ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 111 ความจริงใจ (1)
บทที่ 111 ความจริงใจ (1)
“รอครู่หนึ่งได้หรือไม่ ? ข้าต้องถามพวกหัวหน้าก่อนว่าคิดเห็นอย่างไร” เยี่ยเม่ยกล่าว
ครั้งนี้ นางไม่ได้รอจนถึงวันถัดไปเพื่อให้คำตอบ หากแต่หยิบแหวนเงินวงหนึ่งออกมา
บนตัวแหวนมีปุ่มอยู่หลายปุ่ม เยี่ยเม่ยกดปุ่มหนึ่งลงไป จากนั้นกล่าวคำที่ซูเฉินบอกกับแหวน พริบตาต่อมา ตัวแหวนก็เริ่มเปล่งแสงเรืองสีแดงอ่อนออกมา
เยี่ยเม่ยถือแหวนแนบหู ท่าทางตั้งใจฟังนัก อึดใจต่อมานางก็กล่าวกับซูเฉิน “ต้องการความจริงใจใช่หรือไม่? เช่นนั้นตามข้ามา”
นางเดินออกไปด้านนอก
หลังจากเดินออกจากสวนด้านหลังคฤหาสน์ตระกูลซูไปเรียบร้อยแล้ว มีรถม้าคันหนึ่งจอดรออยู่ คนขับรถม้าอยู่ในชุดคลุมสีดำทั้งตัว ปิดบังใบหน้า ยามซูเฉินเดินเข้าไปใกล้ คนขับก็หันมามองซูเฉิน เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินพบว่าภายใต้ชุดคลุมดำนั้นไม่มีสิ่งใดอยู่เลย
เยี่ยเม่ยแผ่กลิ่นอายเยียบเย็นออกจากร่าง “หากเจ้าไม่กลัวตายก็ขึ้นมาเลย”
พูดจบนางก็กระโดดขึ้นรถม้าไป
ซูเฉินหัวเราะ “ตั้งแต่ที่ข้าตัดสินใจร่วมมือกับพวกเจ้า ข้าก็ไม่อาจเกรงกลัวความตายได้อีกแล้ว”
เขากระโดดขึ้นรถม้าไปเช่นดัน จากนั้นรถก็เคลื่อนไปอย่างช้า ๆ มันเคลื่อนผ่านแม่น้ำฮัน จากนั้นเคลื่อนออกจากเมืองไป หลังจากเดินทางมาราวครึ่งชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดอยู่ที่หน้าฟาร์มแห่งหนึ่ง
ในฟาร์มแห่งนั้นมีห้องอยู่ราวสิบห้อง เยี่ยเม่ยเดินนำซูเฉินไปยังห้องที่ดูเก่าและผุพังมากที่สุดห้องหนึ่ง หลังจากเดินมาหยุดอยู่หน้าห้องเก็บของสภาพทรุดโทรมห้องหนึ่ง นางก็เปิดมันออก จากนั้นกดปุ่มด้านใน กำแพงค่อย ๆ เปิดอ้าออก เผยให้เห็นอุโมงค์ดำมืดแห่งหนึ่ง
นางเดินนำซูเฉินเข้าไปในอุโมงค์แห่งนั้น หลังจากเดินมาไกลพอสมควร ทางเดินในอุโมงค์ก็ค่อย ๆ กว้างขึ้น
ตอนนี่พวกเขากำลังอยู่ในห้องใต้ดินขนาดใหญ่ แบ่งออกเป็นหลายชั้น ตอนนี้พวกเขาอยู่ในอุโมงค์ใต้ดินขนาดใหญ่ พื้นที่ถูกแบ่งออกเป็นหลายชั้นหลายห้องด้วยกัน
ซูเฉินเดินตรงเข้าไปยังห้องรับรองใหญ่ ในตอนนั้นมีคนสองสามคนยืนอยู่ในห้องรับรอง เป็นใบหน้าที่ซูเฉินเคยเห็นมาก่อน
พวกเขาคือถงลู่ ชิงไป๋ เยียนหั่ว และอาหลุน
