ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 37 สะท้านจิต สลายวิญญาณ
บทที่ 37 สะท้านจิต สลายวิญญาณ
ซูเฉินเขย่าขวดยาในมือ ยาสองสามหยดสุดท้ายหยดออกจากขวดลงสู่พื้นดิน ก่อนที่ยาล่ออสูรของเด็กหนุ่มจะหมดลงโดยสมบูรณ์
ซูเฉินโยนขวดยาทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ จากนั้นเหลือบมองไปยังพื้นที่โดยรอบ
เขาทอดสายตามองไปไกล ในสายตามีเพียงป่าไม้ใบหญ้าสีเขียวทึบ ยาสองสามหยดเมื่อครู่คงไม่สามารถล่ออสูรร้ายออกมาได้อีก
ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงหิ้วถุงของตนขึ้นพาดบ่า จากนั้นเดินลงจากเขาทันที
ซูเฉินตัดสินใจจะเดินทางเข้าป่าลึกเข้าไปอีก
แน่นอนว่ายิ่งเดินทางลึกเข้าไปยิ่งพบเจออันตรายมากขึ้น ทว่าซูเฉินไม่มียาล่อสัตว์อสูรเหลือแล้ว และเด็กหนุ่มเองก็ไม่อยากเสียเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัดด้วย ดังนั้นซูเฉินจึงต้องเดินทางเข้าไปยังเขตที่มีอสูรร้ายชุกชุมแทน เพราะอย่างไรเขาก็ไม่มีทางใช้วิธีล่าอย่างที่ผ่านมาได้ไปตลอด
หนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขาฝึกปรือฝีมือมาโดยตลอด เมื่อได้ต่อสู้ลับฝีมือตลอดสามสิบวัน ซูเฉินจึงมีประสบการณ์การเอาตัวรอดเพิ่มสูงขึ้น ทั้งยังมีความมั่นใจในการต่อสู้ในพื้นที่อันตรายมากขึ้นด้วยเช่นกัน
ซูเฉินมุ่งหน้าเข้าป่าลึก ใช้เวลาไปอีกสามวันเต็ม
ในเวลาสามวันนี้ ซูเฉินไม่เจออสูรร้ายสักตัว หากแต่ประสบกับปัญหามากมายหลายแบบซึ่งบางปัญหาเกือบถึงชีวิต มีอยู่ครั้งหนึ่ง เขาเผลอไปทำรังแมลงแตก สุดท้ายจึงถูกฝูงแมลงมีพิษฝูงใหญ่บินไล่กวด อีกครั้งหนึ่ง จู่ ๆ ก็มีพืชหน้าตาไร้พิษภัยต้นหนึ่งปล่อยไอพิษออกมาอย่างรุนแรงจนเกือบหมดสติ โชคดีที่เด็กหนุ่มไหวตัวทันและสามารถหนีออกจากพื้นที่ตรงนั้นได้ แต่พิษที่ได้รับก็ยังทำเอาชาไปทั้งร่างเกือบครึ่งวัน
