รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 461 ทำให้เธอโกรธ
“ได้ คุณไปเถอะ” ลาเต้โบกมือเล็กน้อย
มายมิ้นท์กลับห้องแล้วก็เอาเสื้อผ้าออกมา แล้วเข้าห้องน้ำไป
ลาเต้เดินไปนั่งลงตรงหน้าโซฟา และเอารีโมตมาเปิดทีวีออก แล้วดูทีวีไปด้วย และนั่งรอเธออาบน้ำให้เสร็จออกมาไปด้วย
รอไปประมาณสิบกว่านาที มายมิ้นท์ก็ออกมาแล้ว
เธอที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จออกมา ใบหน้ายังมีสีแดงระเรื่ออยู่เสี้ยวหนึ่ง แม้แต่ดวงตา ก็ยังดูเหมือนมีหมอกควันจาง ๆอยู่ ดูไปแล้วทั้งบริสุทธิ์ทั้งน่าจับจอง ทำให้จิตใจคนเกิดความคิดเรื่อยเปื่อยขึ้นมา
สายตาของลาเต้มืดมนลงเล็กน้อย แล้วก็อดไม่ได้ที่จะผิวปากขึ้นมา “ยาหยี คุณออกมาทั้งอย่างนี้เลย นี่จะมาหว่านเสน่ห์ใส่ผมใช่ไหม?”
มายมิ้นท์มองตาขาวใส่เขาทีหนึ่ง “ฉันจะไปหว่านเสน่ห์ใส่นายทำไม?”
“คุณไม่ได้กำลังหว่านเสน่ห์ใส่ผมอยู่เหรอ? อาบน้ำเสร็จก็ออกมาเลย ต้องรู้ไว้ว่าสำหรับผู้ชายคนหนึ่งแล้ว นี่มันเป็นการหว่านเสน่ห์ที่ถึงตายเลยนะ ยาหยี หรือคุณคิดอะไรกับผมอยู่……”
ลาเต้พูดยังไม่ทันจบ ก็โดนมายมิ้นท์โยนตุ๊กตาใส่ไปตัวหนึ่ง
พอกระแทกโดนหน้าผากของลาเต้ เขาก็ล้มลงไปบนโซฟา แล้วร้อยโอ๊ยขึ้นมาคำหนึ่ง
มายมิ้นท์ตบมือเล็กน้อย “วัน ๆ เอาแต่พูดจาไร้สาระ เอาล่ะ เดี๋ยวฉันจะกลับไปเป่าผมที่ห้องแล้ว นายก็ดูทีวีต่อไปเถอะ”
พูดแล้ว เธอก็เปิดประตูเดินเข้าห้องนอนไป
ลาเต้นวดหน้าผากไปแล้วลุกขึ้นมานั่ง จ้องมองประตูห้องที่ปิดแน่นหนา ดวงตานั้นมืดมนเป็นอย่างมาก
ว่าแล้ว ยังไงเธอก็ไม่มีทางเข้าใจความในใจของเขาอยู่ดี
ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่เคยแอบส่งสัญญาณให้เธอ ว่าเขานั้นไม่เคยคิดว่าเธอเป็นเพื่อนสนิทอะไรเลย แต่คิดว่าเธอเป็นหญิงสาวที่ใจรัก และอยากจะเป็นแฟนด้วยมาตลอด
แต่ว่าเธอไม่เคยเข้าใจเลย และรู้สึกว่าเขากำลังพูดจาไร้สาระ หยอกล้อเธอเล่น และไม่คิดจริงจังเลย
แน่นอนว่า การที่ทำให้มีจุดจบแบบนี้ ก็มีสาเหตุมาจากตัวเขาด้วยเหมือนกัน
เขาไม่เคยบอกกับเธอตรง ๆ เลย ว่าเขาชอบเธอ
เพราะว่าเขาไม่กล้าพอ อ่อนแอเกินไป เป็นกังวลมากเกินไป
เขาเป็นกังวลมาตลอด ว่าถ้าบอกกับเธอไป บางทีพอถึงตอนนั้น พวกเขาอาจจะไม่ได้เป็นเพื่อนกันอีกด้วยซ้ำ
ท่านแม่ผู้ยิ่งใหญ่ของเขาก็มองความกังวลนี้ของเขาออก แล้วก็เคยเกลี้ยกล่อมเขา ว่าให้เขามีความกล้าขึ้นมาหน่อย บางทีถ้าสารภาพรักออกไป สิ่งที่แลกมาได้อาจจะไม่ใช่ไม่เหลือโอกาสเป็นเพื่อน แต่อาจจะมีโอกาสได้เป็นแฟนกันด้วยซ้ำ แต่เขาก็ยังทำไม่ได้อยู่ดี
และนี่ก็คือเหตุผลที่ว่าทำไม ทั้ง ๆ ที่เขาเป็นคนที่รู้จักกับเธอมาก่อน และคบหากันมานานที่สุด แต่สุดท้ายแล้ว เธอกลับไปตกหลุมรักผู้ชายคนอื่น
ถ้าหากว่าเขากล้าหาญขึ้นมาหน่อย มีความกล้าขึ้นมาหน่อย บางทีจุดจบของเขากับเธอ อาจจะแตกต่างออกไปก็ได้?
