ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 101 ไม่ไร้ความหมาย
บทที่ 101 ไม่ไร้ความหมาย
หลินเย่เม่านอนเปลือยเปล่าอยู่บนหินแผ่นยาว ทั้งมือและเท้าถูกมัดไว้ด้วยกล้ามเนื้อสัตว์อสูรที่ชุ่มไปด้วยยา
เขาเหลือบมองซูเฉินด้วยสีหน้าหวาดกลัว คำต่าง ๆ มากมายเช่น “กระต่าย (1)” “สามี” และ “บั้นท้ายตกอยู่ในอันตราย” ต่างแล่นเข้ามาในหัวเขา
ทว่าเขาคงคิดมากเกินไปจริง ๆ
ซูเฉินไม่ได้สนใจบั้นท้ายเขาแม้แต่นิด
ที่อีกด้าน แท่นประดิษฐ์ได้ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยแล้ว
เป็นแท่นประดิษฐ์ของอูเอ่อร์หลี่นั่นเอง ซูเฉินย้ายมันมาไว้ที่นี่ พื้นที่บนโต๊ะเต็มไปด้วยขวดยาและหม้อเล็กที่อูเอ่อร์หลี่เคยใช้วางกระจัดกระจายอยู่เต็มไปหมด
ตอนนี้ซูเฉินกำลังง่วนอยู่กับแท่นประดิษฐ์
เด็กหนุ่มกำลังคิดลองสูตรยาของอูเอ่อร์หลี่ดู
ซูเฉินค่อย ๆ เทของเหลวสีน้ำเงินจากถ้วยแก้วลงใส่ขวดยาที่เตรียมไว้ ทันใดนั้นควันสีขาวก็พวยพุ่งออกมา ยาสีน้ำเงินกลายเป็นสีเขียวในพลัน มันเริ่มผลิตฟองอากาศออกมาราวกับเป็นยาพิษที่กำลังเดือดพล่าน
“ใครจะรู้ว่าหญ้าซ่อนครามและสามบุปผาสกัดจะทำปฏิกิริยากันเช่นนี้ น่าสนใจจริง ๆ” ซูเฉินพึมพำกับตนเอง
ในตอนที่พึมพำกับตนเอง เขาก็ถือขวดยาในมือส่งให้หลินเย่เม่า จากนั้นง้างปากเขาเปิดออก
‘มันจะวางยาพิษ!’ หลินเย่เม่าคิด ในใจพลันแตกตื่น
เคราะห์ร้ายที่ไม่ว่าจะต้านทานอย่างไรก็ไร้ผล ในที่สุดของเหลวไหลนั่นก็ไหลเข้าสู่ร่างหลินเย่เม่า ทันใดนั้นในร่างก็รู้สึกรุ่มร้อนขึ้น ราวกับมีบางอย่างเดือดพล่านอยู่ภายใน
“ไม่!” เขาตะโกนเสียงดัง
“ไม่ต้องห่วง นี่ไม่ใช่ยาพิษ” ซูเฉินกล่าว “เป็นเพียงยายากระตุ้นสายเลือดชนิดหนึ่งเท่านั้น”
ยากระตุ้นสายเลือด ?
