รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 457 ป้อนโจ๊กให้เขา
มายมิ้นท์เหล่ตามองเขาแล้วพูดว่า “ฉันล่ะไม่อยากสนใจคุณเลยเชียว ถ้าอยากจะกินข้าวก็รอสักครู่ แต่อันนี้ไม่ได้”
ลาเต้เบ้ริมฝีปากแล้วตอบว่า “ก็ได้ครับ เห็นแก่ที่เปปเปอร์ช่วยชีวิตคุณเอาไว้ ของพวกนี้ผมจะให้เขากินก็ได้”
“ให้ได้อย่างนี้สิคะ” มายมิ้นท์ยิ้มขึ้น “คุณนั่งรอก่อนนะ เดี๋ยวฉันจะทำอาหารมาให้ ครู่เดียวไม่นานหรอกค่ะ”
“ครับ” ลาเต้พยักหน้าแล้วเดินตรงไปที่โซฟา
จากนั้นมายมิ้นท์ก็ได้ส้วมผ้ากันเปื้อน แล้วตรงเข้าไปในห้องครัวเพื่อทำอาหารต่อ
ในไม่ช้าอาหารก็ทำเสร็จ ทั้งสองนั่งลงตรงข้ามกันที่โต๊ะกินข้าว
ลาแต่หยิบตะเกียบขึ้นมาแล้วจู่ๆ ก็เอ่ยถามว่า “อ้อจริงสิครับที่รัก เมื่อสักครู่ผมเห็นกระเป๋าเดินทางของคุณอยู่ตรงโต๊ะน้ำชา คุณจะเดินทางไกลเหรอ?”
“ก็ไม่เชิงค่ะ จะไปที่บ้านของคุณตาสักหน่อย” มายมิ้นท์กลืนข้าวลงคอแล้วตอบเขา
ลาเต้มองไปที่เธอด้วยความสงสัย “กลับไปที่นั่นทำไมครับ?”
“ช่วยคุณตาหาสมุดบันทึกหน่อยน่ะค่ะ”
“อ๋อเหรอ งั้นผมจะไปเป็นเพื่อนนะ” ลาเต้ใช้ตะเกียบคีบอาหารไปวางไว้ในจานแล้วพูดขึ้น
มายมิ้นท์เหล่ตามองเขา “คุณจะไปทำไมคะ?”
“ผมจะไปเป็นคนขับรถให้ กล้ามเนื้อที่ข้างหลังของคุณยังไม่หายดีคงจะขับรถได้เองไม่นานหรอก เดี๋ยวก็คงปวดหลัง ดังนั้นให้ผมไปด้วยจะวางใจกว่า” ลาเต้พูดจบก็ยิ้มขึ้น
มายมิ้นท์เอื้อมมือไปสัมผัสที่หลังของตน
เมื่อเธอสัมผัสเข้ากับมันก็รู้สึกเจ็บปวดขึ้นมา
เธอเข้าใจดีว่าสภาพของเธอในตอนไม่อาจจะขับรถระยะทางไกลได้ เนื่องจากว่าหากนั่งในท่าเดียวนานๆ เธอก็จะเจ็บหลัง
แต่ว่าคนขับรถของเธอวันนี้ได้ขอลาหยุดพอดี เพราะวันพรุ่งนี้เป็นวันเกิดลูกสาวของเขา
เมื่อเป็นดังนี้คิดว่าเธอคงจะทำได้เพียงหาคนขับรถใหม่และไปด้วยกัน
“ในเมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ขอรบกวนคุณด้วยนะ พรุ่งนี้เช้าเก้าโมงออกเดินทาง” มายมิ้นท์ตักซุปใส่ถ้วยของตน
ลาเต้พยักหน้า “โอเค ถ้าอย่างนั้นก็เอาตามนี้ พรุ่งนี้เช้าผมจะมารับคุณ”
“ค่ะ” มายมิ้นท์ตอบรับ
เมื่อรับประทานอาหารเสร็จ ทั้งสองคนก็เดินทางออกจากบ้านไป
ที่ด้านนอกของคอนโดพราวฟ้า มายมิ้นท์ปฏิเสธลาเต้ที่อาสาไปส่ง
เนื่องจากว่า นับแต่คอนโดพราวฟ้าไปที่โรงพยาบาลนิวเวอร์อย่างมากก็ใช้เวลาสี่สิบนาที ซึ่งเธอพอจะทนได้
เมื่อเห็นว่าเธอยืนหยัดเช่นนั้น ลาเต้เองก็ไร้หนทาง จึงทำได้เพียงตามใจเธอ
