รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 470 คุณจะต้องเสียใจแน
ตอนช่วงเวลาสี่โมงเย็น เธอก็เอ่ยคำล่ำลาออกมา
เปปเปอร์เองก็ไม่ได้รั้งเธอไว้ แล้วก็ให้พยาบาลพิเศษส่งเธอออกไป
พอมาถึงนอกโรงพยาบาลแล้ว มายมิ้นท์ก็หยุดฝีเท้าลง แล้วพูดกับพยาบาลพิเศษขึ้นว่า “ไม่ต้องส่งฉันแล้วค่ะ คุณกลับไปเถอะ”
“ก็ได้ค่ะ คุณมายมิ้นท์” พยาบาลพิเศษพยักหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็หมุนตัวกลับเข้าโรงพยาบาลไป
มายมิ้นท์ลากกระเป๋าเดินทางขึ้นมาอีกครั้ง แล้วก็เตรียมที่จะไปโบกรถที่ข้างถนน
พอเธอมาถึงข้างถนน รถเบนซ์สีดำคันหนึ่งก็ขับเข้ามา แล้วก็จอดลงตรงหน้าเธอ
พอประตูรถเปิดออก ชวนชมก็ออกมาจากด้านใน พอเห็นมายมิ้นท์ ก็อึ้งไปก่อนเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มแล้วกล่าวทักทายขึ้นมา “คุณมายมิ้นท์ บังเอิญจังเลยนะคะ นี่คุณเพิ่งออกมาจากโรงพยาบาลเหรอ?”
มายมิ้นท์ค่อย ๆ หรี่ตาลง แล้วก็ตอบกลับได้ด้วยใบหน้าไร้ปฏิกิริยา “ไม่เกี่ยวกับเธอ”
แค่ผ่านมาไม่นาน การกักตัวของเธอก็สิ้นสุดลงแล้วเหรอ!
ชวนชมเห็นท่าทีของมายมิ้นท์ไม่ค่อยดี ก็ไม่โกรธ บนใบหน้ายังคงมีรอยยิ้มอยู่ “คุณมายมิ้นท์ อย่าเป็นอย่างนี้ซิคะ อย่างน้อยพวกเราก็รู้จักกันแล้ว ทำไมจะต้องทำให้ความสัมพันธ์มันแข็งทื่อขนาดนี้ด้วยล่ะ พูดไปแล้ว คุณก็ยังเป็นผู้มีพระคุณของฉันด้วยนะเนี่ย”
“ผู้มีพระคุณเหรอ?” มายมิ้นท์โกรธจนขำแล้ว
ชวนชมพยักหน้า “ก็ใช่นะซิ ถ้าหากไม่มีคุณมายมิ้นท์กับคุณทามทอย ตอนนี้ฉันก็ยังต้องอยู่ในบ้านตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์อยู่ และต้องโดนคู่ผัวเมียตระกูลลิลิตประกายสิทธิ์ทรมานอยู่อีก แถมยังไม่รู้ว่าที่แท้ฉันเป็นลูกของบ้านคนรวย เพราะฉะนั้นฉันต้องขอบคุณคุณและคุณทามทอยที่มาหาฉันเจอ ทำให้ฉันจับพลัดจับผลูได้กลับมาที่บ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์”
พอได้ยินคำพูดนี้ สีหน้าของมายมิ้นท์ก็ดูไม่ดีขึ้นมา
ถ้าหากว่าเธอรู้ตั้งแรก ว่าตัวแทนชวนชมที่หามา จะกลายเป็นชวนชมตัวจริงไปได้ ไม่ว่าจะยังไงเธอก็ไม่มีทางตอบตกลงข้อเสนอของทามทอยว่าให้ส่งหนอนบ่อนไส้เข้าไปในบ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์หรอก
แล้วก็ไม่มีทางที่สุดท้ายแล้ว จุดอ่อนของตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็หาไม่เจอ กลับต้องมาโดนวางกับดักหรอก
“ที่แท้การตอบแทนของเธอก็คือการลงมือกับผู้มีพระคุณอย่างฉันเหรอ งั้นการตอบแทนของเธอ ฉันก็ไม่กล้ารับไว้จริง ๆ” มายมิ้นท์จ้องมองชวนชมไป แล้วก็ยิ้มเย็นและพูดขึ้นมา
แววตาของชวนชมสั่นไหวเล็กน้อย ไม่นานก็กลับคืนสู่ปกติ แล้วก็เอาผมไปทัดไว้ที่ข้างหูแล้วพูดขึ้นว่า “เรื่องนี้ ฉันเป็นคนทำไม่ถูกเองฉันบุ่มบ่ามไปชั่วขณะ ฉันจะขอโทษคุณมายมิ้นท์ที่ตรงนี้ เป็นไงคะ?”