“กำลังคิดอะไรอยู่?” ในขณะที่กำลังครุ่นคิดอยู่นั้น น้ำเสียงของมายมิ้นท์ก็ดังขึ้นมาตรงหน้า
แววตาของลาเต้สั่นไหวขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วก็รวบรวมความคิดกลับมา “ไม่มีอะไร”
เขายิ้มเล็กน้อยแล้วก็มองไปที่เธอ ผมของเธอเป่าแห้งไปแล้ว แล้วก็มัดเป็นมวยผมอยู่ตรงกลางหัว บนใบหน้าแต่งหน้าจาง ๆ ไว้ และบวกกับชุดลำลองสบาย ๆ บนตัว ดูไปแล้วไม่เหมือนกับเป็นผู้หญิงอายุยี่สิบหกยี่สิบเจ็ดที่โตเป็นผู้ใหญ่แล้ว แต่เหมือนเด็กนักศึกษาที่เพิ่งจบจากมหาลัยมา
“แต่งตัวแบบนี้ไม่เลวเลยนี่” ลาเต้ปิดทีวีไปแล้ว และก็ลุกขึ้นมา ชื่นชมขึ้นประโยคหนึ่ง
มายมิ้นท์ยิ้มแล้วก็พูดขึ้นว่า “ความหมายของนายคือ ปกติฉันแต่งตัวไม่ได้เรื่องเหรอ?”
“มันก็ไม่ใช่หรอก ผมแค่อยากจะบอกว่า การแต่งตัวของคุณในวันนี้ ดูแล้วมันเข้าหาได้ง่ายกว่า การแต่งตัวในตอนปกตินั้น มันเหมือนผู้หญิงแกร่งคนหนึ่ง” ลาเต้เอามือทั้งคู่ใส่ไว้ในกระเป๋าแล้วพูดไป
มายมิ้นท์สะพายกระเป๋าไว้ “ช่วยไม่ได้ หน้าตาฉันอ่อนหวานเกินไป ทำให้ดูไม่มีความน่าเกรงขาม จึงต้องลงทุนลงแรงกับการแต่งตัวสักหน่อย ถึงจะทำให้ตัวเองดูแล้วมีความน่าเกรงขามขึ้น ไม่งั้นจะควบคุมคนในบริษัทให้อยู่หมัดได้ยังไง”
“มันก็ใช่อยู่” ลาเต้พยักหน้า
“เอาล่ะ ไปกันเถอะ” มายมิ้นท์หมุนตัวไปก็จะไปลากกระเป๋าเดินทางเลย
แล้วลาเต้ก็ยื่นมือออกไป “ให้ผมเถอะ”
มายมิ้นท์เองก็ไม่ได้เกรงใจเขา แล้วก็เอากระเป๋าเดินทางมอบให้เขาไป
หลังจากที่ออกมาแล้ว ทั้งสองคนก็ขับรถมุ่งหน้าไปยังด่านเก็บเงินทางด่วนที่มุ่งหน้าออกนอกเมือง
ออกเดินทางมาได้ไม่นาน จู่ ๆ เสียงโทรศัพท์ของมายมิ้นท์ก็ดังขึ้นมา
เธอเอาออกมาดูทีหนึ่ง ก็เห็นชื่อตัวอักษรของเปปเปอร์เคลื่อนไหวอยู่บนหน้าจอ และมีท่าทีแปลกใจขึ้นมาเล็กน้อย
หางตาของลาเต้เหล่มองเห็นเข้า ก็เปิดปากถามขึ้นว่า “ใครเหรอ?”
