รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 466 ตายไปแล้ว
“สามร้อยหกสิบเจ็ดนาที!” เหมือนกับว่า มือที่กำโทรศัพท์อยู่ของมายมิ้นท์จะสั่นเทาไปหมดเลย
ถึงว่าโทรศัพท์ถึงได้แบตหมดไปได้
เพราะว่าเมื่อคืน เธอกับเปปเปอร์ได้คุยโทรศัพท์กันไปตั้งสามร้อยกว่านาที นี่…… นี่มันช่าง……
เรียวปากของมายมิ้นท์ขยับเล็กน้อย และไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรดีแล้ว
เธอนึกมาตลอดว่าเรื่องที่รับโทรศัพท์จะเป็นแค่ความฝัน แต่ความจริงได้ยืนยันแล้วว่า นั่นไม่ใช่ความฝัน
และสิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอกลับไม่รู้สึกถึงการคุยโทรศัพท์เลยสักนิด!
“ยาหยี” แล้วในเวลานี้เอง เสียงของลาเต้ก็ดังขึ้นมาจากนอกประตูอีกครั้ง “คุณยังไม่เสร็จอีกเหรอ? อาหารเช้าเย็นหมดแล้วนะ”
มายมิ้นท์สูดลมหายใจเข้าทีหนึ่ง แล้วก็พยายามสงบสติลงมาก่อน “เสร็จเดี๋ยวนี้แหละ”
“เร็ว ๆ หน่อยนะ” ลาเต้เร่งขึ้นมา
มายมิ้นท์ตอบรับไปคำหนึ่ง “ได้”
พอได้ยินการตอบกลับของเธอแล้ว ลาเต้ก็จากไปอีกครั้ง
มายมิ้นท์ถือโทรศัพท์เดินเข้าไปในห้องน้ำ เดินไปด้วย และกดโทรไปหาเปปเปอร์ได้ด้วย
แต่พอโทรออกไป ก็พบว่าอีกฝ่ายก็ปิดเครื่องอยู่
ปิดเครื่อง……
ปิดเครื่องเหมือนกันด้วยเหรอ
คงจะไม่ใช่ว่า โทรศัพท์ของเปปเปอร์ ก็ปิดเครื่องไปอัตโนมัติ เพราะว่ารับสายไปนานขนาดนี้ด้วยหรอกมั้ง?
แต่เป็นเพราะว่า โทรศัพท์ของเปปเปอร์ก็ช่างบังเอิญปิดเครื่องไปด้วย จึงทำให้เธออดไม่ได้ที่จะคิดไปในแง่มุมนี้
ช่างเถอะ รอไปก่อนดีกว่า รอให้เปปเปอร์เปิดเครื่องแล้วค่อยโทรหาเขา แล้วถามเขาว่า เมื่อคืนพวกเขาคุยอะไรกันไปก็ได้
เธอจำเรื่องที่รับสายเมื่อคืนไม่ค่อยได้ ดังนั้นก็เลยกลัวว่าตัวเองจะพูดจาไปเรื่อยด้วย
พอเก็บโทรศัพท์ไปแล้ว มายมิ้นท์ก็ตบหน้าเล็กน้อย พยายามปรับอารมณ์เล็กน้อย แล้วก็เริ่มล้างหน้าล้างตาขึ้นมา
สิบนาทีให้หลัง เธอก็ล้างหน้าล้างตาเสร็จออกมา และเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้อง ไปที่ห้องอาหาร
ลาเต้วางตะเกียบที่อยู่ในมือลง แล้วชี้ไปที่เก้าอี้ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามเล็กน้อย “ยาหยีรีบมานั่งเร็ว อาหารเช้าวันนี้รสชาติไม่เลวจริง ๆ นะ”
มายมิ้นท์ก้มหน้าลงมองอาหารเช้าที่อยู่บนโต๊ะเล็กน้อย มีโจ๊ก มีซาลาเปา แล้วก็มีเกี๊ยว ไม่เลวเลยจริง ๆ