หมายความว่าอย่างไร ? หลินเย่เม่าไม่เข้าใจ
“เป็นยากระตุ้นสายเลือดที่ทดลองไม่สำเร็จชนิดหนึ่ง” ซูเฉินเอ่ย “ผู้ที่คิดค้นยาชนิดนี้ขึ้นมามีความคิดเป็นเอกลักษณ์ เขารู้ว่าเผ่าสัตว์อสูรธรรมดาทั้งหลายสืบเชื้อสายมาจากเทพอสูรบรรพกาลอันทรงพลัง แต่เป็นเพราะสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไปทำให้พวกมันอ่อนแอลงเรื่อย ๆ แต่เขาก็ยังเชื่อว่าสายเลือดที่ซ่อนลึกอยู่ในร่างของพวกมันยังคงมีพลังมหาศาลซุกซ่อนอยู่ ดังนั้นเขาจึงคิดจะพัฒนายาที่สามารถเร่งพลังนั้นได้ขึ้นมา……”
“เช่นนั้นแล้วผลเป็นยังไง ?” หลินเย่เม่าถามด้วยความประหลาดใจ ความร้อนในร่างยังคงแล่นขึ้นเป็นระยะ หากแต่หลินเย่เม่าไม่หวาดกลัวอีกต่อไป
ซูเฉินตอบ “เรียบง่ายมาก เมื่อทำเช่นนั้นเขาก็จะสามารถครอบครองสายเลือดอันทรงพลังได้…… ผู้ที่คิดค้นยานี่ขึ้นมาไม่ได้แข็งแกร่งนัก ค่อนข้างอ่อนแอเสียด้วยซ้ำ น่าจะแข็งแกร่งพอ ๆ กับเจ้าหรือไม่ก็ข้าเท่านั้น”
การสืบต่อสายเลือดนั้นเป็นเรื่องที่ขัดแย้งกันมาก
ด้านหนึ่งคือ สายเลือดนั้นสามารถรับมาได้เพียงหนึ่งครั้งเท่านั้น ดังนั้นยิ่งได้รับสายเลือดที่ทรงพลังมากขึ้นเท่าไหร่ยิ่งดี อีกด้านหนึ่งคือ ยิ่งสายเลือดทรงพลังมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งหาได้ยากมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นชั่วชีวิตของคนส่วนมากจึงไม่มีโอกาสได้รับสายเลือดทรงพลังมาถือครอง
เมื่อเป็นเช่นนี้ เพื่อสรรหาโอสถสืบสายเลือดที่โดดเด่นเหนือใคร เหล่าผู้คนจึงคิดค้นหาวิธีอันหลากหลายขึ้นมา
สำหรับคนส่วนมากแล้ว การหาเงินมาซื้อโอสถสืบสายเลือดจากผู้มีความสามารถย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เช่นหลินเย่เม่าที่พึงพาตระกูลตนในการสืบสายเลือดอันโดดเด่นมา ซึ่งก็เป็นทางเลือกที่มีเหตุผล
หากแต่คนบางจำพวกก็ชอบใช้วิธีที่แปลกแยกไม่เหมือนใคร
อูเอ่อร์หลี่เป็นคนจำพวกนั้น
ในฐานะที่เขาเป็นชนเผ่าอาร์คาน่า ตั้งแต่ลืมตาดูโลกก็ถูกลิขิตชีวิตไว้แล้วว่าไม่มีวันลืมตาอ้าปาก ไม่เช่นนั้นชีวิตจะถูกตามรังควาญหลอกหลอนไม่จบไม่สิ้น ดังนั้นจึงไม่มีโอกาสหาซื้อสายเลือดมาใช้ได้เลย ได้แต่พึ่งความสามารถตนเองเท่านั้น
หากแต่อูเอ่อร์หลี่ไม่ต้องการสายเลือดระดับต่ำ
เป็นเพราะเขาไม่ต้องการใช้ชีวิตธรรมดาสามัญ ต้องการค้นหาเส้นทางที่เป็นของตนเอง เส้นทางของเผ่าอาร์คาน่า
เขามีความคิดเช่นนี้ ‘ในเมื่อข้าไม่แข็งแกร่งพอจะจับอสูรกายที่แข็งแกร่งมากลั่นเอาสายเลือดได้ ดังนั้นข้าจะกระตุ้นสายเลือดโบราณอันทรงพลังของอสูรร้ายที่อ่อนแอกว่ามาใช้เองเสียเลย’
