ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 149 เย็นยะเยือก (3)
บทที่ 149 เย็นยะเยือก (3)
พลังปะทะกันของน้ำแข็งและเปลวเพลิงส่งผลให้เหล่าคนบนหอสูงต่างพากันร้องขึ้นด้วยความตกใจ
นับเป็นท่าทีแสดงความชื่นชมอย่างสูดสุดที่จะสามารถมอบให้ผู้เข้าแข่งขันทั้งสองได้ ถือเป็นการยอมรับความแข็งแกร่งที่ทั้งสองคนมี
“เจ้าเด็กนี่ยังซ่อนเร้นพลังไว้อีกหรือนี่ ? ระเบิดเพลิงปักษาของมันสามารถทรงพลังได้ถึงเพียงนี้” หลากหลายคนเอ่ยชมพร้อมถอนหายใจ
หากแต่ในกลุ่มคนก็ยังมีผู้ที่แสดงสีหน้าซับซ้อนออกมาอยู่
กู่ชิงลั่วมองซูเฉินด้วยความตกตะลึง
นางเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่เข้าใจภาพเมื่อครู่
ถูกต้อง ระเบิดเพลิงปักษาของเขาแข็งแกร่งขึ้น แต่ไม่ใช่ตัววิชาที่มีความแข็งแกร่งเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว พละกำลังของระเบิดเพลิงปักษาไม่ได้มาจากเพลิงปักษาเพียงอย่างเดียว แต่มาจากฝ่ามือที่ส่งพลังออกไปด้วยต่างหาก
ฝ่ามือดอกไม้บินของข้า !
เดิมทีกู่ชิงลั่วก็สงสัยอยู่แล้วว่าระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินมีกลิ่นอายของฝ่ามือดอกไม้บินอยู่ แต่ตอนนี้นางมั่นใจแล้ว
ระเบิดเพลิงปักษานี้ถูกซัดออกไปพร้อมกับฝ่ามือดอกไม้บินและทักษะต้นกำเนิดอื่น
แต่สิ่งสำคัญคือฝ่ามือดอกไม้บินของซูเฉินนั้นมีพลังเกินกว่าผู้ที่ไร้สายเลือดจะสามารถทำได้แล้ว !
ก..กะ…..เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ?
แท้จริงแล้วเรียบง่ายนัก ฝ่ามือดอกไม้บินของซูเฉินพัฒนาขึ้นจริง ๆ
หลังจากดื่มยาสสารต้นกำเนิดไปแล้ว ซูเฉินก็มีความเชี่ยวชาญในวิชาตระกูลกู่มากขึ้น หากแต่ความเชี่ยวชาญที่มากขึ้นนี้เกี่ยวพันกับพลังของเขาด้วย หรือก็คือแต่ก่อนนั้นซูเฉินสามารถบำเพ็ญวิชานี้ไปจนถึงขั้นสุดของผู้ไร้สายเลือดได้เท่านั้น แต่เมื่อดื่มยาสสารต้นกำเนิดเข้าไป เขาจึงสามารถบำเพ็ญวิชาจนถึงขั้นสุดของผู้มีเลือดผสม แต่อย่างไร เด็กหนุ่มก็ต้องบำเพ็ญวิชาให้ถึงขั้นนั้นเสียก่อน จึงจะสามารถใช้วิชาที่เต็มกำลังออกมาได้
ก่อนหน้านี้ซูเฉินได้ฝึกฝ่ามือดอกไม้บินจนเกือบถึงขั้นสุดของผู้ไร้สายเลือดแล้ว ดังนั้นเมื่อเข้าสู่สนามสอบ วิชาต่าง ๆ ก็ถูกฝึกปรือผ่านการต่อสู้อีกหลากหลายครั้ง ทั้งยังได้รับกฎแห่งบรูคและระเบิดเพลิงปักษามาอีก การทะลวงผ่านขั้นที่ดีที่สุดคือผ่านการต่อสู้ เป็นเหตุให้ในตอนนี้ฝ่ามือดอกไม้บินของซูเฉินได้ก้าวข้ามผ่านขั้นสุดของผู้ไร้สายเลือดไปแล้ว และเอื้อมแตะถึงขั้นผู้มีสายเลือดผสม