“คุณป้าที่บ้านผู้ใหญ่บ้านเคยเปิดร้านอาหารเช้ามาก่อน ดังนั้นฝีมือของเธอนั้น ไม่ต้องพูดมากจริง ๆ” มายมิ้นท์ดึงเก้าอี้ออกแล้วนั่งลง
ลาเต้ยื่นตะเกียบให้เธอคู่หนึ่ง “ที่แท้เคยเป็นแม่ครัวใหญ่นี่เอง ถึงว่ารสชาติถึงได้ไม่เลวเลย”
“นายก็ไม่เลวเหมือนกัน รู้จักไปซื้ออาหารเช้าที่บ้านผู้ใหญ่บ้านด้วย” มายมิ้นท์รับตะเกียบมา แล้วคีบเกี๊ยวขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ลาเต้หัวเราะแหะ ๆ ขึ้นมาสองคำ “ใช่มั้ง เมื่อวานตอนที่ไปซื้อปลา ผมรวดถามว่าจะไปซื้ออาหารเช้าได้ที่ไหนบ้าง ผู้ใหญ่บ้านก็บอกว่าไปซื้อที่บ้านเขาก็ได้ ดังนั้นวันนี้พอตื่นเช้ามา ผมก็ไปเลย เอาล่ะยาหยี รีบกินเร็ว โจ๊กเย็นหมดแล้วเนี่ย”
“อืม” มายมิ้นท์พยักหน้าขึ้น
ลาเต้กัดซาลาเปาไปคำหนึ่ง “อ๋อ ใช่แล้วยาหยี วันนี้พวกเราจะกลับกันตอนไหนเหรอ?”
“หลังกินอาหารเช้าเสร็จ เก็บกวาดที่นี่กันสักหน่อย ก็ไปได้แล้ว” มายมิ้นท์กินโจ๊กไปแล้วพูดขึ้น
เธออยู่ที่นี่นานมากไม่ได้
ยังต้องเอาสมุดบันทึกของคุณตาไปส่งไปรษณีย์อีก และเธอก็ต้องกลับไปดูแลบริษัทอีก
และยังมีทางด้านเปปเปอร์ เธอก็ต้องไปดูแลด้วย ดังนั้นถ้าสามารถรีบกลับไปได้ก็รีบกลับไปดีกว่า
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จแล้ว ทั้งสองคนก็ล็อกประตูให้เรียบร้อย และออกไปจากที่นี่ แล้วขับรถกลับไปในตัวเมืองของเมืองเดอะซีเลย
ตอนช่วงเวลาบ่ายโมงครึ่งกว่า ทั้งสองคนก็กลับมาถึงตัวเมืองแล้ว
มายมิ้นท์เอาสมุดบันทึกของคุณตาไปส่งไปรษณีย์ พอกลับมาถึงรถก็โทรศัพท์หาคุณตา
บางทีอาจจะเป็นเพราะว่าช่วงนี้คุณตาไม่ได้ลงไปในสุสาน พอมายมิ้นท์โทรไป ก็โทรติดได้อย่างง่ายดาย น้ำเสียงที่ดูมีเมตตาและเป็นมิตรของคุณตาดังลอยมา “มิ้นท์”
“คุณตาคะ สมุดบันทึกของคุณตาหนูส่งไปให้แล้วนะคะ คาดว่าอีกสี่ห้าวันน่าจะถึงค่ะ” มายมิ้นท์คาดเข็มขัดนิรภัยไปด้วยแล้วก็พูดไปด้วย
คุณตาหัวเราะขึ้นมาอย่างดีใจ “งั้นก็ดีมากเลย ขอบใจมิ้นท์มากนะ”
“คุณตาเกรงใจเกินไปแล้วค่ะ จะมาขอบใจอะไรกันคะ” มายมิ้นท์เองก็หัวเราะขึ้นมา
“ยาหยี เรื่องรูปถ่าย” ที่ข้าง ๆ ลาเต้ที่ขับรถอยู่จู่ ๆ ก็เอ่ยเตือนขึ้นมาเสียงเบาประโยคหนึ่ง
แล้วมายมิ้นท์ถึงนึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อคืนได้เห็นรูปถ่าย รอยยิ้มบนใบหน้าก็ค่อย ๆ หายไป กัดริมฝีปากลังเลไปไม่กี่วินาที และรวบรวมความกล้าแล้วเอ่ยปากถามขึ้นมาว่า “คือว่า……คุณตาคะ หนูจะถามอะไรคุณตาสักหน่อยได้ไหมคะ?”