สิ่งที่ทำให้คนไร้คำพูดที่สุดคือกระทั่งยามดื่มน้ำจากลำธารสายเล็กก็ยังสามารถถูกลอบโจมตีได้ มีปลาชนิดหนึ่งอาศัยอยู่ในลำน้ำสายนี้ พวกมันตัวไม่ใหญ่มากทว่าดุร้ายนัก เมื่อเจอเหยื่อก็จะกระโดดกัดทันที ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อตัวไหน เจ้าปลาชนิดนี้ก็จะกระโดดกัดเนื้อของเหยื่อสะบัดออกไป และหากมีเจ้าปลาชนิดนี้อยู่รวมกันเป็นฝูงมากพอละก็ กระทั่งอสูรร้ายก็ถูกพวกมันกินจนเกลี้ยงได้ในพริบตา
ซูเฉินเคยเห็นปีศาจกระดูกเหล็กถูกปลานับพันตัวรุมกัดกินเนื้อมาแล้วกับตา แม้แต่กระดูกสักชิ้นก็ไม่เหลือให้เห็น
ที่เทือกเขาสีเลือดแห่งนี้ มีสิ่งน่าขวัญผวาอยู่ทั่วทุกพื้นที่
ทว่าเรื่องแค่นี้ยังไม่มากพอให้ซูเฉินยอมล่าถอย เขากลับยิ่งมุ่งหน้าเดินต่อไปเรื่อย ๆ
วันต่อ ๆ มา ซูเฉินประจันหน้าเข้ากับอสูรร้ายหลากหลายชนิด โชคยังดีที่เขาไม่ไปเจอกับตัวที่แข็งแกร่งมากนัก ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงสามารถจัดการพวกมันทีละตัวได้อย่างไม่ยากเย็น
ในวันที่ห้าสิบหกบนเทือกเขาสีเลือด ซูเฉินก็ต้องเผชิญหน้าเข้ากับอันตรายร้ายแรงอีกครั้งหนึ่ง
วานรนัยน์ตาหยกตัวหนึ่งยืนขวางทางเขาอยู่
วานรยักษ์ตัวนี้สูงราวสิบฟุต เป็นอสูรร้ายระดับล่างที่มีกำลังมากตัวหนึ่ง พละกำลังของมันมีไม่น้อยไปกว่าหมียักษ์เขี้ยวยื่นเลย แล้วยังรวดเร็วกว่ามาก หากซูเฉินเจอกับเจ้าตัวนี้ตอนที่ยังซุ่มโจมตีสัตว์อสูรอยู่ที่ยอดเขาแล้วละก็ คงจะเลือกหนีทันทีอย่างไม่ต้องคิด
ทว่าตอนนี้เขายืนจังก้าอยู่ตรงหน้าศัตรูแล้ว
ไม่มีทางถอยหรือหลบเลี่ยงมันได้เลย มีเพียงทางเดียวคือหากไม่ชนะก็หมายถึงต้องตาย
ซูเฉินไม่รีรอ หยิบหน้าไม้ออกมายิงเจ้าวานรยักษ์ทันที ทว่ายามศรปะทะเข้ากับร่างของเจ้าวานร มันกลับส่งเสียงราวกับปะทะแผ่นเหล็กแผ่นหนาขึ้น ลูกศรเหล่านี้ไม่สามารถทำอันตรายใด ๆ กับเจ้าวานรตัวนี้ได้เลย จากนั้นมันก็ส่งเสียงคำรามใส่ซูเฉินดังลั่น
ยามเมื่อเสียงคำรามดังเข้ามาในหูของซูเฉิน การมองเห็นของเขาก็สั่นคลอนก่อนภาพที่เห็นจะเบลอไป
ทักษะพลังต้นกำเนิด!
เสียงคำรามนี้คือวิชาตอกติด ซูเฉินยืนนิ่ง ไม่สามารถขยับได้แม้แต่นิด..
ทว่าเขากลับไม่ลนลานหรือตื่นกลัว สลับจากหน้าไม้เป็นปืนนักล่าเพลิงด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะยิงไปทางเจ้าวานรยักษ์
ปัง!