เมื่อฝ่ามือดอกไม้บินเลื่อนระดับขึ้น ความรุนแรงของระเบิดเพลิงปักษาจึงเพิ่มสูงขึ้นด้วย ซูเฉินเก็บระเบิดเพลิงปักษาที่มีพลังรุนแรงกว่าเดิมนี้ไว้ รอเวลาใช้มานานแล้ว
วิชานี้นับเป็นไพ่ตายของเขา ดังนั้นเขาจึงไม่เคยใช้มันมาก่อน
เดิมทีเขาคิดว่าตนคงไม่จำเป็นต้องหยิบไพ่ตายใบนี้ออกมาใช้ แต่จีหานเยี่ยนเป็นผู้ที่บังคับให้เขาต้องปลดปล่อยระเบิดเพลิงปักษาที่มีอานุภาพรุนแรงเช่นนี้ออกมา
น้ำแข็งและเปลวเพลิงปะทะกันอย่างรุนแรง ก่อเกิดลำแสงตระการตาทั่วท้องฟ้า หากแต่คลื่นพลังที่แผ่ออกมาเต็มไปด้วยจิตสังหารเข้มข้น
ระเบิดเพลิงปักษาอันทรงพลังพุ่งเข้าสกัดกั้นฝ่ามือเหมันต์ วิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซานพุ่งเข้าใส่แรงสะเทือนของสองพลังที่หลงเหลืออยู่ แสงประหลาดสีขาวกรีดผ่านอากาศ พุ่งตรงไปยังจีหานเยี่ยน
จีหานเยี่ยนชะงักไป นางไม่คิดว่าตนจะเป็นฝ่ายเสียเปรียบหลังจากปะทะพลังกันเมื่อครู่ ใบหน้างามดั่งหยกมีความประหลาดใจวาดผ่าน ในที่สุดบนใบหน้าเย็นชาก็มีอารมณ์เช่นมนุษย์ผู้หนึ่งผุดขึ้นมาจนได้
ไอแสงเย็นยะเยือกแผ่ออกจากร่างนาง ก่อนจะปกคลุมไปทั่วทั้งร่าง นางสกัดการโจมตีของหวังโต้วซานด้วยเกราะผลึกใส
บัดซบ นางถึงขั้นมีทักษะต้นกำเนิดที่ใช้ป้องกันตัว ! ทั้ง 3 คนได้แต่ก่นด่าอยู่ภายใน
เมื่อแผนไม่สำเร็จ ซูเฉินจึงตัดสินใจสู้เต็มกำลัง เขาสร้างระเบิดเพลิงปักษาขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกสามพลันตะโกนขึ้น “ข้าจัดการเรื่องป้องกันเอง หวังโต้วซาน เจ้าทำหน้าที่โต้กลับ ส่วนจินหลิงเอ้อร์คอยทำให้นางวุ่นวายเข้าไว้”
“เข้าใจแล้ว !” คนทั้งสองตอบกลับ
น้ำเสียงหวังโต้วซานตื่นเต้นยินดี ส่วนของจินหลิงเอ้อร์ดูเสียใจอยู่เล็กน้อย
จริง ๆ แล้วนางเองก็แข็งแกร่งไม่น้อย แต่น่าเสียดายที่วิชามายาของนางนั้นขึ้นอยู่กับพลังจิตของศัตรู หากนางสามารถเสาะหาผู้ฝีมีมือสูงส่งแต่จิตใจอ่อนแอมาคุมจิตได้สักคน นางก็นับเป็นเจ้าครองเหนือผู้ใด หากแต่ตอนนี้ไร้คนเช่นนั้น ทั้งคู่ต่อสู้ตรงหน้ายังเป็นจีหานเยี่ยนที่จิตแข็งเกินบรรยาย ดังนั้นนางจึงไม่พร้อมสู้รบปรบมือกับจีหานเยี่ยน
อาจกล่าวได้ว่าจินหลิงเอ้อร์ถูกจีหานเยี่ยนสยบโดยสมบูรณ์ วิชาดูดวิญญาณและน้ำค้างหยกหอมที่นางแสนจะภูมิใจไม่อาจใช้ต่อกรกับจีหานเยี่ยนได้เลย จินหลิงเอ้อร์ในตอนนี้นั้นใช้ได้เพียงทักษะต้นกำเนิดธรรมดาเท่านั้น แม้เรื่องพลังกายในการต่อสู้นางจะมีไม่น้อยหน้าใคร แต่ก็ยังนับว่าด้อยกว่าซูเฉินและหวังโต้วซาน ปกติแล้วนางควรจะเป็นผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในกลุ่ม หากแต่ตอนนี้นางกลับอ่อนแอที่สุด