ปาหลงไม่ได้มาด้วย เยี่ยเม่ยเคยบอกเขาแล้วว่าปาหลงเป็นเพียงพันธมิตร ไม่ใช่คนขององค์กร ดังนั้นจึงไม่แปลกที่เขาไม่ได้มาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ด้วย
นอกจากคนสี่คนนี้แล้ว ยังมีชายชราอยู่อีกคนหนึ่ง แม้ซูเฉินจะไม่เคยเห็นเขามาก่อน หากแต่สัญชาตญาณภายในกลับบอกว่าพวกเขาเคยพบหน้ากันแล้ว
พริบตาต่อมาชายชราก็หัวเราะออกมา “คุณชายซู เราพบกันอีกแล้ว”
เมื่อได้ยินน้ำเสียงของชายชรา ซูเฉินก็หัวเราะตอบกลับ “ผู้อาวุโสซาง”
ชายชราเบื้องหน้าเขาคือผู้อาวุโสซางที่ก่อนหน้านี้เขาดันเผลอไปได้ยินบทสนทนาเข้า ทำให้ชีวิตเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
แม้จะดูเหมือนว่าชายชราเป็นหัวหน้าของคนที่นี่ แต่ก็ดูท่าจะไม่ใช่คนที่มีตำแหน่งระดับสูงที่สุดขององค์กรเป็นแน่
ผู้อาวุโสซางเอ่ยขึ้น “เดิมทีข้าคิดว่าข้อมูลที่หลุดไปอาจก่อปัญหาใหญ่ให้ ไม่คิดว่าจะสามารถจับมือกันได้เช่นนี้ โชคชะตาพลิกผันได้จริง ๆ”
ซูเฉินเอ่ยเสียงไร้อารมณ์ “ข้ากลับคิดว่าเป็นชีวิตที่ไม่แน่นอนเสียมากกว่า ทั้งเรื่องดีและเรื่องร้ายเกี่ยวพันกัน พึ่งพาซึ่งกันและกัน..”
ผู้อาวุโสซางชะงักไปเล็กน้อยก่อนหัวเราะเสียงดังออกมา “ฮ่า ๆ กล่าวได้ดี โชคชะตาอยู่ในกำมือตน เรื่องเช่นนี้ไม่นับว่าเป็นโชคชะตา แต่เป็นผลจากความอุตสาหะของคุณชายซู คุณชายซูเชิญนั่ง”
ที่ห้องรับรองแห่งนี้ได้เตรียมการต้อนรับแขกเอาไว้เรียบร้อยแล้ว
ซูเฉินเดินเข้าไปก่อนจะนั่งลง เขายังหันไปพูดคุยกับชิงไป๋ ถงลู่ และคนอื่น ๆ ด้วยเคยรู้จักกันมาก่อน
ผู้อาวุโสซางรินชาให้ซูเฉินโดยเฉพาะ “ขอข้าแนะนำตนเองก่อนก็แล้วกัน ข้ามีนามว่าซางเจิน เป็นผู้คุมอารามนิรันดร์เขตเหนือของมณฑลสามเทือกเขา ทั้งยังรับผิดชอบเรื่องการเปิดเนินกลบวิญญาณ”
“อารามนิรันดร์?” ซูเฉินทำทีเป็นไม่รู้
ผู้อาวุโสซางกล่าว “คุณชายซูไม่จำเป็นต้องทำเป็นไม่รู้เรื่องรู้ราว อย่างคุณชายว่า ความเชื่อใจเป็นรากฐานแห่งการร่วมมือกันของสองฝ่าย หากคุณชายยังบอกว่าตนไม่สามารถคาดเดาตัวตนของพวกเราได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเอ่ยถึง ‘ความจริงใจ’ กันแล้วกระมัง”
ซูเฉินครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง “เช่นนั้นท่านหมายความว่าตอนที่นำทักษะต้นกำเนิดมาขายให้ข้า ตอนนั้นพวกท่านก็จงใจเผยตัวตนให้ข้ารู้แล้วใช่หรือไม่?”