“ไม่ต้องหรอก การขอโทษของเธอฉันไม่ยอมรับ ที่สำคัญเจินเจินฉันจะบอกเธอนะ……”
“คุณมายมิ้นท์ ฉันชื่อชวนชมค่ะ!” ชวนชมแก้ไขให้ถูกต้องอย่างยิ้มแย้ม
มายมิ้นท์ขมวดคิ้วขึ้นมาก่อนทีหนึ่ง จากนั้นก็หัวเราะพรืดเสียงเย็นขึ้นมา “เธอนี่อยากสลัดชื่อเจินเจินชื่อนี้ออกไป จนแทบทนไม่ไหวเลยซินะ”
“มีอะไรไม่ถูกต้องเหรอคะ? ก็ฉันไม่ใช่เจินเจินตั้งแต่แรกอยู่แล้วนี่คะ?” ชวนชมหรี่ตาพูดขึ้น
มายมิ้นท์เชิดคางขึ้นมาเล็กน้อย “ใช่ เธอไม่ใช่เจินเจิน แต่ว่าเธอก็ไม่มีทางที่จะปฏิเสธได้ว่า เธอเป็นเจินเจินมายี่สิบกว่าปี เพราะฉะนั้นฉันเรียกเธอว่าเจินเจิน ก็ไม่มีอะไรไม่ถูกต้อง ไม่ใช่เหรอ?”
“คุณ……” ชวนชมเห็นว่าตัวเองได้ช่วยแก้ไขให้ถูกต้องแล้ว แต่มายมิ้นท์ก็ยังไม่ยอมเปลี่ยนคำเรียกอีก ทั้งตัวก็ไม่มีทางที่จะรักษารอยยิ้มไว้ได้อีกแล้ว และโกรธจนใบหน้าเปลี่ยนรูปแล้ว จ้องมายมิ้นท์ไว้เขม็งแล้วพูดขึ้นว่า “นี่คุณตั้งใจใช่ไหม ตั้งใจเรียกฉันว่าเจินเจินเพื่อมาทำให้ฉันสะอิดสะเอียนใช่ไหม?”
“เธอจะคิดแบบนี้ ฉันก็ไม่มีทางเลือก” มายมิ้นท์ผายมือออก ท่าทางเหมือนผู้ชายชั่วคนหนึ่ง
ชวนชมโกรธจนหน้าอกกระเพื่อมขึ้นมาอย่างรุนแรง พอผ่านไปครู่หนึ่ง ถึงได้หัวเราะเสียงเย็นขึ้นมา “เหอะ คุณมายมิ้นท์ ตั้งแต่วันที่เรื่องที่ฉันเป็นชวนชมตัวจริงถูกเปิดเผยออกมา คุณก็ควบคุมฉันไม่ได้อีกแล้ว เพราะฉะนั้นตอนนี้ก็ทำได้แค่เอาเปรียบฉันตอนเรียกเท่านั้น”
“ใครว่าล่ะ” มายมิ้นท์จ้องมองเธอด้วยสายตาเยือกเย็น “ฉันไม่ใช่แค่จะเอาเปรียบเธอในการเรียกชื่อเท่านั้น ฉันยังจะทำให้เธอร้องไห้อย่างเจ็บปวด คราวที่แล้วที่เธอลงมือกับฉัน อย่านึกว่าแค่กักขังไม่กี่วันก็จะจบเรื่อง ความแค้นนี้ ฉันจะจดจำไว้ตลอด ในอนาคตฉันจะคืนให้เธอหลายเท่าแน่ และที่สำคัญฉันจะบอกอะไรเธอนะ วิธีที่ดีที่สุดของการแก้แค้นคนคนหนึ่ง ไม่ใช่การทำให้คนคนนั้นตาย เป็นคือทำให้คนคนนั้น สูญเสียของที่เธอให้ความสำคัญที่สุดไป”
พอพูดมาถึงตรงนี้ มายมิ้นท์ก็วิเคราะห์เสื้อผ้าและกระเป๋าแบรนด์เนมทั้งตัวของเธอ แล้วมุมปากก็คลี่ยิ้มขึ้นมาอย่างเยาะเย้ย “เธอที่เคยผ่านความยากลำบากมา สิ่งที่เธอให้ความสำคัญที่สุดก็คือชีวิตที่ร่ำรวยเงินทอง รอให้ฉันทำให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ล้มละลายไป เธอว่าเธอจะสติแตกไหมล่ะ?”
กำมือทั้งสองข้างของชวนชมกำเข้าหากันไว้แน่น และจ้องมองมายมินท์ด้วยแววตามืดมน “ทำให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์พังพินาศเหรอ? คุณมีความสามารถนั้นเหรอ?”