ซูเฉินทำให้ทุกคนตกตะลึงอีกครั้ง
เมื่อเผยระเบิดเพลิงปักษาอันทรงพลังของตนไปแล้ว เด็กหนุ่มก็ไม่ปกปิดพละกำลังตนอีกต่อไป เขาใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษที่มีพลังเพิ่มมากขึ้นของตนในพลัน
ความเร็วของเขาพุ่งสูงขึ้นในทันที ร่างเขาพุ่งขึ้นไปกลางอากาศ ก้าวผ่านอากาศและเตะตนเองทะยานขึ้นสูงกว่าจุดที่จีหานเยี่ยนอยู่ จากนั้นก็ซัดระเบิดเพลิงปักษายักษ์ออกมาโจมตีจีหานเยี่ยนจากด้านบน
ไม่มีผู้ใดที่ไร้จุดอ่อน อย่างไรก็ต้องมีข้อจำกัด
ตั้งแต่ที่ปะทะกันแรก ๆ ซูเฉินก็เริ่มค้นหาจุดอ่อนของจีหานเยี่ยน สิ่งแรกที่เขาค้นพบคือหากนางโจมตีจากด้านบน พลังโจมตีทางจะเพิ่มสูงขึ้นมาก
ฝ่ามือเหมันต์ หมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ หรือดัชนีสลายวิญญาณ ทั้งหมดเหล่านี้ล้วนจำต้องถูกใช้จากที่สูงเพื่อปลดปล่อยพลังที่แท้จริงออกมา
ดังนั้นจีหานเยี่ยนจึงเรียนทักษะต้นกำเนิดประเภทกลางอากาศเพื่อนำมาใช้ตรงจุดนี้โดยเฉพาะ
ไม่เช่นนั้นเหตุใดนางจึงคอยโจมตีจากด้านบนตลอดเวลาเล่า ? เพื่อให้ดูมีสง่าราศีเท่านั้นหรือไร ?
การที่ซูเฉินพุ่งตัวขึ้นสู่อากาศสูงกว่าจีหานเยี่ยนเช่นนี้ ทำให้นางตกตะลึงนัก
นางยกมือขึ้นซัดพลังฝ่ามือเหมันต์ออกไปอีกครั้ง คลื่นพลังเยือกแข็งพุ่งเข้าใส่ซูเฉิน ไอเย็นเสียดแทงลึกถึงกระดูก ดูเหมือนวิชาเดิมที่เคยใช้ หากแต่ซูเฉินกลับรู้สึกได้อย่างชัดเจนว่าพลังโจมตีครั้งนี้ลดลงกว่าครึ่ง
สมมติฐานของเขาถูกต้อง !
ตูม !
เพลิงปักษารุนแรงปะทะเข้ากับฝ่ามือเหมันต์ ครั้งนี้น้ำแข็งและเปลวเพลิงไม่ได้ปะทะกันอย่างสูสีอีกต่อไป พลังเปลวเพลิงกำลังกดข่มพลังของน้ำแข็งอย่างเห็นได้ชัด ในที่สุดเปลวเพลิงก็ซัดน้ำแข็งจนแตกซ่าน พุ่งตรงไปยังจีหานเยี่ยน
ในขณะเดียวกันนั้น วิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซานและดาบปีกผีเสื้อของจินหลิงเอ้อร์ก็พุ่งตรงไปทางจีหานเยี่ยนเช่นกัน
สีหน้าเยือกเย็นวาบผ่านนัยน์ตาจีหานเยี่ยน
นางเปล่งเสียงเบาออกมา
นี่เป็นครั้งแรกที่นางเปล่งเสียงออกมา
เกราะผลึกใสปรากฏขึ้นอีกครั้ง จีหานเยี่ยนส่งฝ่ามือออกไปหลายฝ่ามือติดต่อกันอย่างรวดเร็ว
นางไม่ได้ใช้ฝ่ามือเหมันต์ แต่ท่าฝ่ามือนี้พวกเขาไม่เคยเห็นมาก่อน ทั่วท้องฟ้ามีแต่เงาฝ่ามือ ก่อสร้างแรงลมทรงพลังหลายสายจากฝ่ามือขึ้น แต่ถึงกระนั้นแรงลมเหล่านี้กลับไม่ได้ใช้โจมตี แต่ใช้เพื่อป้องกัน
ตูม ตูม ตูม ตูม !