ซางเจินไม่ได้ตอบตามตรง เพียงตอบว่า “หากต้องการขยายองค์กรก็ไม่อาจฝังตัวตนอยู่ในเงามืดไปตลอดได้ การขยับขยายย่อมต้องปลูกสร้างรากฐาน การตรวจสอบเองก็เป็นจุดเริ่มต้นในการขยายอำนาจ การกระทำของคุณชายซูทำให้ทางองค์กรพอใจเป็นอย่างยิ่ง พวกเรายังพอใจกับการจัดการเรื่องต่าง ๆ ของคุณชาย”
“ดังนั้นทางองค์กรจึงปฏิบัติกับคุณชายซูเสมือนสมาชิกคนสำคัญในอนาคตคนหนึ่งของเรา ที่ทำไปทั้งหมดนี้นับเป็นการสร้างประโยชน์จากสถานการณ์เบื้องหน้าทั้งสิ้น ในเมื่อคุณชายต้องการความจริงใจ เราก็จะมอบให้ คุณชายเชิญดู ที่แห่งนี้คือห้องประชุมลับของอารามนิรันดร์ในเมืองหลินเป่ย เป็นอย่างไร? เท่านี้ถือว่าจริงใจมากพอหรือไม่?”
ซูเฉินส่ายหน้า “ข้าไม่ได้ต้องการเป็นสมาชิกองค์กร หากเป็นไปได้ ข้าอยากเป็นเช่นท่านปาหลง ทำงานร่วมกันในเชิงพันธมิตร แต่อย่างไรความลับก็มีค่ามากกว่าหินพลังต้นกำเนิด”
“คิดหรือว่าเจ้าจะคู่ควร!” อาหลุนเอ่ยขึ้นเสียงไม่พอใจ
การร่วมมือหมายถึงทั้งสองฝ่ายมีอำนาจเท่าเทียมกัน ผู้ที่มีสิทธิ์ยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กันย่อมสามารถร่วมมือกันได้ กระทั่งกับปาหลงยังอาจกล่าวได้ว่าระหว่างเขากับองค์กรไม่ใช่พันธมิตรที่แท้จริง เรียกว่าจ้างเขามาน่าจะถูกต้องกว่า
การที่ซูเฉินเอ่ยเรื่องความสัมพันธ์เป็นพันธมิตรกันเช่นนี้นับว่ายโสโอหังไม่น้อย ไม่แปลกที่อาหลุนจะโกรธ
ซางเจินยกมือขึ้นห้ามเขาไว้ หากแต่ก็เปล่งเสียงหัวเราะออกมา “อารามนิรันดร์ไม่จับมือกับผู้ใดง่าย ๆ หากคุณชายต้องการสร้างความสัมพันธ์เช่นนั้นกับทางองค์กร ท่านต้องแสดงคุณค่าและประโยชน์ของตนให้องค์กรเห็นเสียก่อน หากแต่เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องสำคัญในตอนนี้ ส่วนเรื่องหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งล้านก้อนเป็นเพียงจำนวนที่สุ่มขึ้นมาเท่านั้น เนินกลบวิญญาณไม่ได้มีสมบัติอยู่มากมาย และถึงแม้จะมีสมบัติมากมาย เราก็ไม่ยกให้ท่าน”
“ด้านในมีอะไร?”
“คุณชายซูเคยได้ยินชื่อแกนพลังงานแห่งซาร์คหรือไม่?”
“แกนพลังงานแห่งซาร์ค?” ซูเฉินคิดอยู่ชั่วครู่ ทันใดนั้นเขาก็พลันนึกถึงบางสิ่ง จากนั้นร้องเสียงดังขึ้น “แหล่งพลังงานหรือ?”
“ถูกต้อง! มันคือแหล่งพลังงาน” ซางเจินมีสีหน้าพึงพอใจยิ่งนัก “คุณชายซูได้รับการเลี้ยงดูมาในตระกูลบัณฑิตอย่างแท้จริง รู้จักกระทั่งแหล่งพลังงานเช่นนี้”
เขาจะไม่รู้จักได้อย่างไร?
