รักหวานอมเปรี้ยว - บทที่ 530 เลขาซินดี้ชอบเต
“รถด้านหลัง?” ได้ยินคำพูดของเธอ สีหน้าลาเต้ก็จริงจังขึ้นมา เอียงศีรษะมองกระจกมองหลังด้านซ้ายของตัวเอง
พอมองไป ก็เห็นรถกำลังตามหลังมาติดๆ อยู่จริงด้วย
นั่นคือรถญี่ปุ่นธรรมดาคันหนึ่ง ดำสนิททั้งคัน ไม่มีส่วนไหนพิเศษอะไร
แต่รถคันนี้ตามมาใกล้เกินไป ไม่ใช่ระยะห่างระหว่างรถโดยปกติเลย
ดังนั้นจะบอกว่าตามพวกเขามา มันก็ไม่เกินไปหรอก
“จริงด้วย” ลาเต้ขมวดคิ้ว
มายมิ้นท์พูดด้วยสีหน้าเข้มงวด “รถคันนี้ เหมือนขับตามเรามาตลอดตั้งแต่ออกมาจากคอนโดพราวฟ้า”
“จริงเหรอ?” สีหน้าลาเต้ยิ่งจริงจัง
มายมิ้นท์พยักหน้า “จริง ก่อนหน้านี้ฉันมองกระจกมองหลังเห็นรถคันนี้ เพราะป้ายทะเบียนรถคันนี้มันพิเศษ ก็เลยจำได้”
“ป้ายทะเบียนรถ……” ลาเต้เลิกคิ้ว จากนั้นก็มองป้ายทะเบียนรถญี่ปุ่นคันนั้นผ่านกระจกมองหลัง
เห็นท้ายเลขเป็นเลขสองห้าศูนย์สามตัวนี้ เขาก็หัวเราะเบาๆ อย่างอดไม่ได้ “เชี่ย พิเศษจริงๆ ด้วย”
“นั่นสิ ฉันก็เลยจำคันนี้ได้ทันทีที่เห็นมัน แต่ตอนนั้นฉันแค่คิดว่าคงเป็นรถส่วนตัวที่โผล่มาด้านหลังเราเฉยๆ แต่ตอนนี้เราขับมาไกลมากแล้ว รถคันนี้ยังตามอยู่ด้านหลัง แถมยังรักษาระยะห่างใกล้เราอยู่ตลอด ฉันกังวลว่าอาจจะเป็นคนที่มีเจตนาไม่ดี” มายมิ้นท์เม้มริมฝีปากบาง พูดด้วยเสียงเคร่งขรึม
“แจ้งตำรวจ!” ลาเต้กำพวงมาลัย “เธอแจ้งตำรวจ บอกตำรวจเกี่ยวกับรถคันนี้ แล้วจับด้ามจับเหนือหัวให้ดี ฉันจะใช้ทักษะของฉันที่เคยเป็นคนขับรถ สลัดรถคันนี้ทิ้งไปเลย”
ยังไงแล้วไม่มีใครรู้ว่าคนขับรถคันนี้คือใคร และมีเจตนาร้ายหรือไม่
ดังนั้นพวกเขาต้องระมัดระวัง คิดในแง่ร้ายสักหน่อย ถ้ามีเจตนาร้ายจริงๆ ไม่แน่หลังจากนี้คนขับรถคันนี้อาจจะทำอะไรบ้าๆ ออกมาก็ได้
เช่นขับชนกะทันหันหรืออะไรสักอย่าง
สถานการณ์ประเภทนี้ ทางที่ดีควรสลัดรถคันนี้ทิ้งไปก่อน
สิ่งที่ลาเต้คิดได้ มายมิ้นท์ก็คิดได้เช่นกัน
เธอพยักหน้า “ได้ งั้นนายขับรถระวังหน่อยนะ”
พูดจบ เธอก็ยกมือข้างหนึ่งจับด้ามจับเหนือศีรษะเอาไว้ มืออีกข้างก็เปิดโทรศัพท์เตรียมแจ้งตำรวจ
แต่ขณะที่เธอเพิ่งหาเบอร์พลตำรวจภูทิศเจอ ยังไม่ทันได้กดโทรออกไป ทันใดนั้นเธอเห็นรถคันด้านหลังเปลี่ยนเลนผ่านกระจกมองหลัง แล้วขับไปด้านหน้ารถพวกเขาทันที
“เต้ เดี๋ยวก่อน” มายมิ้นท์รีบห้ามลาเต้ที่กำลังจะขับแซง
“เป็นอะไร?” ลาเต้หันศีรษะไปมองเธอ
มายมิ้นท์หรี่ตาจ้องรถข้างหน้าที่ขับออกไปไกลเรื่อยๆ “รถคันนั้นขับไปข้างหน้าแล้ว”
“ว่าไงนะ?” ลาเต้เสียงสูง “ขับไปข้างหน้า?”
