ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 15 ประวัติศาสตร์
บทที่ 15 ประวัติศาสตร์
เมื่อยามสวรรค์และโลกถือกำเนิด ผืนแผ่นดินนั้นยังคงเต็มไปด้วยความรกร้างว่างเปล่า
จนกระทั่งวันหนึ่ง ณ ใจกลางที่รกร้างว่างเปล่าได้เกิดการระเบิดครั้งใหญ่ แรงระเบิดได้ทำให้พลังงานอันน่าอัศจรรย์ปะทุออกมา
พลังงานชนิดนี้ส่งผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากมาย พลิกคว่ำสวรรค์และปฐพี ในขณะเดียวกันมันก็สร้างชีวิตใหม่ขึ้นมานับไม่ถ้วน
สิ่งมีชีวิตกลุ่มแรกได้รับพลังงานไปมากที่สุด ร่างกายของพวกมันสูงใหญ่เท่าภูเขา ความแข็งแกร่งของพวกมันนั้นมากเสียจนไม่อาจประเมินได้
กลุ่มสิ่งมีชีวิตเหล่านี้เรียกว่า ‘เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด’
ถัดจากเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด เทพอสูรสายพันธุ์ใหม่ ๆ ก็ได้ถือกำเนิดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าพวกมันจะแข็งแกร่งแต่ก็ไม่สามารถเทียบกับเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิดที่เกิดขึ้นในช่วงแรกเริ่มของโลกได้
เทพอสูรเหล่านั้นก็ถูกขนานนามว่า ‘เทพอสูรบรรพกาล’
หลังจากยุคของเผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด เทพอสูรบรรพกาลก็ได้เข้ายึดทวีปและกลายเป็นผู้ปกครองโลกต้นกำเนิด
เทพอสูรบรรพกาลเป็นผู้ปกครองมานานเกือบ 200,000 ปี ชนรุ่นหลังขนานนามช่วงเวลานั้นว่า ‘ยุคแห่งการเริ่มต้น’
และหลังจากยุคแห่งการเริ่มต้น ก็เป็นยุคที่เผ่าพันธุ์จำนวนมหาศาลผุดขึ้นมา
ในเวลานั้นระดับพลังงานของสวรรค์และปฐพีได้ค่อย ๆ ลดลง เทพอสูรบรรพกาลไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับการเปลี่ยนแปลงนี้และเริ่มเข้าสู่สภาวะจำศีล พวกมันหลับใหลเพื่อลดการใช้พลังต้นกำเนิดและรักษาชีวิตเอาไว้
แต่ลูกหลานของพวกมันก็ยังคงออกท่องไปทั่วดินแดน
ร่างกายของพวกมันยังคงมีขนาดใหญ่โต พวกมันยังคงมีความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดดังเดิม ทว่าก็ยังคงด้อยกว่ารุ่นก่อน ๆ เช่นกัน
ลูกหลานของเทพอสูรบรรพกาลถูกเรียกว่า ‘อสูรดึกดำบรรพ์’
ในเวลาเดียวกัน เนื่องจากการกระจายตัวของพลังงานในโลกต้นกำเนิด เผ่าพันธุ์อัจฉริยะจำนวนมากก็ได้ปรากฏออกมา เผ่าพันธุ์เหล่านี้มีทั้งไหวพริบที่เป็นเอกลักษณ์และความคิดสร้างสรรค์
หนึ่งในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะเหล่านี้คือเผ่าพันธุ์มนุษย์
ในช่วงช่วงเวลานั้นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะยังค่อนข้างอ่อนแอ การพัฒนาด้านปัญญาและความคิดนั้นช้ากว่าเมื่อเทียบกับความแข็งแกร่งทางร่างกาย แต่พวกมันก็ยังสามารถอยู่รอดได้