แต่ขณะที่มายมิ้นท์กำลังจะเอื้อมมือไปเปิดประตูก้าวขึ้นรถไป จู่ๆ ลาเต้ก็ตะโกนเรียกเธอว่า “ที่รักครับ”
“คะ?” มายมิ้นท์จับไปที่ประตูรถแล้วมองเขาด้วยท่าทางสงสัย
ลาเต้กำชับด้วยสีหน้าจริงจังว่า “ตอนที่อยู่ดูแลเปปเปอร์ คุณระวังตัวด้วยอย่าให้เขาเอาเปรียบเขาล่ะ”
มายมิ้นท์อดไม่ได้ที่จะเผยอริมฝีปากขึ้นแล้วหัวเราะ “คิดอะไรอยู่กันนะคะเนี่ย ฉันจะไปถูกเขารังแกได้ยังไง?”
“ที่รักครับผมพูดเรื่องจริง คุณอย่าทำเป็นเล่นไป เปปเปอร์ยังไม่ถอดใจจากคุณหรอก และตอนนี้เขาเข้ามาช่วยเหลือคุณเอาไว้ คงยากที่จะบอกว่าเขาไม่คิดจะทวงบุญคุณคืน ดังนั้นจึงจะร้องขอให้คุณทำนู่นทำนี่ เนื่องจากว่าคุณติดหนี้เขาและไม่อาจปฏิเสธได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ของลาเต้ มายมิ้นท์ก็ขมวดคิ้วเข้าหากัน
แต่ในไม่ช้าคิ้วของเธอก็คลายลง ยิ้มเบาๆ แล้วตอบว่า “เขาไม่ทำแบบนั้นหรอกค่ะ นิสัยของเขาเป็นอย่างไรฉันก็พอจะรู้อยู่บ้าง เขาไม่ทำเรื่องแบบนี้แน่”
ก่อนหน้านี้ไม่ใช่ว่าเธอไม่เคยติดหนี้บุญคุณเปปเปอร์มาก่อน ไม่ว่าจะเป็นการกู้ยืมจำนวนกว่าพันล้าน หรือสัญญาของบริษัทต่างๆ เหล่านั้น
เพียงแค่เปปเปอร์ต้องการ เขาสามารถใช้เหตุผลเหล่านี้มาบีบบังคับเธอ ทำให้เธอต้องก้มหน้ายอมรับก็ได้
แต่เปปเปอร์ไม่เคยคิดจะทำอย่างนั้นมาก่อน ดังนั้นเธอจึงเชื่อว่าเปปเปอร์ไม่ใช่คนแบบนั้น
เมื่อพบว่ามายมิ้นท์ไม่เห็นด้วย ลาเต้ถึงได้ถอนหายใจออกมา “เฮ้อ ช่างเถอะ ตอนนี้ผมพูดอะไรไปคุณก็คงไม่ฟัง เอาเป็นว่าคุณระมัดระวังตัวเอาไว้หน่อยก็ดี ถ้ามีเรื่องอะไรก็โทรหาผมได้เสมอ ผมจะรีบไปทันที”
“ค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้าตอบรับ
จากนั้นเธอก็โบกมือลาลาลาเต้แล้วขึ้นรถขับตรงออกไป
ผ่านไปประมาณสี่สิบนาที มายมิ้นท์ก็มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูห้องผู้ป่วยของเปปเปอร์
ประตูนั้นปิดสนิทอยู่ แต่ก็พอจะได้ยินน้ำเสียงที่ออกมาจากภายในห้องเล็กน้อย น่าจะเป็นเสียงเปปเปอร์กำลังโทรศัพท์กับใครสักคนอยู่
มายมิ้นท์ยกมือขึ้น ตั้งใจจะเคาะประตู
ทันใดนั้นก็ได้ยินน้ำเสียงฝีเท้าอันเร่งรีบก้าวเข้ามา
วินาทีต่อมาประตูก็ถูกเปิดออก หญิงวัยกลางคนคนหนึ่งสวมชุดพยาบาลปรากฏอยู่ตรงหน้าเธอ หล่อนยิ้มให้แก่มายมิ้นท์แล้วกล่าวว่า “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าคุณคือ?”