“อืม”
“มันไม่ได้ตามเราเหรอ?”
มายมิ้นท์เงียบ
หลังจากนั้นสักพัก เธอมองรถที่เข้าถนนเส้นอื่น ค่อยๆ หายไปแล้ว พูดเหมือนไม่มีอะไร “เราอาจจะคิดมากไปเอง รถคันนั้นอาจจะวิ่งทางเดียวกับเราจริงๆ”
“อย่างนั้นเหรอ งั้นดูเหมือนเราทำให้ตัวเองตกใจจริงๆ” ลาเต้ได้ยินเธอพูดแบบนี้ จิตใจที่กังวลก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม
มายมิ้นท์ขมวดคิ้ว ไม่พูดอะไร
ถึงจะพูดแบบนี้ แต่ไม่รู้ทำไม ในใจเธอยังไม่สงบนิ่ง เกิดความรู้สึกไม่ค่อยดี
เห็นมายมิ้นท์ผลุบตาลงไม่พูด ลาเต้ก็ถามอย่างสงสัย “เป็นอะไรมิ้นท์? คิดอะไรอยู่?”
มายมิ้นท์นวดขมับ “ฉันกำลังคิดเกี่ยวกับรถคันเมื่อกี้ ถึงตอนนี้มันจะไม่ได้ตามเรามา แต่ฉันยังรู้สึกแปลกๆ”
“ยังไง?” ลาเต้หางตามองเธอ
มายมิ้นท์กัดปาก “รถคันนั้นเปลี่ยนเลนแซงมันแปลกเกิน ตามหลักการแล้วถ้ามันอยากแซง ก็แซงได้ตลอด ทำไมต้องขับตามหลังเรามาตลอด จนเราพบว่ามันตามมานานแล้วถึงค่อยแซง? เห็นได้ชัดว่ามันรู้สึกได้ว่าเรารู้แล้วว่ามันตามมา ก็เลยจงใจขับแซงเพื่อไม่ให้เราสงสัย……”
“ได้ยินเธอพูดแบบนี้ ก็รู้สึกแปลกๆ นิดหน่อย แต่ฉันคิดว่าเป็นเรื่องบังเอิญมั้ง” ลาเต้หมุนพวงมาลัยแล้วพูดขึ้น “เพราะคนในรถด้านหลัง ไม่เห็นว่าเรากำลังทำอะไร ก็เลยบอกไม่ได้ว่ารถคันหลังรู้ว่าเรารู้ว่ามันตาม”
พอได้ยินแบบนี้ มายมิ้นท์ก็รู้สึกมีเหตุผลเหมือนกัน
ลาเต้พูดอีก “ถ้ามิ้นท์เธอไม่วางใจจริงๆ ก็ให้คนไปสืบทะเบียนรถคันนั้นสิ”
มายมิ้นท์พยักหน้า “นายพูดถูก ไปถึงเทนเดอร์กรุ๊ปแล้ว ฉันจะให้คนไปสืบดูหน่อย”
กล่าวโดยสรุปคือ ถ้าไม่สืบดูสักหน่อย เธอไม่มีทางสบายใจ
ไม่นาน ก็มาถึงเทนเดอร์กรุ๊ปแล้ว
ลาเต้มีธุระที่ต้องจัดการในแผนกวางแผน จึงแยกกับมายมิ้นท์ที่ห้องโถงใหญ่ ขึ้นลิฟต์อีกตัวไปที่แผนกวางแผน
ส่วนมายมิ้นท์ขึ้นลิฟต์พิเศษของตัวเอง ไปที่ห้องทำงานตัวเอง
เลขาซินดี้รออยู่ที่ประตู เห็นเธอมาก็รีบโค้งตัว “ประธานมายมิ้นท์ อรุณสวัสดิ์ค่ะ”
“อรุณสวัสดิ์” มายมิ้นท์ยิ้ม จากนั้นก็นำคีย์การ์ดออกมาเปิดประตูห้องทำงาน
เลขาซินดี้ตามหลังเธอเข้าไป เดินพลางอ่านตารางงานของวันนี้
มายมิ้นท์ได้ยินว่าตอนบ่ายโมงมีออกตระเวนตรวจแผนกที่ไม่ค่อยสำคัญนัก ก็วางกระเป๋าลงแล้วพูดขึ้น “ตารางงานอันนี้ยกเลิก ตอนบ่ายโมงฉันจะไม่อยู่บริษัท”
“ได้ค่ะ” เลขาซินดี้ก็ไม่ถามว่าตอนบ่ายเธอจะไปไหน หยิบปากกาออกมาแล้วขีดฆ่าตารางงานนี้
หลังจากขีดฆ่าแล้ว เลขาซินดี้ก็เงยหน้ามองมายมิ้นท์ “ประธานมายมิ้นท์ ตารางงานอื่นมีอะไรต้องเปลี่ยนไหม?”