เผ่าพันธุ์มนุษย์ที่เปราะบางตกอยู่ภายใต้การปกครองของอสูรดึกดำบรรพ์ และได้กลายเป็นอาหารของพวกมัน
ช่วงเวลาที่ว่ากินเวลานานนับ 100,000 ปีและถูกเรียกว่า ‘ยุคแห่งความสูญเปล่า’
หลังจากยุคความสูญเปล่าจบลง ก็มาถึง ‘ยุคแห่งความโกลาหล’
ยุคแห่งความโกลาหล เป็นยุคที่อัจฉริยะจากเผ่าพันธุ์ต่าง ๆ ได้ถือกำเนิดขึ้นมากมาย
สิ่งมีชีวิตทุกรูปแบบชีวิตที่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดได้ถูกจัดรวมกลุ่มเข้าด้วยกันและถูกเรียกว่า ‘ชีวิตต้นกำเนิด’ ตามชื่อของ เผ่าพันธุ์ต้นกำเนิด
เผ่าพันธุ์ที่ถูกกดขี่โดยเทพอสูรบรรพกาล ไม่มีหนทางที่จะเพิ่มความแข็งแกร่งของตัวเองได้เลย ดังนั้นพวกมันจึงไล่ตามเส้นทางแห่งความรู้และพัฒนาปัญญาของพวกมันแทน
ที่สำคัญที่สุดของการก้าวกระโดดทางภูมิปัญญาและนวัตกรรม คือความสามารถในการสร้างและประดิษฐ์สิ่งที่พวกมันต้องการ
เหล่ารูปแบบชีวิตที่มีการวิวัฒนาการด้านปัญญาจึงถูกเรียกว่า ‘ประเภทปัญญา’ หรือ ‘ประเภททาส’ เพราะส่วนใหญ่เผ่าพันธุ์ของประเภทปัญญามาจากต้นกำเนิดที่ต่ำต้อย
เมื่อความฉลาดและสติปัญญาของพวกมันเพิ่มขึ้น เผ่าพันธุ์อัจฉริยะที่ถูกกดขี่ก็ต่างพยายามอย่างเต็มที่เพื่อต่อต้านและทำลายชะตากรรมนี้ แต่ในช่วงเวลานั้นมันไม่ใช่ความพยายามของพวกมันที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง ทว่าเป็นเพราะสวรรค์และปฐพีที่เปลี่ยนไป ทำให้พวกมันมีโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในการเป็นอิสรภาพ
เมื่อเวลาผ่านไป พลังงานแห่งสวรรค์และปฐพีก็เริ่มจางหาย แปรเปลี่ยนจากมหาสมุทรที่เต็มไปด้วยลมพายุที่ทรงพลัง เหลือเพียงแอ่งน้ำเล็ก ๆ กับสายลมบางเบา
เป็นผลให้ความแข็งแกร่งของอสูรดึกดำบรรพ์ถดถอยลง
พวกมันยังคงสามารถควบคุมพลังแห่งสวรรค์และปฐพีได้ แต่ทว่ามันไม่ได้ง่ายดายเช่นเดิมอีกต่อไป ความแข็งแรงของพวกมันเริ่มอ่อนแอลง ลูกหลานของพวกมันก็มีขนาดเล็กลงเรื่อย ๆ
พวกมันกลายเป็นที่รู้จักในฐานะ ‘อสูรกาย’
พวกมันยังคงเป็นผู้ปกครองสวรรค์และปฐพี แต่พวกมันก็ไม่สามารถใช้พลังต้นกำเนิดที่คุ้นเคยได้เฉกเช่นเดิมอีกต่อไป
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬเป็นพวกแรกที่เริ่มการต่อต้าน
เผ่าจิตวิญญาณทมิฬ เป็นเผ่าพันธุ์อัจฉริยะกลุ่มแรกที่เข้าใจและสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิด พวกมันเกิดมาพร้อมความสามารถในการรับรู้ถึงพลังต้นกำเนิด เรียกได้ว่าครึ่งหนึ่งของพวกมันเป็นพวกชีวิตต้นกำเนิด ทว่าก็ยังขาดร่างกายที่จะใช้รองรับและควบคุมพลังต้นกำเนิดโดยตรง แต่การลดลงของพลังงานทำให้พวกมันสามารถควบคุมพลังได้ ด้วยความสามารถใหม่นี้ พวกมันได้เปิดฉากเริ่มทำสงครามตอบโต้เพื่ออิสรภาพ
เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่รู้จักกันในฐานะช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ของจิตวิญญาณทมิฬ พวกมันสามารถชนะอสูรกายได้จำนวนมาก และในยุคแห่งความโกลาหลปี 4600 พวกมันได้ก่อตั้งอาณาจักรในพื้นที่ทางตอนใต้สุดของโลก และถูกบันทึกไว้ในพงศาวดารในชื่อ ‘อาณาจักรต้นกำเนิดวิญญาณ’
น่าเสียดายที่อาณาจักรต้นกำเนิดวิญญาณคงอยู่ได้เพียง 2,000 ปีก่อนที่จะล่มสลายลง
การลดลงของพลังต้นกำเนิดยังคงดำเนินต่อไป อสูรกายบางตัวก็เริ่มเดินตามรอยเท้าของบรรพบุรุษของพวกมันและเข้าสู่ภาวะจำศีล
ในขณะเดียวกัน เผ่าพันธุ์ใหม่ ๆ ก็ยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง
ชนเผ่าลึกลับ เป็นชนเผ่าที่มีความแข็งแกร่งทางร่างกายและสติปัญญาเทียบเท่ากันชนเผ่าคนเถื่อน นี่เป็นชนเผ่าที่เต็มไปด้วยความดุร้ายป่าเถื่อน แม้จะเป็นหนึ่งในเผ่าพันธุ์อัจฉริยะ ทว่าพวกมันกลับปฏิบัติตัวเยี่ยงสัตว์ป่า นอกจากนี้ยังมีชนเผ่าพันธุ์ไม้ ที่เป็นชนเผ่าที่เป็นครึ่งพืชครึ่งสิ่งมีชีวิต พวกมันชอบอาศัยอยู่ในป่าลึก
พวกมันมั้งหมดต่างก็มีจักรวรรดิและอาณาจักรที่เป็นของเผ่าพันธุ์ของพวกมันเอง แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงพากันล่มสลายลงไปตามกาลเวลา
ยุคแห่งความโกลาหลปี 9800 ชนเผ่าลึกลับได้ก่อตั้งอาณาจักรสวรรค์ลี้ลับขึ้น และ 3,000 ปีต่อมาอาณาจักรของพวกมันก็ล่มสลาย
ยุคแห่งความโกลาหลปี 12000 ชนเผ่าคนเถื่อนได้ก่อตั้งดินแดนพายุขึ้น ก่อนที่ 500 ปีต่อมาก็ได้ล่มสลายลงเช่นกัน
ยุคแห่งความโกลาหลปี 15000 ชนเผ่าพันธุ์ไม้ได้ก่อตั้งเมืองแห่งความเงียบชั่วนิรันดร์ขึ้น และหลังจากนั้น 4,000 ปี เมืองของพวกมันก็สลายกลายเป็นเถ้าถ่าน
ไม่มีอารยธรรมใดเลยที่จะผ่านพ้นช่วงเวลา 5,000 ปีไป ทั้งหมดได้กลายเป็นเพียงฝุ่นในประวัติศาสตร์
หนึ่งเดียวที่สามารถดำรงอยู่มาได้นานกว่า 30,000 ปีภายใต้การทำลายล้างของเผ่าสัตว์อสูร คืออาณาจักรที่ได้รับการก่อตั้งขึ้นโดยชนเผ่าอาร์คาน่า ‘จักรวรรดิอาร์คาน่า’
ชนเผ่าอาร์คาน่ามีความสามารถลึกลับในการประดิษฐ์เป็นพิเศษ แม้ว่าความสามารถทางกายภาพของพวกมันจะไม่ได้แข็งแกร่งนัก ทว่าพวกมันสามารถผลิตอาวุธที่ใช้พลังงานจากแหล่งต่าง ๆ ได้ และพึ่งพาอุปกรณ์ดังกล่าวเพื่อต่อสู้กับเผ่าสัตว์อสูร ในยามนั้นจักรวรรดิอาร์คาน่าถือเป็นจักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ที่สุด พื้นที่ส่วนใหญ่ของทวีปอยู่ภายใต้การปกครองของพวกมัน พวกมันมีอำนาจเหนือกว่าเหล่าอสูรกาย แม้แต่เหล่าอสูรดึกดำบรรพ์ก็ไม่สามารถหยุดยั้งความก้าวหน้าของชนเผ่าอาร์คาน่าได้
