกคนหนึ่ง ไปหาเขาให้เจอและอย่าลืมขอบคุณเขาด้วย” พูดจบก็ได้บอกหมายเลขทะเบียนรถแก่ผู้ช่วยเหมันตร์
ผู้ช่วยเหมันตร์รีบจดหมายเลขทะเบียนนั้นเอาไว้ “ประธานเปปเปอร์ครับ คนขับรถคนนี้เป็นใครกัน?”
“เป็นคนที่บอกข้อมูลว่ามายมิ้นท์ถูกคนพาขึ้นไปบนภูเขา อีกทั้งเป็นผู้หวังดีที่ออกหน้าจัดการกับพวกองอาจ” เปปเปอร์ขยับริมฝีปากเรียวบางของเขาแล้วกล่าวออกมา
ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้า “ผมเข้าใจแล้วครับ ประเดี๋ยวจะรีบให้คนออกไปตามหาครับ”
“อ้อ แล้วหาตัวองอาจเจอหรือยัง?” เปปเปอร์หรี่ตาลง สายตาแฝงไปด้วยความชั่วร้าย
ผู้ช่วยเหมันตร์ส่ายหน้า “ขออภัยครับประธานเปปเปอร์ เขาหนีไปได้ เฮลิคอปเตอร์ส่วนตัวขององอาจได้ทำการยื่นขอขับออกนอกเส้นทางเมืองเดอะซีไว้ล่วงหน้า แต่เฮลิคอปเตอร์ของเรานั้นขับออกจากดาดฟ้าของบริษัทกะทันหัน ดังนั้นจึงไม่มีเวลาพอที่จะยื่นขอ เดินทางนอกเส้นทาง จึงทำได้เพียงมองดูองอาจเดินทางออกไปจากเมืองเดอะซีไป”
เครื่องบินนั้นไม่ใช่รถยนต์ รถยนต์เพียงแค่ไม่ขับออกจากประเทศ ไม่ว่าที่ใดในประเทศก็สามารถขับไปได้
แต่เครื่องบินไม่อาจทำเช่นนั้นได้ เครื่องบินไม่ว่าจะเดินทางเข้าออกเมืองใดหรือมณฑลใดก็ตาม ล้วนจะต้องทำเรื่องขออนุญาตเข้าออกและหนังสือขออนุญาตบิน ไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถบินออกไปนอกเมืองเดอะซีได้ เพราะพวกเขาอาจจะถูกทหารอากาศยิงจนตก
เปปเปอร์รู้ถึงข้อนี้ดี ดังนั้นจึงไม่ได้มีท่าทางจะตำหนิผู้ช่วยเหมันตร์
เขาเพียงเม้มริมฝีปากเบาๆ แล้วกล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “ตอนนี้เราไม่รู้ว่าองอาจเดินทางไปที่ไหนใช่ไหม?”
“ครับ” ผู้ช่วยเหมันตร์ตอบ “หลายวันมานี้ผมพยายามติดตามหาองอาจ ทางเมืองหลวงก็ได้ส่งคนออกไปตามหาเช่นกัน อีกทั้งได้สืบถามข้อมูลจากทางทหารเมืองหลวง เครื่องบินขององอาจดูเหมือนจะไม่ได้เข้าไปในบริเวณน่านฟ้าเมืองหลวง ดังนั้นผมจึงเดาว่าหลังจากที่เขาเดินทางออกไปจากเมืองเดอะซีแล้ว ได้บินไปยังทิศทางอื่น แต่จะเป็นทิศทางใดตอนนี้เรายังไม่ทราบ”
“คุณไม่ได้ให้ทหารของเมืองหลวงติดต่อไปที่ทหารอากาศของเมืองอื่นดูเหรอว่ามีเครื่องบินต่างถิ่นบินเข้าน่านฟ้าหรือไม่? ทหารอากาศตามเขตต่างๆ น่าจะจับเรดาร์ได้ตั้งแต่แรก” เปปเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากันแน่นแล้วถามขึ้น
ผู้ช่วยเหมันตร์ขยับแว่นตาของตนแล้วตอบว่า “แน่นอนว่าเราได้สืบถามไปแล้วครับ จากความสัมพันธ์อันกว้างขวางของนายท่าน เมื่อผมได้เอ่ยคำร้องขอนี้ออกไป ทางทหารของเมืองหลวงก็ได้ตอบรับทันที อีกทั้งรีบติดต่อทหารอากาศของมณฑลอื่นให้อย่างรวดเร็ว แต่ว่าคำตอบของบรรดาทหารอากาศเมืองอื่นๆ นั้นล้วนเป็นคำตอบเดียวกัน พวกเขาจับเรดาร์เฮลิคอปเตอร์ขององอาจ ว่าบินเข้าน่านฟ้ามณฑลของพวกเขาไม่ได้เลย นั่นหมายความว่า เครื่องบินขององอาจสูญหายไป”
“สูญหายอย่างงั้นเหรอ?” เปปเปอร์หัวเราะออกมาด้วยความเยือกเย็น สีหน้าของเขาดูหนักอึ้ง “มันไม่ใช่หนังประหลาดลี้ลับอะไรนะครับ เฮลิคอปเตอร์ทั้งคันมันจะสูญหายไปเฉยๆ ได้อย่างไร จากที่ผมเดาดูแล้ว คาดว่าหลังจากองอาจเดินทางออกจากเมืองเดอะซีไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็คงจะกระโดดร่มแล้วสละเครื่องบินทิ้ง มีเพียงเท่านี้เครื่องบินของเขาจึงจะไม่ถูกตรวจจับ”
