ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 146 การร่วมมือครั้งใหม่ (2)
บทที่ 146 การร่วมมือครั้งใหม่ (2)
จินหลิงเอ้อร์ยังไม่ทันตอบรับ แต่เหล่าคนบนหอสูงต่างเข้าใจเจตนาของซูเฉิน
บรรยากาศบนหอสูงบังเกิดเสียงอึกทึกครึกโครมอีกครา
พวกเขาเริ่มถกเถียงกันเรื่องความเจ้าเล่ห์ของซูเฉิน
“ข้าชอบใจในตัวเด็กปีศาจนี่นัก ถึงกับคิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้” คนผู้หนึ่งถอนหายใจออกมาด้วยความชื่นชม
“ถูกต้อง มันสามารถทำทีเป็นหุ่นเชิดของจินหลิงเอ้อร์ได้ในขณะที่ยังมีสติปัญญาตนเองอยู่ ทำทีเป็นแข็งทื่อไม่ยืดหยุ่น จากนั้นปรับเปลี่ยนท่าทีในจังหวะสำคัญ ยามเริ่มต่อสู้ คู่ต่อสู้ที่ไม่รู้อาจต้องสูญเสียหนักทีเดียว”
“ยังสามารถทำให้ดีกว่านั้นได้อีก จินหลิงเอ้อร์อาจหาคนอีกคนหนึ่งมาคุมจิตเพิ่มได้เพื่อซ่อนฝีมือที่แท้จริงจนกว่าจะถึงจังหวะเหมาะ”
“สามารถปิดซ่อนฝีมือคนสองคนเป็นเพียงหนึ่ง ไม่ว่าจะประมือกับใคร อีกฝ่ายคงเสียหายหนักใช่ย่อย”
ทุกคนต่างออกความคิดเห็นต่อสถานการณ์นี้ เอ่ยชมซูเฉินไม่หยุด
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคนที่เอ่ยเยาะเย้ยซูเฉิน กล่าวว่าไม่ว่าจะใช้กลลวงใดก็ไร้ประโยชน์ ในสายตาพวกเขาแล้ว ชีวิตของซูเฉินจบลงตั้งแต่ที่ได้ล่วงเกินตระกูลพานไปแล้ว ทว่าคนอื่น ๆ ก็ได้แย้งว่าตระกูลพานเองก็เป็นเพียงตระกูลเลือดผสม และหากซูเฉินต้องการความช่วยเหลือ พวกเขายินดียื่นมือเข้าช่วย
ตระกูลชั้นสูงทั้งหลายต่างมีฐานะแตกต่างกัน การใช้เลือดบริสุทธิ์และเลือดผสมในการแบ่งแยกนับเป็นวิธีที่ธรรมดาสามัญที่สุดวิธีหนึ่ง
คนที่เอ่ยปากจะยื่นมือเข้าช่วยคือคนสำคัญจากตระกูลเลือดบริสุทธิ์ ตระกูลลวี่ ทั่วทั้งมณฑลสามเทือกเขาอาจกล่าวได้ว่าไม่มีผู้ใดเทียบได้ เมื่อเขายื่นมือเข้าช่วยซูเฉินเช่นนี้ หลาย ๆ คนจึงทำตามเช่นกัน
ผู้ที่เป็นห่วงความปลอดภัยของซูเฉิน โดยเฉพาะคนจากตระกูลซู ต่างก็รู้สึกเหมือนยกภูเขาออกจากอก
หากสามารถได้รับการคุ้มครองจากตระกูลลวี่ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องใส่ใจเรื่องตระกูลพานแล้ว
หลายนาทีมานี้ซูเฉิงอันอารมณ์ปรวนแปรยิ่งนัก เรื่องดำเนินมาถึงจุดนี้ เขาเริ่มไม่แน่ใจว่าตนต้องหันกลับไปมองบุตรชายผู้นี้ของตนใหม่หรือไม่
หากแต่ความคิดนั้นกลับจางหายไปอย่างรวดเร็ว ในฐานะที่เป็นผู้อาวุโสตระกูล เขาไม่อาจยอมก้มหัวให้บุตรชายตนเองได้ เขาไม่อาจยอมรับการเสียหน้าเช่นนั้นได้ แต่หากเขาไม่ทำเช่นนั้น ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนที่ส่งเสริมอัจฉริยะผู้นี้
ความสับสนใจใจนี้ไม่อาจอธิบายออกมาได้เลย
กลับไปยังสถานการณ์ ณ สนามสอบ จินหลิงเอ้อร์ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเข้าใจเจตนาภายใต้ข้อเสนอของอีกฝ่าย นางร้องขึ้นด้วยความยินดี “ความคิดเยี่ยม ! เราลวงคนให้เข้ามา จากนั้นทำลายให้สิ้นได้ หากมีเจ้าช่วย แม้จะเจอจางเซิ่งอันหรือจงติ่งข้าก็ไม่ต้องเกรงกลัวอีก เพียงแต่……”
นางลดเสียงลง “ทำท่าทางเหมือนถูกคุมจิตไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้าทำได้หรือ?”