“ฉันมาเยี่ยมประธานเปปเปอร์น่ะค่ะ ฉันเอาอาหารมาด้วย” มายมิ้นท์ยกกล่องเก็บอุณหภูมิสำหรับใส่อาหารขึ้น
พยาบาลจึงอุทานออกมาว่า “อ้อ คุณมายมิ้นท์นี่เอง”
“คุณรู้จักฉันเหรอคะ?” มายมิ้นท์ถามด้วยความตกตะลึง
พยาบาลพยักหน้าแล้วยิ้มขึ้น “ตอนที่ดิฉันเข้าไปดูแลคุณเปปเปอร์ คุณเปปเปอร์ได้บอกกับฉันว่าถ้ามีคุณผู้หญิงที่นำอาหารมาให้ก็ให้เข้าไปได้เลยค่ะ”
“อ๋อค่ะ อย่างนี้นี่เอง” มายมิ้นท์จึงได้เข้าใจ
เปปเปอร์ได้กำชับไว้แล้วนี่เอง
“คุณมายมิ้นท์รีบเข้าไปเถอะค่ะ คุณเปปเปอร์รอคุณอยู่นานมากแล้ว” พยาบาลหลีกทางให้แก่เธอ
มายมิ้นท์เลิกคิ้วขึ้น “รอฉันนานมากแล้วเหรอคะ?”
“ใช่ค่ะ ก่อนหน้านี้ประมาณสิบนาที คุณเปปเปอร์ยังให้ดิฉันออกไปดูที่ระเบียงเลยว่ามีผู้หญิงหน้าตาสวยงามเดินถือกล่องอาหารมาหรือเปล่า” พยาบาลตอบ
มายมิ้นท์ได้แต่ยิ้มเบาๆ “ค่ะเข้าใจแล้ว ขอบคุณมากเลยนะคะ”
มองดูแล้วเปปเปอร์น่าจะหิวพอควร
ก็น่าจะจริงอยู่ นี่มันปาเข้าไปสองทุ่มกว่าแล้ว เธอมาช้าไปหน่อย
มายมิ้นท์เดินถือกล่องข้าวเก็บอุณหภูมิเข้าไปด้านในห้อง
เปปเปอร์นั่งพิงอยู่ที่หัวเตียง เขาหลับตาสนิทดูเหมือนว่าจะหลับแล้ว
แต่มายมิ้นท์รู้ดีว่าเขาไม่ได้หลับ เพราะเมื่อสักครู่ยังได้ยินเสียงเขาโทรศัพท์อยู่เลย
มายมิ้นท์เดินตรงเข้าไปแล้ววางกล่องอาหารลงที่หัวเตียงโต๊ะข้างเตียง ก่อนจะอ้าปากเรียกชายหนุ่มว่า “ประธานเปปเปอร์”
ชายหนุ่มได้ยินเสียงนั้นก็รีบลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว สายตาจับจ้องไปที่เธอ “มาแล้วเหรอครับ?”