มันคือสิ่งที่มีค่าพอ ๆ กับเครื่องมือสกัดสายเลือด เป็นสมบัติล้ำค่าของเผ่าปักษา
ย้อนกลับไปสมัยอาณาจักรอาร์คานาล่มสลาย เผ่าใหญ่ทั้งห้า แยกอาณาจักรอาร์คานาออกเป็นส่วน ๆ ก่อนจะปล้นสมบัติลับออกมามากมาย สมบัติที่มีค่าที่สุดที่เผ่ามนุษย์ได้รับคือเครื่องมือสกัดสายเลือด ส่วนเผ่าปักษาได้รับแหล่งพลังงานนี้ไป เผ่าปักษาใช้มันเป็นแกนพลังให้เมืองเวหา ก่อตั้งเป็นอาณาจักรแห่งหมู่เมฆ
อาจกล่าวได้ว่า ‘แหล่งพลังงาน’ เป็นเพียงชื่อที่เรียกโดยทั่วไปเท่านั้น ของหลายสิ่งที่มีพลังงานเป็นเอกลักษณ์สามารถเรียกได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานทั้งสิ้น หากมองในมุมหนึ่งก็อาจกล่าวได้ว่าหินพลังต้นกำเนิดเองก็นับเป็นแหล่งพลังงานเช่นเดียวกัน
แหล่งพลังงานที่เผ่าปักษาได้รับนับเป็นแหล่งพลังงานที่ทรงพลังที่สุด
มันเป็นแหล่งพลังงานที่สามารถให้พลังงานมากพอที่ ทำให้เมืองขนาดใหญ่สามารถลอยอยู่บนท้องฟ้าได้ อำนาจของมันเห็นได้เด่นชัดยิ่ง
นับเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่มีขนาดใหญ่มาก ทั้งยังมีความสามารถมากมาย เมื่อติดตั้งแล้วสามารถดูดซับพลังต้นกำเนิดในอากาศ และเปลี่ยนให้เป็นพลังงานบริสุทธิ์เพื่อนำมาใช้ต่อได้
เดิมทีการติดตั้งแหล่งพลังงานเช่นนี้ถูกคิดค้นโดยปรมาจารย์เผ่าอาร์คาน่า นามว่าอีซาตัวซ่าเค่อ ดังนั้นสมบัติชิ้นนี้จึงตั้งชื่อตามเขา เรียกว่าแกนพลังงานแห่งซาร์ค (ซ่าเค่อ)
ซางเจินเอ่ยถึงแกนพลังงานแห่งซาร์คเช่นนี้ ทำให้ซูเฉินตกตะลึงไปไม่ใช่น้อย
หากเนินกลบวิญญาณมีแกนพลังงานแห่งซาร์คอยู่จริง เช่นนั้นมันจะเป็นสมบัติที่มีค่ากว่าทั่วทั้งมณฑลสามเทือกเขาเสียอีก
เผ่าใหญ่ทั้งห้าต้องประกาศสงครามใหญ่ เข้าห้ำหั่นกันเองอย่างไม่ต้องสงสัย
อีกทั้ง ซางเจินยังพูดเสริมมาอีกหนึ่งประโยค “แต่แน่นอนว่าสิ่งที่อยู่ในนั้นไม่ได้มีอำนาจเทียบเท่ากับแกนพลังงานแห่งซาร์คที่เมืองเวหา แกนพลังงานแห่งซาร์คนั้นมีอยู่สามระดับด้วยกัน หนึ่งคือแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเมือง สามารถให้พลังงานเมืองทั้งเมืองได้ เผ่าอาร์คาน่าเป็นผู้คิดค้นแหล่งพลังงานชนิดนั้นเพียงชนิดเดียว ตอนนี้ถูกติดตั้งอยู่ที่เมืองเวหา อีกระดับหนึ่งคือแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเรือรบ ใช้ในการให้พลังงานเรือรบบิน แหล่งพลังงานระดับนี้มีกระจัดกระจายอยู่ทั่วไป แต่ก็ยังนับว่าหายาก สุดท้ายคือแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเครื่องมือ ใช้ให้พลังหุ่นเชิดพลังต้นกำเนิด”
“เช่นนั้นสิ่งที่อยู่ในเนินกลบวิญญาณคือ……”
“เป็นระดับเครื่องมือ แต่มีทั้งหมดสี่ชิ้น สามารใช้ให้พลังงานหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดขนาดใหญ่ได้สี่ตัว” ซางเจินตอบ
“สามารถให้พลังงานได้เพียงหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิด หรือสามารถใช้ให้พลังงานได้หลายอย่างรวมถึงหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดขนาดใหญ่ด้วย?” ซูเฉินถาม