เมื่อควันดำจางลง เลือดสีแดงฉานก็พุ่งกระฉูดออกมาจากร่างวานรยักษ์
ความเจ็บปวดทำให้เจ้าวานรยักษ์โกรธเกรี้ยว มันคำรามต่ำใส่ซูเฉิน ก่อนจะพุ่งเข้าใส่เด็กหนุ่มตรงหน้า โค่นต้นไม้ตามทางที่มันกำลังวิ่งพุ่งมาอย่างเกรี้ยวกราด
ในตอนนั้นเอง ซูเฉินก็สามารถขยับร่างกายได้ เขารีบถอยทันที มือก็เล็งปืนยิงใส่เจ้าวานรยักษ์ไปด้วย แรงสะบัดจากตัวปืนทำให้ตัวเขาถึงกับโคลงไปมาอยู่เรื่อย ๆ
เด็กหนุ่มยิงออกไปทั้งหมดสามนัด ทว่าโดนศัตรูจนได้เลือดเพียงนัดเดียว
แม่นชะมัดเลยไอ้ปืนนี่
ในที่สุดวานรยักษ์นัยน์ตาหยกก็พุ่งเข้ามาประชิดตัวซูเฉินแล้วฟาดฝ่ามือเข้ามา
ซูเฉินใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษพร้อมกับรองเท้าย่ำเมฆี เงาร่างเขาเคลื่อนไหวรวดเร็วราวกับสายหมอก ในเวลาเดียวกันเขาก็ใช้มีดแทงใส่วานรยักษ์ มีดสั้นริ้วดำปลดปล่อยแสงเรืองที่แดงฉานออกมา เมื่อมันแทงเข้าร่างเจ้าวานร อานุภาพของเครื่องมือต้นกำเนิดระดับ 8 ก็สำแดงฤทธิ์ คมมีดตัดผ่านร่างของเจ้าวานรยักษ์ทันที
ถึงกระนั้นเจ้าวานรยักษ์ยังคงพิโรธ มันร้อง “โฮกกก” เสียงดัง ก่อนจะใช้วิชาตอกติดอีกครั้ง
ซูเฉินเซไปเล็กน้อย เจ้าวานรยักษ์ฟาดฝ่ามือเข้าที่อกของเขาที่เปิดโล่ง แม้จะใส่เกราะอยู่ทว่าซูเฉินก็ยังคงกระอักเลือดออกมาคำใหญ่
เด็กหนุ่มรีบถอยทันที ทั้งยังใช้พลังซัดเพื่อส่งตนเองไปด้านหลังให้เร็วขึ้น ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เด็กหนุ่มก็ได้ยกปืนนักล่าเพลิงขึ้นยิงอีกสี่นัด ครั้งนี้เขาเล็งให้โดนแผลเก่าของเจ้าวานร ถึงจะยิงโดนแค่สองนัด แต่แผลของมันก็ระเบิดออก เลือดสดสองสายพุ่งกระฉูดออกมาจากรอยแผล
เจ้าวานรยักษ์ที่คลั่งเสียสติเพราะความเจ็บปวดพุ่งเข้าใส่ซูเฉินและใช้มือฟาดเข้าใส่อีกครั้ง ซูเฉินโต้ด้วยการฟันมีดเข้าไปอีกครั้ง แสงสีเลือดเปล่งออกมาอีกครา จากนั้นก็ตัดแขนเจ้าวานรนั่นขาดออกจากตัวทันที
ทว่าเจ้าวานรยักษ์มีพละกำลังมาก ถึงจะโดนลายสลักเลือดไปถึงสองครั้งก็ยังไม่ตาย หากแต่นัยน์ตาซูเฉินกลับเริ่มพร่ามัวจากการใช้มีดสั้นริ้วดำที่อยู่ในมือ เขาเกือบจะต้านทานไม่ไหวอีกต่อไป
ในจังหวะนั้นเอง เจ้าวานรยักษ์ก็พุ่งขึ้นฟ้า มันเงื้อฝ่ามือขึ้นหวังจะซัดเข้าใส่ที่หัวของซูเฉิน
ซูเฉินเตรียมใช้ก้าวย่างหมอกอสรพิษเพื่อหลบการโจมตี ทว่าเมื่อเห็นเจ้าวานรอ้าปากกว้างก็รู้สึกว่าท่าเริ่มไม่ดี ดูแล้วเจ้าวานรนั่นจะใช้ทักษะพลังต้นกำเนิดเพื่อตอกเขาให้ติดอยู่กับพื้นอีกครั้ง