“ค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้า “ขอโทษด้วยนะคะที่ทำให้รอนาน ฉันทำข้าวต้มหมูให้คุณ แล้วก็山药糕 รสชาติอาจจะจืดไปหน่อย ลองดูว่าถูกปากไหม”
เมื่อพูดจบเธอก็เปิดกล่องข้าวออก จากนั้นตักโจ๊กให้เขา
เปปเปอร์มองดูท่าทางของเธอ แววตาของเขาอ่อนโยนลงทันใด
“ถ้าเป็นอาหารที่คุณทำ ผมก็ชอบหมดครับ”
กิริยาท่าทางของมายมิ้นท์ชะงักลงเล็กน้อย แต่ในไม่ช้าเธอก็ทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วตักโจ๊กต่อ
เมื่อตักอาหารเสร็จแล้วเธอก็ยื่นให้เขา “ระวังร้อนนะคะ”
เปปเปอร์ใช้มือข้างหนึ่งพยุงร่างกายให้ลุกขึ้นนั่ง จากนั้นเอื้อมมือไปรับชามโจ๊กจากเธอมา “ขอบคุณครับ”
แต่เมื่อเขารับมันไป ทั้งสองคนจึงได้รู้สึกว่ามืออีกข้างหนึ่งของเขาไม่อาจขยับได้ ดังนั้นถ้าเขามีมือข้างเดียวก็คงไม่อาจกินได้น่ะสิ
เพราะว่าหากมือข้างนั้นใช้ในการถือชามแล้ว ก็ไม่อาจจับช้อนได้
สายตาทั้งสองคู่ประสานกัน บรรยากาศดูอึดอัดขึ้นทันใด
ผ่านไปไม่กี่วินาที มายมิ้นท์จึงได้กระแอมออกมาแล้วพูดว่า “เอ่อคือ ฉัน……”
“เดี๋ยวผมลงไปกินครับ” เปปเปอร์พูดขัดประโยคของเธอแล้ววางถ้วยเอาไว้ที่หัวเตียง
แต่ยังไม่ทันที่เขาจะขยับเขยื้อน มายมิ้นท์ก็ได้พูดขัดขึ้นว่า
“อย่าค่ะ คุณขึ้นลงเตียงไม่สะดวก ให้ฉันป้อนดีกว่า” มายมิ้นท์พูด
เปปเปอร์ชะงักลงเล็กน้อย แววตามืดมนมองไปทางเธอ กล่าวด้วยน้ำเสียงอันแหบแห้งว่า “คุณรู้หรือเปล่าว่ากำลังพูดอะไรอยู่? คุณจะป้อนผมเหรอ?”
มายมิ้นท์พยักหน้า “มีอะไรผิดปกติงั้นเหรอคะ?”
เมื่อมองเห็นแววตาอันงุนงงของเธอ เปปเปอร์ก็รู้ว่าเธอยังไม่ตระหนักถึงปัญหา จึงได้ยิ้มแล้วพูดเบาๆ ว่า “มายมิ้นท์ครับ การที่จะป้อนใครกินข้าว มันเป็นท่าทางที่ค่อนข้างจะใกล้ชิดกันนะ คุณแน่ใจว่าคุณจะป้อนผมเหรอ?”
“……” มายมิ้นท์ชะงักลง
เธอไม่ได้นึกถึงตรงนี้เลย
แต่ในเมื่อพูดมาถึงจุดนี้แล้ว ถ้าเธอจะกลับคำก็คงดูจะจงใจไปหน่อย
ดูเหมือนกับว่าทั้งสองคนมีอะไรบางอย่างต่อกัน ดังนั้นจึงพยายามจงใจหลีกเลี่ยงความรู้สึก
เมื่อคิดได้ดังนั้น มายมิ้นท์ก็สูดลมหายใจเข้าลึก สายตาของเธอมองไปยังแขนข้างซ้ายที่ถูกใส่เฝือกอยู่ของเปปเปอร์ “ตอนนี้คุณเป็นคนไข้ที่ได้รับบาดเจ็บนะคะ ส่วนฉันเป็นคนที่จะมาดูแลคุณ ดังนั้นการที่จะป้อนอาหารคนบาดเจ็บก็เป็นเรื่องปกติธรรมดา ไม่เป็นท่าทางอะไรที่ใกล้ชิดแบบนั้นหรอกค่ะ เอาล่ะประธานเปปเปอร์ อ้าปาก”
เธอยกถ้วยโจ๊กขึ้นจากโต๊ะข้างหัวเตียงแล้วใช้ช้อนตักมันขึ้นมาเป่าเบาๆ ก่อนจะยื่นไปที่ปากเขา
เปปเปอร์มองดูเธอ ก่อนจะมองไปที่โจ๊กซึ่งอยู่ในช้อนที่บัดนี้ส่งกลิ่นหอมกรุ่นออกมา ท้ายที่สุดแล้วเขาก็อ้าปากกินมันเข้าไป