“เรื่องอะไรเหรอ?” คุณตาถามกลับมา
มายมิ้นท์บีบฝ่ามือเล็กน้อย “คือแบบนี้นะคะ เมื่อวานตอนที่หาสมุดบันทึกนั้น หนูไปเห็นอัลบั้มรูปเล่มหนึ่งเข้า ในอัลบั้มเป็นรูปที่บันทึกการเจริญเติบโตไปถึงอายุสักสี่ห้าเดือนของเด็กทารกคนหนึ่ง หนูก็เลยอยากจะรู้ว่า เด็กคนนั้นเป็นใครคะ?”
อีกฝั่งของโทรศัพท์ คุณตาที่นั่งอยู่หน้าคอมพิวเตอร์คิดไม่ถึงว่าปัญหาที่มายมิ้นท์จะถาม จะเป็นปัญหานี้ออกมาได้ แล้วความเมตตาบนใบหน้าก็หายวับไปทันที เหลือไว้แต่ความตกตะลึงทั้งหน้า รวมทั้งความซับซ้อนมากด้วย
สิ่งที่ตกตะลึงคือ เธอได้ไปเห็นอัลบั้มรูปเล่มนั้นเข้า
ส่วนเรื่องที่ซับซ้อนคือ เด็กในอัลบั้มรูปคนนั้น……
“คุณตาคะ?” พอเห็นว่าคุณตาไม่พูดอะไรอยู่นาน มือที่กำโทรศัพท์อยู่ของมายมิ้นท์ก็กำแน่นขึ้นเล็กน้อย “คุณตา ทำไมคุณตาถึงไม่ตอบละคะ? เป็นเพราะว่าสถานะของเด็กคนนั้น ไม่ธรรมดาเหรอคะ?”
“ไม่ใช่” กล้ามเนื้อบนใบหน้าของคุณตากระตุกขึ้นเล็กน้อย แล้วก็กลับไปเป็นท่าทีที่มีเมตตาเหมือนเดิม “เด็กคนนั้นเป็นแค่ลูกของญาติคนหนึ่งเท่านั้น เธอไม่จำเป็นที่จะต้องมาสนใจหรอก”
“เป็นแค่ลูกของญาติจริง ๆ เหรอคะ?” มายมิ้นท์หรี่ตาลง
ถึงแม้ว่าเต้จะเคยถามแม่มาแล้ว 陆伯母เองก็บอกว่าเด็กที่เต้เห็นครั้งแรกตอนที่ไปบ้านตระกูลกิตติภัคโสภณนั้น เป็นลูกของญาติพี่น้อง เธอก็เชื่อแล้ว แต่ว่าในใจของเธอนั้น กลับมีความรู้สึกบางอย่างที่พูดไม่ออกมาตลอด
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ เธอค่อนข้างที่จะสนใจในตัวเด็กคนนี้ สนใจสถานะของเด็กคนนี้ สนใจว่าทำไมเด็กคนนี้ถึงมาปรากฏตัวอยู่ในบ้านตระกูลกิตติภัคโสภณได้
เธอไม่มีทางเชื่อ ว่าเด็กคนนี้จะเป็นแค่ลูกของญาติพี่น้องง่าย ๆ แบบนั้นแน่
ถ้าเกิดว่าเป็นลูกของญาติพี่น้อง งั้นทำไมคุณตาจะต้องเก็บรักษารูปถ่ายของเด็กคนนี้ไว้ดีขนาดนั้นด้วย?
นี่มันเห็นได้ชัดว่าอธิบายไม่ได้เลย
“แน่นอนอยู่แล้วซิ ไม่งั้นจะไปเป็นลูกของใครได้ล่ะ?” ดวงตาที่อยู่หลังแว่นสายตาคนแก่ของคุณตาสั่นไหวเล็กน้อย แล้วก็หัวเราะเหอะ ๆ ตอบกลับมา
มายมิ้นท์กัดริมฝีปากไว้ “งั้นคุณตาบอกหนูได้ไหมคะ ว่าเป็นลูกของญาติพี่น้องบ้านไหน หนูอยากจะทำความรู้สักด้วยสักหน่อยค่ะ ในเมื่อเกิดวันเดียวกับหนู ก็ถือว่าเป็นพรหมลิขิตไม่ใช่เหรอคะ? ไม่แน่ พวกเราอาจจะเป็นเพื่อนที่ดีต่อกันก็ได้นะคะ”
พอได้ยินคำพูดของเธอ คุณตาก็รู้แล้วว่าเธอไม่ได้เชื่อซะเท่าไหร่ จึงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา “มิ้นท์ ไม่ใช่ว่าตาไม่อยากบอกหนูหรอกนะ แต่ว่าเด็กคนนี้ เธอได้ตายไปแล้ว เพราะฉะนั้น……”
“ตายไปแล้วเหรอคะ?” มายมิ้นท์ตกตะลึงจนลืมตาโตขึ้นมา
ลาเต้เงยหน้าขึ้นมามองดูเธอทีหนึ่ง “ยาหยี อะไรตายไปเหรอ?”