“เปปเปอร์” มายมิ้นท์เองก็ไม่ได้ปิดบัง และก็เอาโทรศัพท์ให้เขาดูไปทีหนึ่ง
ลาเต้เบ้ปากเล็กน้อย “เขาจะโทรมาทำไมกัน?”
“ไม่รู้เหมือนกัน คงต้องรับสายก่อนถึงจะรู้” มายมิ้นท์พูดไปด้วย แล้วก็กดรับสายไปด้วย
น้ำเสียงที่ขรึมต่ำของเปปเปอร์ดังลอยมา “ออกเดินทางหรือยัง?”
มายมิ้นท์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “เพิ่งออกเดินทางค่ะ ประธานเปปเปอร์ มีเรื่องอะไรเหรอคะ?”
“ไม่ได้มีเรื่องใหญ่อะไรหรอก แค่ต่อไปนี้ถ้าราเม็งติดต่อกับคุณ แล้วพูดถึงเบาะแสขององอาจกับคุณ รบกวนคุณให้ช่วยมาบอกผมหน่อยได้ไหม?” อีกฝั่งของปลายสาย เปปเปอร์กำลังยืนอยู่ตรงหน้าต่างบานกระจกใหญ่ในห้องพักผู้ป่วย จ้องมองไปที่ต้นไม้ที่ใบไม้ร่วงหล่นไปหมดแล้วจนเหลือแต่กิ่งไม้เปล่า ๆ ตรงด้านนอก แล้วพูดไปด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
มายมิ้นท์พยักหน้าเล็กน้อย “ได้ค่ะ แต่ว่า……”
“ทำไมเหรอ?” พอฟังความลำบากใจในน้ำเสียงของเธอออก สีหน้าของเปปเปอร์ก็เคร่งขรึมขึ้นมาทันที ในสายตาแฝงไว้ด้วยความเป็นห่วงอยู่เสี้ยวหนึ่ง
มายมิ้นท์ส่ายหน้าเล็กน้อย “ไม่มีอะไรค่ะ แค่ฉันเองก็ไม่มั่นใจในตัวราเม็งในตอนนี้ ว่าจะติดต่อฉันมาหรือเปล่า หรือจะพูดถึงเบาะแสขององอาจกับฉันหรือเปล่า”
“เกิดอะไรขึ้น? คุณกับราเม็งทะเลาะกันเหรอ?” เปปเปอร์ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย
มายมิ้นท์นวดหัวคิ้วเล็กน้อย “ไม่ใช่หรอกค่ะ แต่ว่าราเม็งเขา……เป็นโรคหลายบุคลิกไปแล้วค่ะ”
“อะไรนะ?” เปปเปอร์ตกตะลึงไปครู่หนึ่ง จากนั้นสีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมา “คุณบอกว่า ราเม็งเป็นโรคหลายบุคลิกไปแล้ว งั้นราเม็งในตอนนี้ เป็นอีกบุคลิกหนึ่งเหรอ?”
“ค่ะ” มายมิ้นท์พิงไปบนพนักเก้าอี้ด้านหลัง สายตาจ้องมองไปนอกหน้าต่าง และมีแววเหม่อลอยโผล่ออกมาเล็กน้อย “ฉันไม่เข้าใจราเม็งในตอนนี้เลย แถมฉันยังไม่รู้ว่าควรจะคบหากันเขายังไงดี เพราะฉะนั้นถึงฉันถามออกไป คาดว่าเขาก็คงจะไม่มีทางบอกฉันหรอกค่ะ”
เปปเปอร์ไม่ได้พูดอะไร แต่หัวคิ้วกับขมวดเข้าด้วยกันแน่น
ทำไมอยู่ ๆ ราเม็งถึงได้เป็นโรคหลายบุคลิกไปได้?
เขารู้ว่าราเม็งมีปัญหาทางจิต และก็รู้ว่าราเม็งมีโอกาสเป็นโรคหลายบุคลิกได้
แต่คิดไม่ถึงว่า ราเม็งจะเป็นโรคหลายบุคลิกไปจริง ๆ ที่สำคัญยังมาเป็นในเวลาแบบนี้อีก
และอีกอย่างสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เขาไม่รู้ว่าราเม็งที่เป็นโรคหลายบุคลิกคนนี้ จะมีความทรงจำของตัวตนเดิมอยู่หรือเปล่า ยังจะมีความสามารถในการเป็นแฮกเกอร์เหมือนอย่างที่ตัวตนเดิมมีหรือเปล่า
ถ้าหากไม่มีแล้วละก็ งั้นที่เขาส่งคนเฝ้ามองราเม็งคนนี้ไว้ ก็คงจะตามหาองอาจไม่เจอหรอก
พอหรี่ตาลงเล็กน้อยแล้ว เปปเปอร์ก็เปิดปากและพูดขึ้นอีกครั้งว่า “ราเม็งในตอนนี้ มีบุคลิกยังไงเหรอ?”