“ยังไม่ต้องเปลี่ยน” มายมิ้นท์ส่ายหน้า “แต่มีเรื่องที่เธอต้องทำ”
“ประธานมายมิ้นท์ว่ามาเลยค่ะ”
มายมิ้นท์นั่งลง หยิบปากกาออกมาจากที่ใส่ปากกา หยิบกระดาษA4ออกมา จากนั้นก็เขียนอะไรบางอย่างบนนั้น
หลังจากเขียนเสร็จ เธอก็ยื่นให้เลขาซินดี้
เลขาซินดี้รับมาดู พบว่าเป็นเลขทะเบียนรถคันหนึ่ง จึงสงสัยอย่างอดไม่ได้ “ประธานมายมิ้นท์ นี่หมายความว่าอะไรคะ?”
“ไม่ได้หมายความว่าอะไร แค่ให้เธอไปสืบเจ้าของรถป้ายทะเบียนนี้ ฉันอยากได้ข้อมูลของเขานิดหน่อย” มายมิ้นท์เปิดคอมพิวเตอร์แล้วพูด
“ได้ค่ะประธานมายมิ้นท์” เลขาซินดี้ปิดเอกสารตารางงานแล้วตอบรับ
มายมิ้นท์โบกมือ “ไปทำงานเถอะ แล้วเดี๋ยวไปดูที่แผนกวางแผนหน่อยนะ เต้อยู่ที่นั่น ดูว่าเขาต้องการอะไรไหม”
“ประธานลาเต้มาเทนเดอร์กรุ๊ปเหรอคะ?” ได้ยินว่าลาเต้มา ภายใต้แว่นตากรอบดำของเลขาซินดี้ ดวงตาที่ไม่เคยสั่นไหวสักนิด มันเปล่งประกายความดีใจออกมาทันที
มายมิ้นท์จับได้ กะพริบตาด้วยความประหลาดใจ “เลขาซินดี้ นี่เธอคงไม่……ช่างเถอะ ไม่มีอะไร ไปเถอะ”
“ค่ะ” เลขาซินดี้ไม่รู้สึกถึงความผิดปกติของมายมิ้นท์ พยักหน้าแล้วก็หันหลังเดินออกไป
มายมิ้นท์มองแผ่นหลังเธอ รู้สึกได้อย่างชัดเจน ว่าฝีเท้าเธอดูมีชีวิตชีวาขึ้นมา
อย่างไรก็ตามเลขาซินดี้คนนี้ ไม่ได้มีนิสัยร่าเริง แถมยังแต่งตัวค่อนข้างคร่ำครึ จึงทำให้รู้สึกบรรยากาศอึมครึม เพราะแบบนี้ในบริษัทจึงมีคนแอบตั้งชื่อให้เลขาซินดี้ว่าหัวหน้าฝ่ายอบรม
แต่ตอนนี้เลขาซินดี้ ไม่เฉื่อยชาเหมือนตอนปกติแล้ว ในที่สุดก็เหมือนวัยรุ่นขึ้นบ้าง
และเลขาซินดี้เกิดการเปลี่ยนแปลงตอนได้ยินว่าเต้มา
เลขาซินดี้จึงมีความรู้สึกด้านนั้นกับเต้?
ตระหนักถึงเรื่องนี้ มายมิ้นท์ก็ยิ้มอย่างอดไม่ได้
ถ้าเป็นแบบนี้จริงๆ เธอก็จับคู่พวกเขาได้แล้ว
เลขาซินดี้เป็นผู้หญิงที่ดี นิสัยก็มั่นคง
และเต้อายุสามสิบปีแล้ว แต่มีนิสัยที่ไม่ใส่ใจ ไม่มีความเป็นผู้ใหญ่มากนัก ดูเป็นวัยรุ่นอายุสิบกว่าปี
เต้ที่เป็นแบบนี้ เข้ากับนิสัยซินดี้มาก
ถ้าพวกเขาคบกัน เธอเชื่อว่าจะต้องมีความสุขแน่ๆ
แต่ยังไม่รู้ความคิดของเต้ มีเวลาค่อยไปถามความคิดเห็นของเต้