คำว่า ‘เพียง’ และคำว่า ‘รวมถึง’ นั้นแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง
ซางเจินหัวเราะ “แม้จะเป็นเพียงแกนพลังงานแห่งซาร์คระดับเครื่องมือ แต่ก็มีขนาดใหญ่พอ ๆ กับเกราะหลอมทอง สามารถใช้ได้กับหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดขนาดใหญ่เท่านั้น”
“เช่นนั้นก็ไม่มีประโยชน์กับข้า” ซูเฉินตอบ
การควบคุมหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดขนาดใหญ่นั้นมีวิธีการซับซ้อน พกพาและซุกซ่อนได้ยากยิ่ง แม้จะทรงพลังแต่ก็เป็นเป้าโจมตีที่เด่นชัดเกินไป
ซูเฉินต้องการเพิ่มพูนความแข็งแกร่งของตน ดังนั้นจึงไม่สนใจมันมากนัก
“นอกจากนี้ยังมีแก่นผลึกแห่งสูญสามก้อน ถึงงข้าไม่บอก คุณชายซูก็น่าจะรู้มูลค่ามันดี”
ผลึกแห่งสูญเป็นสสารที่พบเห็นได้ยากมาก สามารถใช้เพิ่มพื้นที่ให้สิ่งของอื่นได้ ยกตัวอย่างเช่น สามารถใช้สร้างแหวนกักเก็บได้ แต่การนำไปใช้เช่นนั้นสิ้นเปลืองเกินไป คนธรรมดาย่อมไม่เอามันไปทำเช่นนั้น ความสามารถที่แท้จริงของมันนั้นคือการสร้างความสามารถในการกักเก็บให้เครื่องมือต้นกำเนิด หากเครื่องมือต้นกำเนิดมีความสามารถนี้นี้ ความแข็งแกร่งจะเพิ่มสูงขึ้นมาก
ดังนั้นมูลค่าของแก่นผลึกแห่งสูญสามก้อนจึงสูงลิ่ว
“ยังมีอย่างอื่นอีกหรือไม่?” ซูเฉินยังคงถามต่อ
“เราเองก็ยังไม่แน่ใจว่ามีอย่างอื่นอยู่อีกหรือไม่ อย่างไรข้อมูลเหล่านี้ก็เป็นเพียงเบาะแสที่เราได้มาจากตำราประวัติศาสตร์เท่านั้น เรื่องไม่สำคัญทั้งลายย่อมไม่ถูกบันทึกไว้” ซางเจินกล่าว
“เป็นเช่นนี้นี่เอง……” ซูเฉินเอ่ยขึ้น เขาครุ่นคิดชั่วครู่ จากนั้นกล่าวขึ้นพร้อมรอยยิ้มประหลาด “หากเป็นเช่นนั้นเรารอมชอมกันสักนิดดีหรือไม่? ในเมื่อของสองสิ่งนั้นไม่จำเป็นกับข้า งั้นเอาเช่นนี้ ข้าช่วยพวกท่านเข้าไปยังเนินกลบวิญญาณ หากข้าได้แกนพลังงานแห่งซาร์คและแก่นผลึกแห่งสูญ ข้าจะนำพวกมันมาให้ท่าน หากข้าเจอของอย่างอื่นก็นับว่าพวกมันเป็นของข้า เช่นนี้เป็นอย่างไร?”
“จะเป็นเช่นนั้นได้อย่างไร?” อาหลุนผุดลุกขึ้นในพลัน
ซางเจินถอนหายใจออกมา “ดูท่าเรื่องนี้ไม่อาจปิดบังคุณชายซู”
ซูเฉินส่งยิ้มบาง “เช่นนั้น ท่านจึงควรที่จะแสดงความจริงใจมากกว่านี้หรือไม่?”
ซางเจินเอ่ยเสียงสบาย “ย่อมได้ หากแต่คุณชายซูคิดว่าให้พวกเราแสดงความจริงใจเพียงฝ่ายเดียวเป็นเรื่องยุติธรรมแล้วหรือ? คุณชายจะไม่แสดงความจริงใจเลยหรือไร?”
“ข้าน่ะหรือ? แล้วข้าต้องแสดงความจริงใจเช่นไร?” ซูเฉินกล่าว “ข้าไม่มีความลับใดที่ต้องปิดบัง”
“เรื่องนั้นอาจไม่ถูกต้องเสียทีเดียว” ผู้อาวุโสซางเอ่ยเสียงพินิจพิเคราะห์ “ข้าเชื่อว่าความลับของคุณชายซูสามารถดึงความสนใจจากใครได้หลายคนเลยทีเดียว อย่างเช่นเรื่อง…… ดวงตาของคุณชายซู หรือ…… เรื่องหลี? ข้ากล่าวได้ถูกต้องหรือไม่ หน้ากากปีศาจ?”