“บอกข้า ข้าดูเป็นอย่างไรบ้าง ?” ซูเฉินตอบนาง สีหน้าเปลี่ยนแปลงไป นัยน์ตาที่เคยมีชีวิตชีวาเมื่อครู่ ตอนนี้กลับเหมือนไร้ชีวิตจิตใจ
“หืม ? เหตุใดจึงเลียนได้เหมือนจริงเช่นนี้ ?” จินหลิงเอ้อร์ชะงักไป
ยามคนตระกูลซูเห็นภาพที่เกิดขึ้น พวกเขาก็ได้แต่สาปแช่งคนอยู่ในใจ
บัดซบ ท่าทางเช่นนี้ ไม่ใช่ท่าทางที่เจ้าหนูนี่เป็นเมื่อครั้งแกล้งหลอกว่ายังตาบอดหรอกหรือ ?
คนตาบอดและคนถูกคุมจิตมีความคล้ายคลึงกันบ้าง เช่นเรื่องนัยน์ตา นัยน์ตาของทั้งสองคนจะดูไร้วิญญาณ เฉื่อยชา ไม่แยแสสิ่งใด
การแสดงของซูเฉินยอดเยี่ยมนัก การที่จะสามารถทำหน้าตาเช่นนั้นได้คงต้องผ่านการฝึกฝนมาไม่น้อย
ยามกู่ชิงลั่วเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยเช่นนั้น สีหน้านางก็ทะมึนลงกว่าเก่า นางพึมพำกันตนเองเสียงเบา “หาก…… เช่นนั้น…… เจ้าตายแน่ !”
ยิ่งคิดนางก็ยิ่งโกรธ ส่งผลให้ผู้ที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ พากันถอยห่างด้วยความกลัว ไม่เข้าใจว่าเหตุใดคุณหนูท่านนี้จึงปล่อยรัศมีน่ากลัวเช่นนี้ออกมาได้
ในขณะเดียวกันนั้นเอง จินหลิงเอ้อร์และซูเฉินก็ตกลงร่วมมือกัน และเริ่มลงมือในทันที
พวกเขารวมกลุ่ม ล่าผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ ในเขต 1
จินหลิงเอ้อร์มีฝีมือ แต่ก็ไม่อาจประจันหน้ากับคนทั้งเขตโดยไร้พ่ายได้ อย่างไรเมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย ๆ ผู้ที่ยังยืนหยัดอยู่ได้ย่อมมีแต่ผู้แข็งแกร่ง หลายคนเป็นคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง ที่มากไปกว่านั้น หลายคนเองก็จับมือกันรวมเป็นกลุ่มด้วย หากจินหลิงเอ้อร์คิดลอบโจมตีก็คงลำบากอยู่บ้าง
ไม่มีผู้ใดที่กล้าเดินเข้าหาการต่อสู้อย่างท้าทายโดยง่าย การหาจังหวะเอาชนะคู่ต่อสู้เป็นทักษะที่ควรมีในสถานการณ์เช่นนี้ หากจะมีข้อยกเว้นก็คงเป็นสตรีบ้าผู้นั้น สกุณาเหมันต์ จีหานเยี่ยน นางชอบพุ่งเข้าต่อสู้ราวกับบ้าคลั่ง เหยียบย่ำคู่ต่อสู้ทุกคนไม่ว่าจะย่างกรายไปทิศใด
แต่หากนางมีซูเฉินคอยช่วยเหลือ จินหลิงเอ้อร์ก็สามารถหมายตาเอาชนะคู่ต่อสู้หลากหลายคนในการสอบครั้งนี้ได้
จินหลิงเอ้อร์นั้นนับได้เป็นผู้เข้าสอบที่มีฝีมือที่สุดผู้หนึ่งอยู่แล้ว ทั้งซูเฉินเองก็ไม่ใช่คนอ่อนแอ หากสองคนร่วมมือกัน และปิดบังฝีมือที่แท้จริงไว้ ไม่ว่าใครที่ประมือกับพวกเขา คนพวกนั้นก็ย่อมพ่ายแพ้กลับไปเป็นแน่