มายมิ้นท์ย้อนคิดไปถึงราเม็งที่เจอเมื่อสองสามวันที่แล้ว ก็กัดริมฝีปากล่างไปแล้วตอบกลับไปว่า “บอกชัดเจนไม่ได้ค่ะ แต่ที่มั่นใจได้ก็คือ ราเม็งคนนี้ มีจิตใจที่มืดมน เป็นคนแบบที่ไม่มีใครรู้ว่าวินาทีต่อไปเขาจะทำอะไรออกมาได้บ้างคะ”
เปปเปอร์เม้มเรียวปากบางไปเล็กน้อย “ดูท่าจะเป็นบุคลิกที่อันตรายมากคนหนึ่ง ในเมื่อเป็นแบบนี้ งั้นที่ผมพูดไปเมื่อกี้ คุณก็อย่าไปทำตามเลย ถึงเขาจะติดต่อกับคุณมาจริง ๆ คุณก็อย่าไปถามเขา อยู่ห่าง ๆ เขาไว้นะ อย่าให้เขามาทำร้ายคุณได้”
“ฉันรู้แล้วค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้า
เปปเปอร์ตอบอืมไปคำหนึ่ง “งั้นก็ดีแล้ว ผมไม่มีธุระอะไรอย่างอื่นแล้ว พรุ่งนี้รีบกลับมานะ ผมอยากจะ……”
“ฮือ?” มายมิ้นท์เห็นว่าเขาลากหางเสียงยาวไป เหมือนอยากจะพูดอะไรแต่ก็ไม่ยอมพูด จึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยขึ้นมาเล็กน้อย “ประธานเปปเปอร์คะ คุณอยากจะทำอะไรเหรอคะ?”
“ไม่มีอะไร เอาตามนี้แหละ ระหว่างทางก็ระวังตัวดี ๆ นะ” เปปเปอร์พูดจบ ก็วางโทรศัพท์ลง
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้นมาทีหนึ่ง แล้วก็เอาโทรศัพท์ออกจากข้างหู จ้องมองหน้าจอที่เด้งกลับมาหน้าเมนูหลักแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะเม้มปากขึ้นมาทีหนึ่ง
นี่ตกลงเขาอยากจะพูดอะไรนะ?
พูดมาได้ครึ่งหนึ่งแล้วก็ไม่พูดต่อ การกระทำแบบนี้ ช่างทำให้คนรู้สึกไม่พอใจจริง ๆ
มายมิ้นท์เก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋าอย่างไม่ค่อยสบายใจนัก จากนั้นก็เอาข้อศอกวางไว้บนที่ควบคุมกระจกรถ แล้วก็เบือนหน้ามองไปนอกหน้าต่างเหมือนโกรธเคืองอยู่เล็กน้อย
หางตาของลาเต้เหล่มองเห็นเธอมีท่าทีแบบนี้ ก็เปิดปากถามขึ้นว่า “ยาหยี เปปเปอร์ทำให้คุณโกรธเหรอ?”
แผ่นหลังของมายมิ้นท์เย็นวาบไปทีหนึ่ง ไม่นานก็กลับมาเป็นธรรมชาติ แล้วพูดเรียบ ๆ ขึ้นว่า “เปล่านี่ เขาจะไปทำอะไรให้ฉันโกรธได้”
“ไม่มีจริง ๆ เหรอ?” ฉวยโอกาสในตอนที่สัญญาณไฟจราจรสว่างขึ้นมา ลาเต้ก็หันมามองเธอเล็กน้อย “แต่ว่าท่าทางของคุณแบบนี้เห็นได้ชัดเลยว่ากำลังโกรธอยู่ แถมยังโกรธหลังจากที่รับโทรศัพท์แล้วด้วย เพราะฉะนั้นถ้าเปปเปอร์ไม่ได้เป็นคนทำให้คุณโกรธ แล้วใครจะไปทำให้คุณโกรธได้?”