มายมิ้นท์ถกแขนขึ้นมา “เธอว่าไงล่ะ? เบื้องหลังฉันมีตระกูลชุติเกษม มีตระกูลรัตติพีระ แถมถ้าฉันแค่เอ่ยปาก ตระกูลนวบดินทร์ก็พร้อมที่จะให้ฉันเอามาใช้ ตอนนี้เธอรู้สึกว่า ฉันไม่มีความสามารถที่จะทำให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์พังพินาศได้เหรอ? แล้วถ้าฉันอยาก ตอนนี้ฉันก็สามารถให้พวกเขามาลงมือได้เลย แล้วตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ก็ไม่มีทางที่จะยืนหยัดไปได้ถึงพรุ่งนี้เช้า ก็จะต้องหายวับไปจากหน้าประวัติศาสตร์แน่”
ถ้าไม่ใช่เพราะว่าประเทศชาติไม่อนุญาต เธอก็อยากจะทำแบบนี้จริง ๆ เพราะว่านี่เป็นวิธีที่จะทำให้ตระกูลภักดีพิศุทธิ์พังพินาศไปได้ง่ายที่สุดแล้ว แล้วก็เป็นวิธีที่ได้ผลดีและตรงที่สุดด้วย
เพียงแต่ว่าถ้าทำแบบนี้ เธอก็จะโดนประเทศชาติชำระบัญชี แล้วเทนเดอร์กรุ๊ปที่เธอตั้งใจพัฒนาขึ้นมา ก็จะโดนประเทศลิดรอนสิทธิ์ไปด้วย แถมตระกูลชุติเกษมกับตระกูลรัตติพีระ ก็อาจจะโดนประเทศกดดันด้วย
เพราะฉะนั้นเธอถึงไม่ทำแบบนี้ และเลือกวิธีที่ปลอดภัยที่สุด และเชื่องช้าที่สุดมาต่อกรกับตระกูลภักดีพิศุทธิ์
ระยะเวลาที่ชวนชมเข้ามาในแวดวงชนชั้นสูงยังไม่นาน มีเรื่องราวมากมายยังไม่เข้าใจดี แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า เธอจะไม่รู้จักสถานะของตระกูลชุติเกษมและตระกูลรัตติพีระที่อยู่ในเมืองเดอะซี
ตระกูลชุติเกษมไม่ใช่ตระกูลที่อยู่ในวงการธุรกิจ แต่อยู่ในวงการนักการเมือง
ภาษิตโบราณเขาว่าไว้ ธุรกิจจะปะทะกับการเมือง ถ้าตระกูลชุติเกษมมาลงมือกับตระกูลภักดีพิศุทธิ์โดยตรงเลย ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็ไม่มีเรี่ยวแรงต้านทานได้แน่
ส่วนตระกูลรัตติพีระ ถึงแม้ว่าอยู่ในเมืองเดอะซีจะเป็นแค่ตระกูลผู้ดีระดับกลาง แต่ถ้าจะต่อกรกับตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ก็ไม่เป็นปัญหาอะไร
นอกเหนือจากนี้ ยังมีตระกูลนวบดินทร์ที่แข็งแกร่งกว่าตระกูลชุติเกษมและตระกูลรัตติพีระอยู่อีกตระกูลหนึ่ง……
แค่คิดมาถึงตรงนี้ สีหน้าของชวนชมก็ทั้งเขียวทั้งซีดแล้ว เปลี่ยนสีไปเปลี่ยนสีมา ดูแย่มากเลย
เพราะเธอรู้ว่า ที่มายมิ้นท์พูดมานั้นเป็นความจริง ขอแค่มายมิ้นท์ต้องการ ตระกูลภักดีพิศุทธิ์ก็จะพังพินาศไปได้ตลอดเวลา
ซึ่งก็หมายความว่า เธอจะล่วงเกินจนมายมิ้นท์โกรธไม่ได้จริง ๆ ถ้าทำให้มายมิ้นท์โกรธขึ้นมา ถ้าเกิดมายมิ้นท์ไม่สนใจกฎบ้านกฎเมืองขึ้นมา แล้วมาลงมือกับตระกูลภักดีพิศุทธิ์เข้า ก็จะยุ่งเลย
พอถึงตอนนั้น เธอก็จะต้องระเห็จกลับไปเป็นเจินเจินที่สกปรกมอมแมมในอดีตอีกแน่นอน!
ไม่ เธอจะกลับไปเป็นแบบนั้นไม่ได้เด็ดขาด!