ในกลางวันนั้นเอง ทั้งสองคนก็เผชิญหน้าเข้ากับกลุ่มคนฝีมือสูงส่งถึงห้าคน ทั้งห้าคนรู้จักฝีมือจินหลิงเอ้อร์เป็นอย่างดี ดังนั้นจึงคิดว่านางมาเพียงลำพัง เข้าต่อสู้เป็นห้ารุมหนึ่งในพลัน
หากไม่ใช่เพราะซูเฉิน นางก็คงไม่อาจรับมือคนห้าคนนี้ได้ แม้นางอาจจะสามารถคุมจิตหนึ่งหรือสองคนในนั้นได้ อย่างไรก็ยังเสียเปรียบ และหากมีคนหนึ่งหลุดจากการคุมจิตของนางไป ก็นับว่านางนั้นได้พ่ายแพ้ไปแล้ว
หากแต่ตอนนี้สถานการณ์ไม่ใช่เช่นปกติ จินหลิงเอ้อร์ไม่ได้คุมจิตซูเฉิน ดังนั้นนางจึงเริ่มใช้วิชาคุมจิตกับคู่ต่อสู้แทน
นางคุมจิตคนสองคนที่มีอำนาจจิตอ่อนแอที่สุดก่อน จากนั้นก็ทำการพลิกสถานการณ์การต่อสู้ในพลัน สองต่อห้ากลายป็นสามต่อสี่ ซูเฉินพุ่งตัวเข้าใส่ศัตรูพร้อมซัดระเบิดเพลิงปักษาออกไปสองครา ทั้งยังคว้าขวดเหล้าขว้างออกไปใส่คนหนึ่งจนหมดสติไป เมื่อเหลือคนเพียงสองคน พวกเขาจึงไม่อาจต้านทานได้อีก อย่างไรก็ต้องพ่ายแพ้อย่างสิ้นท่า ได้แต่พากันโกรธเกรี้ยวเดือดดาล ด่าทั้งจินหลิงเอ้อร์และซูเฉินว่าหน้าไม่อายที่ใช้เล่ห์กลหลอกลวงเช่นนี้
การร่วมมือที่ประสบความสำเร็จครั้งนี้ทำให้จินหลิงเอ้อร์ยิ้มกว้างไม่หยุด การต่อสู้ครั้งนี้ทำให้นางได้คะแนนที่สูญเสียไปคืนกลับมาบ้าง
หลังการต่อสู้จบลง จินหลิงเอ้อร์ก็เข้าควบคุมจิตผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดต่อไป หากทว่านางกลับไม่ให้หุ่นเชิดนั่นเดินคู่กับนาง แต่เลือกที่จะซ่อนตัวเขาไว้ยังพุ่มไม้ใกล้เคียงแทน
สถานการณ์ทุกอย่างเป็นไปดั่งที่เหล่าคนบนหอสูงคาดไว้ คนทั้งคู่หลายเป็นนักต้มตุ่นผู้ยิ่งใหญ่ที่สุดในเขต 1 ไม่มีผู้ใดคาดคิดว่าจินหลิงเอ้อร์ที่นับเป็นผู้เข้าสอบที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งจะร่วมมือกับผู้ใดได้ ไม่ว่าใครต่างรู้ว่านางชอบอยู่ตัวคนเดียว ดังนั้นการร่วมมือกันของนางกับซูเฉินจึงไม่มีใครคาดคิด หากต้องประมือกับพวกเขา คงมีแต่พ่ายแพ้ใหญ่หลวง และทำได้เพียงสาปส่งอยู่ในใจเท่านั้น
แต่ไม่ว่าจะด่าได้เจ็บแสบถึงเพียงไหน คะแนนของซูเฉินและจินหลิงเอ้อร์ก็ยังคงพุ่งสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนไม่อาจโต้แย้งได้
ยามคนทั้งคู่ลอบโจมตีสำเร็จอีกครั้งหนึ่ง ก็ได้ยินเสียงหนึ่งดังขึ้นจากในป่า “ยัยสตรีน่าสมเพช ปล่อยสหายข้าเดี๋ยวนี้ !”