อย่างไรก็ตาม ไม่นานนักในช่วงเวลานั้นของประวัติศาสตร์ เผ่าพันธุ์อัจฉริยะหลายเผ่าในทวีปต้นกำเนิดก็เริ่มเข้าใจเกี่ยวกับพลังต้นกำเนิดกันแล้ว
เทพอสูรบรรพกาลได้ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง
ในช่วงเวลาสั้น ๆ ก่อนที่เทพอสูรบรรพกาลจะตายลง เนื่องจากการไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของโลกที่มีพลังต้นกำเนิดเบาบางได้ แต่ในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเทพอสูรบรรพกาลได้โจมตีกองทัพของจักรวรรดิอาร์คาน่า และอาละวาดสร้างความเสียหายในระดับที่ไม่มีวันฟื้นตัวกลับมาได้ให้แก่จักรวรรดิ
ในเวลาเดียวกัน เผ่าพันธุ์อัจฉริยะอื่น ๆ ที่ถูกกดขี่โดยชาวอาร์คาน่า พวกเขาก็ใช้ประโยชน์จากโอกาสนี้สร้างผลกระทบอย่างรุนแรงและก่อความวุ่นวายขึ้นภายในจักรวรรดิ
พวกมันเข้าปล้นทำลาย ‘เมืองแห่งนิรันดร์’ เมืองหลวงของชาวอาร์คาน่า ป้อมปราการสุดท้ายของจักรวรรดิอาร์คาน่าล่มสลายลง ทำให้ก้าวสุดท้ายแห่งการพิชิตของชาวอาร์คาน่าต้องล้มเหลว ขณะเดียวกันพวกมันก็ใช้ข้ออ้างจากความอ่อนแอ เพื่อรับผลประโยชน์จากดินแดนของจักรวรรดิอาร์คาน่าเป็นของตน
ช่วงปลายของยุคแห่งความโกลาหล จักรวรรดิอาร์คาน่าได้ล่มสลายลง เผ่าพันธุ์ทั้งห้าแบ่งสมบัติของชาวอาร์คาน่าและเผ่ามนุษย์ก็ได้รับอุปกรณ์สกัดเลือดมา จากนั้นเป็นต้นมาพวกมันก็ได้สกัดเอาความสามารถในการควบคุมพลังต้นกำเนิดของเผ่าสัตว์อสูรมาใช้งานและพัฒนาระบบสายเลือดนักรบ หรือก็คือรุ่นก่อนของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดนั่นเอง ในที่สุดการคาดเดาของซูเฉินก็ได้รับการยืนยันแล้ว
————————
“อินทรีย์ได้กล่าวไว้ว่า ‘ข้าเบื่อเจ้าพวกสมองทึบ ๆ ของพวกทาสภูเขายิ่งนัก สิ่งที่ข้าต้องการไม่ใช่ทาสที่แข็งแกร่ง ข้าต้องการทาสอัจฉริยะที่สามารถเข้าใจในสิ่งที่ข้าต้องการได้ต่างหาก’ จากนั้นมันก็ได้ซื้อหลินซิงฮูออกไป ก่อนที่ 3 ปีต่อมาได้เกิดกบฏระเบิดเผาทุ่งขึ้น หลินซิงฮูนำทาสมนุษย์ 1200 คน สังหารนายเก่าของพวกเขาก่อนที่จะหนีไปยังภูเขาที่อยู่ใกล้เคียง 30 วันต่อมา หลินซิงฮูและกองทัพทาสของเขาถูกกำจัด … แต่ทว่าใครจะคิดกันว่านั่นจะเป็นเพียงแค่การก่อกบฏครั้งแรกของมนุษยชาติ ด้วยการกบฏต่อต้านนายทาสชาวอาร์คาน่าเพียงครั้งเดียวนี้ มันได้กลายเป็นอารัมภบทสงครามการตอบโต้ของเผ่าพันธุ์มนุษย์ที่ลุกลามดุจไฟล่ามทุ่ง”
ในห้องเล็ก ๆ ที่ชั้นบนของศาลาหยกพิสุทธิ์ ซูเฉินสรุปทุกสิ่งที่เพิ่งจดเอาไว้ด้วยน้ำเสียงหนักแน่น
“ประวัติศาสตร์ที่แท้จริงทำให้ผู้คนรู้สึกผิดหวังเสมอจริงไหม?” ถังเจิ้นหัวเราะขณะที่ตอบว่า “ประวัติศาสตร์ที่ท่านได้รับฟังจากข้านั้น ไม่ได้สวยงามเท่าที่บันทึกไว้ในหนังสือประวัติศาสตร์”
“เช่นนั้นแล้ว หลินซิงฮูได้ตะโกนว่า ‘เผ่าพันธุ์มนุษย์จะไม่มีวันยอมเป็นทาส’ ออกมาหรือไม่? ” ซูเฉินถาม