ในเวลาเดียวกับ ตอนที่เจ้าวานรส่งเสียงคำรามออกมานั่นเอง ซูเฉินก็โยนของบางอย่างออกไป
คือมุกสลายวิญญาณ
“โฮกกก!” น้ำเสียงสะเทือนวิญญาณดังขึ้น ก่อนที่มุกสลายวิญญาณจะเริ่มปล่อยแสงเรืองไร้รูปร่างออกมาทั่วทิศทาง
วิชาตอกติด
วิชาสลายวิญญาณ
การโจมตีวิญญาณทั้งสองสายระเบิดพลังเข้าใส่กัน ซูเฉินรู้เพียงว่าภาพที่มองเห็นตรงหน้าเริ่มมืดลงราวกับใครบางคนกำลังเชือดเฉือนวิญญาณของเขาให้ออกจากร่าง ความเจ็บปวดที่ถาโถมมากเสียจนเด็กหนุ่มเกือบทนรับไม่ไหว
ในที่สุดเขาก็ทนความเจ็บปวดไม่ไหวอีกต่อไป มือทั้งสองข้างของเด็กหนุ่มรัดหัวตนเองไว้แน่น ก่อนจะเปล่งเสียงร้องแหลมออกมา
เป็นความรู้สึกราวกับในหัวกำลังถูกอะไรสักอย่างซัดพลังเข้าใส่ จิตใจถูกทำลายด้วยพลังอันรุนแรงบ้าคลั่ง ในตอนที่ซูเฉินรู้สึกว่าตนเองทนไม่ไหวอีกต่อไป พลันก็มีเส้นสายพลังเย็นสบายไหลมาจากนัยน์ตาทั้งสองข้าง การโจมตีจิตวิญญาณที่ทำเอาเขาแทบคลั่งไหลออกจากร่างเขาผ่านทางนัยน์ตาทั้งสองข้างราวกับเจอทางออก
จากนั้นความเจ็บปวดก็เลือนหายไป
ซูเฉินตะลึงงันไป ตอนที่เขาลืมตาขึ้นมา เขาเห็นเจ้าวานรยักษ์นัยน์ตาหยกยังคงกุมหัวตนเองกรีดร้องเสียงแหลมออกมาด้วยความเจ็บปวด
มันเองก็ถูกมุกสลายวิญญาณโจมตี และกำลังเผชิญกับความเจ็บปวดราวกับวิญญาณถูกแยกออกจากร่างอยู่เช่นกัน
ซูเฉินรู้ทันทีว่านี่เป็นโอกาสสุดท้ายของตน เขายกมีดสั้นริ้วดำขึ้น จากนั้นเปิดใช้ลายสลักเลือดอีกครา
ฉัวะ!
เลือดสีแดงฉานสาดกระเซ็นไปในอากาศ
ร่างของวานรยักษ์นัยน์ตาหยกล้มลงกับพื้น ร่างของซูเฉินเองก็โซเซไปมาเช่นกัน จากนั้นเขาก็ล้มลง ไม่สามารถลุกขึ้นมาได้อีก
ตอนที่นอนอยู่บนพื้นนั้น ซูเฉินไม่อาจกระดิกแม้นิ้วมือสักนิ้ว
การต่อสู้ใช้เวลาไม่นาน แต่เป็นการต่อสู้ที่ทารุณยิ่งนัก
ซูเฉินใช้เครื่องมือต้นกำเนิดสี่ชิ้นเพื่อจัดการกับเจ้าบ้านี่ แล้วยังต้องใช้มุกสลายวิญญาณไปอีก
ยามได้สัมผัสกับพลังของมุกสลายวิญญาณแล้วครั้งหนึ่ง แน่นอนว่าเขาย่อมไม่อยากได้พบพานมันอีกเป็นครั้งที่สอง
แน่นอนว่าบนเทือกเขาสีเลือดมีแต่อันตรายรายล้อม กระทั่งตรงพื้นที่ที่เป็นเขตรอยต่อ ทุกย่างก้าวมีหนามแหลม เต็มไปด้วยภัยมากมาย
แต่เหตุผลสำคัญก็ยังคงไม่พ้นเรื่องที่ว่าเขาอ่อนแอเกินไป