ดังนั้นเขาจึงคิดค้นยากระตุ้นสายเลือดขึ้นมา
“น่าเสียดายที่สุดท้ายเขาก็ทำไม่สำเร็จ” ซูเฉินถอนหายใจ “แม้กระบวนการคิดของเขาจะฉลาดล้ำเลิศ หากแต่มีความทะเยอทะยานมากไป เขาเพียงตัวคนเดียวไม่อาจทำมันให้เป็นจริงได้”
เมื่อหลินเย่เม่าได้ยินเช่นนั้นก็ตกใจ “เจ้าจะบอกว่ายานี่……”
“นี่เป็นยากระตุ้นที่ทดลองไม่สำเร็จ” ซูเฉินตอบ “ไม่สามารถใช้กระตุ้นสายเลือดที่หลับใหลอยู่ได้ ทำได้เพียงกระตุ้นให้พลังจากสายเลือดเดือดพล่านและแผ่ขยายออกเท่านั้น…”
“ไม่!” หลินเย่เม่าร้องขึ้นด้วยความหวาดกลัว
ในด่านก่อเกิดลมปราณ การสำแดงพลังของสายเลือดนั้นมีขีดจำกัด หากเลือดเดือดพล่านเกินควร ทั้งสายเลือดและร่างกายอาจทนรับไม่ได้ เกิดผลข้างเคียงหลายประการ คนที่มีอาการเช่นนี้รุนแรงอาจถึงตายได้
“ไม่ต้องห่วง เจ้าไม่ตายหรอก ข้าเพียงต้องการดูว่าสายเลือดอสรพิษทะยานจะเคลื่อนไหวในร่างกายเจ้าอย่างไร” ซูเฉินเอ่ยจุดประสงค์ของตนออกไปอย่างชัดเจน
จุดประสงค์ของเขาคือการสังเกตและศึกษาสายเลือดอสรพิษทะยาน
ตั้งแต่ที่ประลองกับกู่ชิงลั่วไปจนถึงตอนที่เขาสามารถแตะเท้าขึ้นกลางอากาศได้ ซูเฉินก็มีความหวังที่ไม่อาจกดไว้ได้ขึ้นมา หรือมนุษย์จะสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดโดยไม่ต้องใช้สายเลือดได้หรือไม่ ?
เด็กหนุ่มไม่อาจรู้คำตอบได้ หากแต่ความคิดบ้าคลั่งนี้ถูกบ่มเพาะ ฝังรากลึก และผลิดอกออกผลอยู่ในจิตใจเขา
ในตอนนี้ซูเฉินยังไม่อาจรู้ว่าความคิดนี้จะส่งผลต่อตัวเขามากน้อยเพียงไหน ในหัวคิดเพียงเรื่องที่ตนต้องการค้นหาความลับของสายเลือดอสรพิษทะยานและนำมาพัฒนาก้าวย่างหมอกอสรพิษของตนเท่านั้น
สายเลือดหลินเย่เม่ายังคงเดือดพล่าน ภาพที่เขาเคยเห็นกับกู่ชิงลั่วเริ่มปรากฏบนร่างหลินเย่เม่าเช่นกัน
ทว่าในครั้งนี้ ซูเฉินมองเห็นได้ชัดเจนยิ่งกว่าเก่านัก
เป็นเพราะสายเลือดเริ่มปะทุออกมา พลังต้นกำเนิดที่ถูกผนึกไว้ในร่างหลินเย่เม่าจึงเริ่มปริออก
หากแต่ซูเฉินได้คาดคะเนเรื่องนี้ไว้แล้ว ถึงขนาดลดปริมาณผงขัดพลังปราณที่ใช้เสียด้วยซ้ำ
อำนาจของพลังต้นกำเนิดเริ่มปรากฏบนร่างหลินเย่เม่า หากแต่มันเล็กน้อยและดูน่าเวทนานัก
ซูเฉินกล่าว “ทำตามข้าสั่ง เริ่มเดินพลังต้นกำเนิดให้ทั่วร่าง ลองใช้ท่าสะพานข้ามตะวัน จากนั้นให้ไหววนไปยังเส้นชีพจรด้านล่าง……”
หลินเย่เม่าตกตะลึงไป ซูเฉินต้องการให้เขาใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษตอนที่สายเลือดกำลังเดือดพล่านเช่นนี้หรือ
“ไม่เอา!”
ตึง!