มายมิ้นท์ไม่ได้สนใจเขา แล้วมือทั้งคู่ก็กำโทรศัพท์ไว้แน่นและถามขึ้นว่า “คุณตา เด็กคนนั้นตายไปแล้วเหรอคะ?”
“ใช่” บนใบหน้าของคุณตาเต็มไปด้วยความเสียใจ แต่กลับพยายามพูดด้วยน้ำเสียงที่เป็นธรรมชาติขึ้นว่า “สุขภาพของเด็กคนนั้นไม่ค่อยดี ในตอนที่อายุสี่เดือนครึ่ง ได้จากไปแล้ว”
“ที่แท้เป็นอย่างนี้นี่เอง……” มายมิ้นท์ถอนหายใจไปทีหนึ่ง “ถึงว่ารูปถ่ายในอัลบั้ม มีแค่ถึงตอนเด็กอายุสี่ห้าเดือนเท่านั้น จากนั้นก็ไม่มีอีกเลย ที่แท้เธอตายไปแล้วนี่เอง……”
“เด็กคนนั้นดวงไม่ดี บางทีก็ไม่ควรจะมาเกิดโลกใบนี้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่งั้น ก็คงจะไม่ต้องมาทำให้แม่เขา……ช่างเถอะ มันผ่านไปหมดแล้ว จะมาพูดเรื่องพวกนี้ทำไมกัน” คุณตาถอดแว่นสายตายาวออก แล้วก็เช็ดน้ำตาที่หางตาออก แล้วก็ใส่แว่นสายตาเข้าไปเหมือนเดิม และยิ้มอย่างเป็นมิตรขึ้นมาใหม่อีกครั้ง “เอาล่ะมิ้นท์ ตาจะไม่คุยกับหนูแล้วนะ ทางด้านตายังมีงานที่ต้องทำอีก ถ้ามีเรื่องอะไรอีก วันหลังค่อยติดต่อกันใหม่นะ”
“ได้ค่ะ” มายมิ้นท์พยักหน้า
พอวางสายไปแล้ว เธอก็วางโทรศัพท์ลง
แล้วลาเต้ก็ถามขึ้นมาอีกครั้ง “ยาหยี เมื่อกี้คุณพูดว่า เด็กคนนั้นตายแล้วเหรอ?”
“อืม คุณตาบอกมาอย่างนั้น ที่สำคัญฉันยังฟังออกด้วยว่า น้ำเสียงของคุณตาปนสะอื้นอยู่เล็กน้อยด้วย ดังนั้นน่าจะเป็นความจริงนะ” มายมิ้นท์เก็บโทรศัพท์เข้าไปในกระเป๋า และพึมพำตอบกลับไป
อายุแค่สี่เดือนกว่าก็ต้องมาจากโลกนี้ไป
ปฏิเสธไม่ได้จริง ๆ ว่านี่เป็นเรื่องที่ทำให้คนรู้สึกเสียดายจริง ๆ
ที่สำคัญเมื่อกี้คุณตายังพูดถึงแม่ของเด็กคนนั้นด้วย
เธอเดาว่า คุณตาน่าจะอยากพูดว่า พอเด็กคนนั้นตายไป ก็ทำให้แม่ของเด็กคนนั้นเกิดความสะเทือนใจขึ้นมาอย่างมาก แล้วก็เกิดเรื่องไม่ดีอะไรขึ้นมาด้วยแหละมั้ง
“ชูว์ นี่มันช่างทำให้รู้สึกคนเหนื่อยใจจริง ๆ” ลาเต้พูดขึ้นอย่างทอดถอนใจ