หากเขาสามารถก้าวข้ามไปถึงด่านก่อเกิดลมปราณได้เร็วกว่านี้ละก็…
หากเขาสามารถก้าวข้ามไปถึงด่านก่อเกิดลมปราณได้แล้ว เด็กหนุ่มจะสามารถควบคุมพลังต้นกำเนิดและทักษะพลังต้นกำเนิดได้ โอกาสของเขาจะมีอยู่อย่างไร้ข้อจำกัด
หากใช้ต่อสู้กับทักษะพลังต้นกำเนิดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นวิชาหมัดพยัคฆ์เพลิงหรือวิชาไหน ๆ ก็เป็นแค่ท่าเคลื่อนร่างธรรมดาสามัญเท่านั้น
ทว่าดูจากสถานการณ์ในตอนนี้ หากเด็กหนุ่มสามารถฝึกปรือฝีมือจนถึงขั้นสุดของด่านหลอมกายาได้ก่อนที่บทลงทัณฑ์สีเลือดจะจบลงจะเป็นเรื่องดีมาก ส่วนเรื่องทะลวงผ่านไปยังด่านก่อเกิดลมปราณนั้น ลืมมันไปก่อนน่าจะดีที่สุด หากเขาสั่งสมพลังต้นกำเนิดไว้ในร่างไม่เพียงพอ ก็ไม่อาจดึงพลังปราณมาไว้ในร่างและสามารถเปิดตานไห่ได้
ในตอนที่กำลังหมกมุ่นอยู่กับชีวิตรันทดของตนเองอยู่นั้นเอง จู่ ๆ ซูเฉินก็เห็นจุดแสงเล็ก ๆ หลายจุดปรากฏขึ้นบนร่างของเจ้าวานรยักษ์นัยน์ตาหยก
“อะไรน่ะ?” เขาสงสัย
เขาพยายามพยุงร่างตนยืนขึ้น ทว่าร่างกายกลับไม่ยอมฟังคำสั่ง ทำได้เพียงใช้สองตามองจุดแสงที่ค่อย ๆ ปรากฏขึ้นบนร่างของเจ้าวานร มันปรากฏขึ้นมาเพียงแวบเดียวก่อนจะสลายหายไปในอากาศ
ราวกับบหยาดน้ำหยดลงมหาสมุทร
มีจุดแสงลอยมาแตะลงบนใบหน้าของซูเฉินอยู่หลายครั้ง จากนั้นมันก็ลอยหายไป
“หรือว่านี่จะเป็น…… พลังต้นกำเนิดงั้นหรือ?” ซูเฉินเอ่ยขึ้นด้วยความประหลาดใจเหลือล้น
นัยน์ตาคนธรรมดาไม่อาจมองเห็นพลังงานต้นกำเนิดได้ คำที่กล่าวว่า “อสูรร้ายจะปลดปล่อยพลังต้นกำเนิดออกจากร่างยามสิ้นชีพ” ถูกกล่าวไว้โดยผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งผู้สามารถขยายนัยน์ตาอันกว้างไกลของตนจนสามารถสัมผัสได้ถึงพลังต้นกำเนิด
เป็นเหมือนกับความจริงที่ว่าคนเราไม่อาจมองเห็นอากาศได้ ทว่าอากาศก็มีอยู่จริง
ทว่าในตอนนี้ซูเฉินกลับสามารถเห็นจุดแสงที่ดูแล้วน่าจะเป็นพลังงานต้นกำเนิดได้
หากได้ลองดูน่าจะรู้แน่ชัดว่าเป็นอย่างไรกันแน่
ดังนั้นซูเฉินจึงอดทนรอ
ไม่นาน จุดแสงก็ลอยมาแตะบนร่างของซูเฉินอีกครั้ง ครั้งนี้มันลอยมาอยู่บนแขนของตน
ในตอนที่สายตาจับจ้องอยู่ที่จุดแสงจุดนั้น เขาก็เริ่มรวมพลังโดยมุ่งไปที่แสงจุดนั้น
ครั้งนี้ จุดแสงจุดนั้นไม่ลอยหายไป
มันกลิ้งไปมาอยู่บนผิวของซูเฉินสองสามครั้งราวกับต้องการประท้วง ก่อนจะผุดหายเข้าไปในร่างของซูเฉิน