“หากว่าเป็นอย่างนั้น การจะตามตัว องอาจได้ก็คงจะยากกว่าเดิม” ผู้ช่วยเหมันตร์กล่าวออกมาด้วยใบหน้าเคร่งขรึม “หลังจากที่เขากระโดดลงมาแล้ว คาดว่าคงจะเปลี่ยนเป็นยานพาหนะชนิดอื่น ดีไม่ดีตอนนี้ตัวเขาอาจจะอยู่ที่ต่างประเทศแล้วก็ได้”
เปอร์เซ็นต์ที่องอาจจะอยู่ในประเทศค่อนข้างน้อย
เนื่องจาก องอาจ ได้ผลักคุณมายมิ้นท์ลงไปในหุบเหว อีกทั้งเปปเปอร์ก็ได้กระโดดตามลงไปด้วย
องอาจรู้ดี ไม่ว่าประธานเปปเปอร์จะเป็นหรือตาย ตระกูลนวบดินทร์ก็คงจะไม่ปล่อยเขาไปแน่ ดังนั้นเขาจะไม่อยู่ในประเทศเด็ดขาด หากว่ายังอยู่ในประเทศก็เท่ากับรอความตาย
“ติดต่อไปที่บริษัทการบินทุกบริษัทแล้วตรวจดูการเดินทางเข้าออกของทุกสนามบินหลักในประเทศ” เปปเปอร์ออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น
ผู้ช่วยเหมันตร์ยืดกายตรง “ครับ ผมจะรีบไปลงมือเดี๋ยวนี้!” เมื่อพูดจบเขาก็หาหลังมุ่งหน้าไปทางประตู
ทันทีที่เปิดประตูออกไปก็พบกับมายมิ้นท์ที่กำลังทำท่ายกมือขึ้นจะเคาะประตูห้อง
มายมิ้นท์คิดไม่ถึงว่าขณะที่ตนกำลังจะเคาะประตูนั้น แต่ประตูกลับถูกเปิดออกเสียก่อน เธอจึงเรียกวางมือลง พยักหน้าแล้วยิ้มขึ้นเล็กน้อยพูดว่า “ผู้ช่วยเหมันตร์”
ผู้ช่วยเหมันตร์เองก็มองไปยังเธอแล้วกล่าวขึ้นเบาๆ ว่า “คุณมายมิ้นท์มาเยี่ยมประธานเปปเปอร์เหรอครับ?”
“ค่ะ” มายมิ้นท์รู้ดีว่าเขาไม่อยากจะเจอหน้าเธอสักเท่าไหร่ จึงไม่ได้พูดอะไรมากและตอบรับออกมาเพียงเท่านั้น
ผู้ช่วยเหมันตร์ปลีกตัวออกจากประตูทางเข้าแล้วพูดว่า “เชิญเข้ามาสิครับ ประธานเปปเปอร์ฟื้นแล้ว”
“เปปเปอร์ฟื้นแล้วเหรอ?” มายมิ้นท์เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ
ผู้ช่วยเหมันตร์พยักหน้า “ใช่ครับ”
“ดีจังเลยค่ะ” มือทั้งสองข้างของมายมิ้นท์กุมกันเอาไว้แล้วพูดขึ้นด้วยท่าทางดีใจ
ผู้ช่วยเหมันตร์เห็นท่าทางของเธอแล้วก็ได้แต่เม้มริมฝีปาก
ด้วยท่าทางของเธอเมื่อครู่ ใครไม่รู้ก็คงคิดว่าเธอชื่นชอบประธานเปปเปอร์มากสินะ
จากนั้นผู้ช่วยเหมันตร์ก็เดินออกจากห้องผู้ป่วยไปด้วยใบหน้าเยือกเย็น
มายมิ้นท์รอจนกระทั่งเขาเดินทางจากไปจนลับตา เธอจึงได้เดินเข้าไปในห้องผู้ป่วย
“ประธานเปปเปอร์คะ” เธอปิดประตูลงแล้วเอ่ยเรียกชายหนุ่มที่นั่งเอนหลังพิงไปที่หัวเตียง เขาหลับตาลงหายใจช้าๆ
เมื่อเปปเปอร์ได้ยินน้ำเสียงของมายมิ้นท์เขาก็ลืมตาขึ้นทันใด แววตาของเขาแฝงไปด้วยความยินดี ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็ว เขามองไปทางหญิงสาวที่เดินตรงเข้ามา น้ำเสียงก็อ่อนลงเช่นกัน “มาแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ ฉันมาเยี่ยมคุณ” มายมิ้นท์เดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียงของเขา
เปปเปอร์ชี้ไปยังเก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามแล้วพูดว่า “นั่งก่อนสิครับ”
“ขอบคุณค่ะ” มายมิ้นท์หันไปมองดูเก้าอี้ตัวนั้นแล้วลากมันเข้ามานั่งลงข้างๆ ก่อนจะพิจารณามองดูเขา
สีหน้าเขายังคงดูซีดเซียว แต่ก็ดีกว่าตอนที่เธอฟื้นขึ้นแล้วเห็นในตอนนั้นมาก คาดว่าเขาคงจะจะดีขึ้นบ้างเล็กน้อยแล้ว
เมื่อคิดได้ดังนั้น มายมิ้นท์จึงเอ่ยปากถามขึ้นว่า “ตอนนี้……รู้สึกยังไงบ้างคะ?”