“ใครจะรู้” ถังเจิ้นส่ายหัว
ประวัติศาสตร์ที่ชายชราได้มานั้นก็มีข้อจำกัด ความจริงบางข้อก็ได้ถูกฝังอยู่ในแม่น้ำกาลเวลาสายยาวที่ไหลผ่านประวัติศาสตร์ และต้องสูญหายไปพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงตลอดกาล
จะจริงหรือเท็จก็ไม่มีความหมาย ไม่ว่าหลินซิงฮูจะได้ตะโกนประโยคนั้นจริงหรือไม่ มันก็ได้กลายเป็นสัญลักษณ์และต้นแบบของมนุษยชาติในยุคปัจจุบันไปแล้ว การลบมันออกจากสัญลักษณ์ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์ใด ๆ ต่อเผ่ามนุษย์เลย ซูเฉินรู้ว่าความจริงมีอยู่เพียงเพื่อให้เรียนรู้ที่จะเผชิญหน้ากับความจริงและคิดอย่างสงบมากขึ้นเท่านั้น
สำหรับแนวคิดที่ว่า “เปลี่ยนทุกสิ่งให้ถูกต้อง” หรือ “คืนความจริงสู่ประวัติศาสตร์” เป็นการดีที่สุดที่จะเลิกแนวคิดเรื่องพวกนี้ไปเสีย แม้ว่าเขาจะอายุเพียงสิบห้าปีเท่านั้น แต่ซูเฉินก็เข้าใจเป็นอย่างดีว่าความคิดแบบนี้ไร้เหตุผลและไร้ประโยชน์
“บทเรียนประวัติศาสตร์ในวันนี้พักกันเอาไว้เพียงแค่นี้ก่อน เดี๋ยวข้าจะสอนภาษาอาร์คาน่าให้กับท่าน ช่างเป็นเรื่องน่าเสียดาย หากเรามีทักษะการส่งผ่านความสามารถด้านภาษาของชาวอาร์คาน่าอยู่ล่ะก็ นั่นคงจะกลายเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้ภาษาใหม่ ข้าได้ยินมาว่าตราบใดที่มีผู้เชี่ยวชาญในทักษะนี้ คนผู้นั้นก็จะสามารถเรียนรู้ภาษาทั้งหมดได้โดยอัตโนมัติ ไม่จำเป็นต้องพยายามอย่างหนักเช่นนี้”
ซูเฉินตอบว่า “ข้าสนุกกับการได้เรียนรู้จากท่านหัวหน้าใหญ่ถังดี ไม่ได้ลำบากอันใด”
ถังเจิ้นยืดอกอย่างมีความสุขและหัวเราะอย่างยินดีขณะที่เดินออกจากห้องไป
เมื่อเห็นว่าถังเจิ้นเดินออกไปแล้ว ซูเฉินก็ก้มศีรษะลงและมองไปที่หนังสือในมือของมัน
อักขระต่าง ๆ บนหนังสือเล่มนี้ดูพร่ามัวมาก แม้ว่าซูเฉินจะยังไม่สามารถมองเห็นได้ชัดเจนนัก อย่างน้อยก็สามารถแยกแยะตัวอักขระได้
ใช่แล้ว ดวงตาของซูเฉินเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาอีกระดับแล้ว
ตอนนี้โลกที่อยู่ในสายตาของซูเฉินมีลักษณะที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง
ราวกับว่าเบื้องหน้าเป็นภาพวาดทิวทัศน์ที่มีสีสันผืนใหญ่ สิ่งมีชีวิตทั้งหมดนั้นถูกขยายใหญ่และพร่ามัว โลกทั้งใบดูหยาบกระด้าง เป็นรูปลักษณ์ที่ช่างมีเอกลักษณ์
ตอนนี้เด็กหนุ่มสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างสีได้ ทำให้โลกที่มีสีสันสดใสและอุดมสมบูรณ์ได้ปรากฏขึ้นอีกครั้งในสายตาของตน
ปัจจุบันซูเฉินเป็นเหมือนคนที่สายตาสั้นมาก ๆ เสียมากกว่า แม้ว่าจะไม่ได้มองเห็นอย่างชัดเจน แต่ก็ไม่ได้มองอะไรไม่เห็นอีกต่อไปเฉกเช่นเมื่อก่อนแล้ว