กำฝ่ามือเข้าด้วยกัน แล้วชวนชมก็กัดริมฝีปากล่างแล้วจ้องมองไปที่มายมิ้นท์ “คุณมายมิ้นท์ ฉันรู้ว่าคุณมีใจที่อยากจะทำลายตระกูลภักดีพิศุทธิ์มาตลอด แต่ถ้าคุณทำแบบนั้นขึ้นมาจริง ๆ คุณจะต้องเสียใจแน่”
“เสียใจเหรอ?” มายมิ้นท์ยักคิ้วขึ้นเล็กน้อย จากนั้นก็ยิ้มเย็น ๆ ขึ้นมา “ฉันก็แค่ทำลายบ้านศัตรูไปบ้านหนึ่งเท่านั้น ทำไมจะต้องเสียใจด้วย? ดังนั้นเจินเจิน รักษาชีวิตคุณหนูตระกูลภักดีพิศุทธิ์ของเธอไว้ให้ดี ๆ เถอะ บางทีอีกไม่นานเท่าไหร่ เธอก็คงจะไม่ได้เป็นคุณหนูของตระกูลภักดีพิศุทธิ์อีกต่อไปแล้ว”
พูดจบ เธอก็โบกรถได้คันหนึ่งแล้วจากไปเลย
ชวนชมยืนอยู่กับที่จ้องมองรถแท็กซี่ที่ขับออกไปไกล มือทั้งสองข้างกำไว้ด้วยกันแน่น เล็บก็ฝังลึกเข้าไปในฝ่ามือ
แต่เธอกลับเหมือนไม่รู้สึกถึงความเจ็บปวดเลยสักนิด ไม่มีการอยากจะปล่อยมือออกเลย ตาทั้งสองข้างจ้องมองไปในทิศทางที่รถแท็กซี่จากไป ในดวงตาเต็มไปด้วยความโหดเหี้ยม ทำให้คนเห็นแล้วก็รู้สึกหวาดกลัว
อีกด้านหนึ่ง บนรถแท็กซี่
มายมิ้นท์ได้รับสายโทรเข้าจากเปปเปอร์ “คุณเจอกับเจินเจิน ที่หน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาลเหรอ?”
“คุณรู้ได้ยังไงคะ?” มายมิ้นท์รู้สึกสงสัย
เปปเปอร์ยืนอยู่บนระเบียงห้องพักผู้ป่วย “ผมมองเห็นแล้ว”
ตำแหน่งที่เขาอยู่นี้ สามารถมองเห็นถนนได้พอดิบพอดี
มายมิ้นท์พยักหน้า “อ๋อ เป็นอย่างนี้นี่เอง ใช่ค่ะ ฉันพบกับเธอเข้า เธอโดนปล่อยตัวออกมาแล้วค่ะ แต่ไม่รู้ว่ามาทำอะไรที่โรงพยาบาล ฉันเองก็ไม่ได้ถามค่ะ”
“เธอน่าจะมาช่วยเอายาให้เยี่ยมบุญ” เปปเปอร์เอามือวางลงบนราวของระเบียงและพูดตอบกลับไป
เยี่ยมบุญเป็นโรคไตวาย จำเป็นที่จะต้องกินยาประคองอาการไว้ตลอด
เพราะฉะนั้นต่อไปนี้ คนบ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์ ก็จะต้องมาเอายาที่โรงพยาบาลอยู่บ่อย ๆ
“งั้นเธอก็กตัญญูมากเลยนี่” มายมิ้นท์จ้องมองไปนอกกระจกหน้าต่างรถ แล้วพูดขึ้นเรียบ ๆ
เปปเปอร์ยิ้มอ่อน ๆ “ตอนนี้บ้านตระกูลภักดีพิศุทธิ์พึ่งเยี่ยมบุญมายืนหยัดอยู่คนเดียว แล้วถ้าเยี่ยมบุญล้มลงไป ชีวิตที่อยู่สุขสบายของเธอก็มาถึงทางตันแล้ว เพราะฉะนั้นเธอจึงเป็นคนที่อยากจะให้เยี่ยมบุญมีชีวิตอยู่ต่อที่สุด ก็เลยต้องกตัญญูอยู่แล้ว”
“ที่คุณพูดมามันก็ถูก” มายมิ้นท์พยักหน้าขึ้นมา
“อ๋อ ใช่แล้ว พวกคุณพูดอะไรกันเหรอ?” เปปเปอร์ค่อย ๆ หรี่ตาลงแล้วถามขึ้น “เธอรังแกคุณหรือเปล่า?”
ถึงแม้ว่าการอยู่บนระเบียง จะสามารถมองเห็นสถานการณ์ของด้านล่างได้ แต่ว่ายังไงก็ยังมีระยะห่างอยู่มาก ดังนั้นเขาจึงมองเห็นไม่ชัด ว่าชวนชมลงมือกับมายมิ้นท์หรือเปล่า