“ตอบผิด ! ” น้ำเสียงน่ากลัวที่คุ้นเคยดังขึ้นหลังจากหมัดหวดลงบนร่างของเขา
หลินเย่เม่างอร่างด้วยความเจ็บปวด ความหวาดกลัวที่กดเอาไว้เริ่มแผ่ไปทั่วร่างอีกครั้ง
เขาก้มหน้าลง
เขาทำตามคำสั่งของซูเฉิน เริ่มใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษในขณะที่สายถูกกำลังถูกกระตุ้นอยู่
สายตาของซูเฉินเหมือนดั่งคบเพลิงที่จี้ร่างหลินเย่เม่า มันสามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดที่ไหลเวียนในร่างได้อย่างชัดเจน เมื่อมีพลังจากสายเลือดแล้ว พลังต้นกำเนิดจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างสิ้นเชิง มันทั้งหนาแน่นขึ้น แผ่กลิ่นอายแข็งแกร่งขึ้น และมีพลังอำนาจกล้าแกร่งขึ้น
สายเลือดอสรพิษทะยานสามารถทำให้พลังต้นกำเนิดแข็งแกร่งขึ้นมาก ในขณะเดียวกันก็เปิดเส้นทางและวิถีใหม่ให้พลังได้ !
นี่เป็นคำตอบแรกที่ซูเฉินได้รับ
มันส่งผลกระทบต่อการไหลของพลังอย่างไร ? กระบวนการเป็นแบบไหน ? เส้นทางการไหลของพลังแบบเก่าและแบบใหม่แตกต่างกันอย่างไร ?
ซูเฉินค้นพบว่ายิ่งเขาค้นคว้ามากเท่าไหร่ ในใจยิ่งมีความลังเลเพิ่มมากขึ้นเท่านั้น
คำถามแรกเชื่อมไปยังคำถามต่อไป เมื่อหาคำตอบได้แล้วหนึ่งก็มีคำถามผุดขึ้นมาอีกนับไม่ถ้วน
ซูเฉินไม่รู้ว่าตนจะหาคำตอบได้เมื่อไร หรือคำตอบเหล่านั้นจะมีประโยชน์ต่อเขาหรือไม่
บางทีนี่ก็คงเป็นดั่งหุบเหวไร้ที่สิ้นสุด ไม่เช่นนั้นเหตุใดหลายหมื่นปีที่ผ่านมาจึงไม่มีผู้ใดสามารถไขปัญหานี้ได้กัน ?
เหตุใดเขาคนเดียวจึงจะสามารถไขปริศนาที่ตกค้างมายาวนานหลายหมื่นปีได้เล่า ?
หากแต่ในเวลาเดียวกันนั้น หากผู้อื่นทำไม่ได้ ย่อมหมายถึงเขาเองก็ไม่สามารถทำได้งั้นหรือ ?
หากเป็นเช่นนั้น เผ่ามนุษย์ก็คงไม่เจริญขึ้นหรอกกระมัง ? เช่นนั้นแล้ว วิชาบ่มเพาะพลังใหม่ ๆ ที่ถูกคิดค้นเพิ่มในภายหลังมาจากไหนกัน ?
ซูเฉินเริ่มถกเถียงกับตนเอง
เพียงครู่หนึ่งเขาก็สามารถสงบใจลงได้
ในเมื่อเขาตัดสินใจแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องลังเลอีกต่อไป
ตอนที่ตาบอด เด็กหนุ่มเองก็ยังไม่ยอมแพ้เพียงเพราะคำพูดประโยคหนึ่งจากขอทานเฒ่าผู้นั้น
เพียงความหวังเท่านั้นก็สามารถทำให้เขายืนหยัดสู้ต่อไปได้แล้ว
ท่าเท้าที่เขาสามารถแตะกลางอากาศได้ครั้งนั้นเป็นเหมือนแสงแห่งความหวัง
เป็นความหวังที่ไม่ได้ยิ่งใหญ่มากมาย หากแต่เป็นเหมือนจุดแสงเล็ก ๆ ท่ามกลางความมืดมิด คอยปลอบประโลมและสร้างความเชื่อมั่นให้กับเขา
เขาเชื่อว่าตราบเท่าที่ตนศึกษาต่อไป แม้ผลจะออกมาเสียเปล่า หากแต่อย่างไรก็ต้องมีโอกาสประสบความสำเร็จอยู่บ้าง
แต่ถึงแม้จะไม่สำเร็จ……
อย่างไรก็ไม่ไร้ความหมาย !
ซูเฉินคิดอย่างมั่นใจ
เชิงอรรถ
กระต่าย เป็นคำแสลง ใช้เรียกคนรักร่วมเพศ (homosexual)