เสียงระเบิดดงขึ้นสี่ครั้ง
ฝ่ามือลมสลายหายไป เกราะใสของนางแตกออก พลังป้องกันของจีหานเยี่ยนไม่แข็งแกร่งเท่าพลังในการโจมตี การโจมตีของทั้ง 3 คน ยามรวมพลังกันนั้นสามารถเจาะทุลุผ่านเกราะกำบังทั้งหมดที่นางมี
หลังจากเกราะกำบังขั้นสุดท้ายของนางสลายไป นางจึงถูกบีบให้ถอยออกไปด้วยแรงปะทะ
นับเป็นครั้งแรกที่นางถูกบีบให้ล่าถอยในการต่อสู้
วันนี้เป็นวันแรกในชีวิตของจีหานเยี่ยนที่นางจำต้องเป็นฝ่ายตั้งรับ และเป็นครั้งแรกที่นางจำต้องล่าถอย
หากแต่ยังไม่เพียงเท่านั้น การบาดเจ็บครั้งแรกของนางก็กำลังจะมาถึงด้วยเช่นเดียวกัน
ตูม !
จู่ ๆ ก็พลันมีเสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกันหลายครั้ง
จีหานเยี่ยนเงยหน้าขึ้น ก่อนจะกระอักเลือดสด ๆ ออกมา
บาดเจ็บหรือ ? ข้า… บาดเจ็บได้อย่างไร ?
นางหันไปมองทางซูเฉินด้วยความตกตะลึง
เขาทำได้อย่างไร ?
ข้าสกัดการโจมตีเขาไม่หมดงั้นหรือ ?
มีเพียงคนบนหอสูงเท่านั้นที่เห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตอนที่ซูเฉินปล่อยระเบิดเพลิงปักษายักษ์ออกไป เขาได้โยนขวดเหล้า 3 ขวดออกไปพร้อมกันด้วย
แต่เขาเพียงโยนมันขึ้นไปในอากาศ ไม่ได้เล็งใส่จีหานเยี่ยน
เหมือนตอนที่เขาต่อสู้กับจินหลิงเอ้อร์ ครั้งนี้เขาก็กะเวลาระเบิดของขวดเหล้าให้ล่าช้าออกไปเล็กน้อย
จีหานเยี่ยนมัวแต่จดจ่ออยู่กับการตั้งรับพลังซัดจากคนทั้งสามคน หลังจากถูกบีบให้ถอยไปแล้ว นางก็ไม่ได้สังเกตุถึงขวดเหล้า 3 ขวดที่กำลังร่วงลงมาจากบนท้องฟ้าด้านหลังนาง
หากนางไม่ล่าถอยไป นางก็จะไม่ได้รับบาดเจ็บใด
แต่ในเมื่อนางถอย ดังนั้นนางจึงส่งตนเองเข้าสู่ระยะระเบิดของขวดเหล้า
แน่นอนว่าซูเฉินไม่มีทางมั่นใจว่าจีหานเยี่ยนจะถอยไปยังระยะที่อยู่ตรงกลางขวดเหล้าระเบิดทั้งสามขวด ดังนั้นนางจึงถูกแรงระเบิดจากขวดเหล้าเพียงหนึ่งขวดเท่านั้น
หากแต่แรงระเบิดเท่านั้นก็มากพอจะทำให้จีหานเยี่ยนบาดเจ็บหนักได้แล้ว !
นางได้รับบาดเจ็บ !
นางได้รับบาดเจ็บจริง ๆ!
ตั้งแต่การแข่งขันเริ่มต้นขึ้น สกุณาเหมันต์จีหานเยี่ยนก็ควบคุมอยู่เหนือการแข่งมาโดยตลอด ไม่เคยพบคู่ต่อสู้ที่คู่ควรกับนางสักครา
วันนี้นับเป็นวันแรกที่นางได้ลิ้มรสความเจ็บปวด
ฟ้าว !