หมัดสายลมดุเดือดหมัดหนึ่งพุ่งเข้าใส่จินหลิงเอ้อร์
จินหลิงเอ้อร์ไม่คิดว่าจะมีการจู่โจมฉับพลันเช่นนี้ ดังนั้นจึงเกือบถูกหมัดนั้นเข้าอย่างจัง ทว่าเป็นซูเฉินที่พุ่งเข้ามาสกัดหมัดนั้นไว้ก่อนตะโกนขึ้น “หวังโต้วซาน !”
เป็นไปดังคาด หวังโต้วซานเองก็มาจนถึงเขต 1 เช่นกัน เมื่อเห็นว่าซูเฉินถูกสตรีชั่วช้าคุมจิตไว้ เขาจึงลงมือทันที
เมื่อได้ยินซูเฉินเรียกชื่อตนขึ้น หวังโต้วซานก็หยุดชะงักไป “ซูเฉิน ? เจ้าไม่ได้ถูกแม่นางน้อยควบคุมอยู่หรอกหรือ ? บัดซบ เหตุใดเจ้าจึงดูเป็นปกตินัก ?”
ซูเฉินมองหวังโต้วซานด้วยความซาบซึ้ง “เจ้าคิดว่าข้าถูกนางควบคุม แต่ก็ยังกล้าลงมือช่วยงั้นหรือ ?”
ซูเฉินฝีมือไม่ต่ำต้อยกว่าหวังโต้วซานนัก ทั้งยังมีจินหลิงเอ้อร์อยู่อีกคน
แต่ถึงจะเป็นแบบนั้น หวังโต้วซานก็ยังเลือกช่วยเหลือพี่น้องตน เช่นนี้แล้วซูเฉินจะไม่รู้สึกซาบซึ้งได้อย่างไร ?
หวังโต้วซานหัวเราะ “อย่างไรเจ้าก็เคยช่วยชีวิตข้า เห็นเจ้าตกอยู่ในกำมือแม่นางน้อยผู้หนึ่งเช่นนี้ข้าคงไม่อาจนิ่งเฉยได้กระมัง ? แต่เป็นเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ? เหตุใดเจ้าจึงมาลงเอยกับสาวงามได้?”
จินหลิงเอ้อร์พลันหน้าแดง “เจ้าอ้วนนี่ ระวังปากหน่อย ‘ลงเอยกับสาวงาม’ อะไรของเจ้ากัน ?”
คนทั้งสามหาที่นั่งลงพูดคุย หลังจากนั้นซูเฉินจึงเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้หวังโต้วซานฟัง
เมื่อได้ยินว่าซูเฉินเพียงแต่ทำทีเป็นว่าถูกจินหลิงเอ้อร์คุมจิตเพื่อลวงคู่ต่อสู้ หวังโต้วซานก็หัวร่อออกมาเสียงดัง “เจ้าบ้านี่ ! ไม่เลว คิดแผนการเช่นนี้ออกมาได้ เรื่องเช่นนี้ฟังดูน่าสนุกนัก ข้าขอร่วมด้วยคน !”
“ได้ !” จินหลิงเอ้อร์ยิ้ม “หากมีเจ้าด้วยก็นับเป็นกลุ่มสามคน คงสามารถกวาดคนทั้งสนามสอบได้ไม่ยาก แม้จะเจอจีหานเยี่ยนก็ไม่ต้องเกรงกลัวอันใด”
“ถูกต้อง ถูกต้อง” หวังโต้วซานพยักหน้าไม่หยุด แต่เมื่อคิดดูดี ๆ แล้วจึงส่ายหน้า “พวกเราน่าจะจัดการคนส่วนมากที่นี่ได้ แต่ลืมเรื่องจีหานเยี่ยนเถอะ”
แม้จะมีกำลังคนถึงสามคน หากแต่เจ้าอ้วนก็ยังคงไม่มั่นใจว่าจะสามารถจัดการจีหานเยี่ยนลงได้