ขวดเหล้าอีก 3 ขวดถูกเขวี้ยงมาเป็นรูปโค้งอยู่กลางอากาศ ซูเฉินซัดระเบิดเพลิงปักษาเข้าใส่นางอีกครั้ง เขาใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษเพิ่มความเร็วของตนจนถึงขีดสุด ตอนนี้ทั้งเรื่องความเร็ว สถานที่ และพลังไฟของเขานับว่าอยู่เหนือกว่าจีหานเยี่ยนทุกด้าน ที่เบื้องล่างนางยังมีหวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์ที่เตรียมซัดพลังเข้าใส่อยู่
สังหารยามได้รับบาดเจ็บ !
การโจมตีของคนทั้งสามดุดันยิ่ง จีหานเยี่ยนตกที่นั่งลำบากในพลัน
ในจังหวะนั้นเอง จีหานเยี่ยนก็อ้าปากออก
“ฟู่ !” นางปล่อยลมหายใจออกมา
ลมหายใจเคล้าไอยะเยือกส่งไอหนาวตรงเข้าสู่หัวใจคนทั้งสาม ส่งผลให้จิตวิญญาณสั่นไหว คลื่นน้ำแข็งมากมายกำจายออกจากร่างจีหานเยี่ยน ก่อนที่คลื่นนั่นจะพุ่งเข้าใจคนทั้งสาม
คลื่นพลังเย็นนี้ทรงพลังนัก ทำให้ระเบิดเพลิงปักษายักษ์และขวดเหล้าระเบิดของซูเฉิน วิชาแยกเมฆาของหวังโต้วซาน และดาบปีกผีเสื้อของจินหลิงเอ้อร์ราวกับกลายเป็นของเด็กเล่น ยามลมเยือกแข็งพัดผ่านร่างส่งผลให้การโจมตีของพวกเขาสั่นคลอน จากนั้นลมหนาวหอบนั้นก็พัดพาทุกสิ่งอย่างจากไป
ทั้ง 3 คนกระอักเลือดอึกใหญ่ออกมา จากนั้นร่วงลงกับพื้น
บนใบหน้ามีแต่ความตกตะลึง
สตรีนางนี้ยังมีวิชาทรงพลังเช่นนี้อยู่อีกหรือ ?
พวกเขารวมพลังกันถึงสามคนเช่นนี้ยังไม่ทรงพลังพอจะจัดการนางได้หรือ ?
หวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์รู้สึกย่ำแย่นัก
หากแต่จีหานเยี่ยนไม่ได้พุ่งมาทางทั้งสามคน แต่กลับลอยห่างออกไปแทน
น้ำเสียงเย็นเยียบสายหนึ่งดังกระทบหู “น่าประทับใจนัก ข้าจะจดจำพวกเจ้าไว้”
หือ ?
หมายความว่าอย่างไรกัน ?
หวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์มองหน้ากัน
ซูเฉินตอบ “เราชนะแล้ว”
ว่าอย่างไรนะ ?
ชนะหรือ ?
ในที่สุดทั้งคู่ก็ตื่นจากฝัน วิชาสุดท้ายของจีหานเยี่ยนคือการใช้พลังที่เหลืออยู่เฮือกสุดท้ายของนางจนสิ้น นางไม่อาจต่อสู้ได้อีกต่อไป ดังนั้นจึงได้แต่ล่าถอยจากไป
“ฮู้ เราชนะแล้ว!” หวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์เริ่มร้องขึ้นด้วยความยินดี
การเอาชนะจีหานเยี่ยน สำหรับทั้งสองคนนับว่าเป็นชัยชนะอันยิ่งใหญ่
มีเพียงซูเฉินที่ทอดสายตามองไปไกลเท่านั้น เขามองตามร่างจีหานเยี่ยนที่ค่อย ๆ เลือนหายไป ก่อนนับน์ตาจะส่องประกายวาบ
ครั้งนี้พวกเขาเอาชนะนางได้อย่างยากลำบากเป็นเพราะใช้พลังจากคนสามคน
หากแต่ครั้งหน้าข้าจะเอาชนะเจ้าด้วยกำลังของข้าเอง !