ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 55 ตัดหัว
บทที่ 55 ตัดหัว
ภายใต้คมมีดสีแดง หัวไร้ร่างเล็ก ๆ กำลังลอยกลิ้งอยู่ในอากาศ
ลายสลักเลือด!
การเคลื่อนไหวของซูเฉินนั้นทั้งโหดเหี้ยมและแม่นยำ อย่างแรกเขาใช้หลางเตาเป็นเหยื่อล่อดึงความสนใจและปิดกั้นสายตาของแม่นางไป๋ จากนั้นก็ใช้โจมตีอย่างฉับพลันตัดหัวนางทิ้งในทันที
“ไม่!” ไป๋ฟานกรีดร้องด้วยใจแตกสลาย
เขาไม่เคยคิดเลย ภรรยาของเขาที่พยายามเกลี้ยกล่อมให้ซูเฉินปล่อยคนพวกนั้นไป นางกลับได้รับการตอบด้วยความรุนแรงเช่นนี้
คนผู้นี้ทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เขาทำได้อย่างไรกัน?
ในขณะที่ไป๋ฟานยังคงรู้สึกโศกเศร้า เขาก็สังเกตเห็นมือของซูเฉินกดลงที่อกของแม่นางไป๋ เด็กหนุ่มทำการหิ้วศพของนางพุ่งตรงมาหาไป๋ฟาน ทั้ง ๆ ที่หัวของนางยังลอยหมุนอยู่ในอากาศไม่ตกถึงพื้น ดวงตาของนางเบิกกว้าง ราวกับว่านางพึ่งจะตระหนักได้ถึงบางสิ่งบางอย่าง
เมื่อเห็นซูเฉินพุ่งไปข้างหน้าพร้อมกับถือศพไร้หัวของนางราวกับมันเป็นโล่ของเขา นางก็คล้ายอยากจะกรีดร้องออกมาแต่ก็ไม่สามารถส่งเสียงใด ๆ ออกมาได้ วิสัยทัศน์ของหญิงสาวเริ่มจางลง ในที่สุดจิตสำนึกสุดท้ายก็จมหายไปในความว่างเปล่า
ในเวลาเดียวกันซูเฉินก็รีบวิ่งตรงไปที่ไป๋ฟาน
จังหวะที่หัวของแม่นางไป๋ยังคงลอยเคว้งอยู่ในอากาศและอารมณ์ของไป๋ฟานยังไม่มั่นคง เขายังไม่ทันได้เสียใจมากพอ ซูเฉินก็มาอยู่เบื้องหน้าของอีกฝ่ายแล้ว
รวดเร็วราวกับสายฟ้า
ในช่วงเวลาวิกฤตนี้ ไป๋ฟานได้รีบถอยออกไปตามสัญชาตญาณที่ได้มาจากประสบการณ์หลายปีของเขา ความเร็วของเขานั้นเร็วมากจริง ๆ สมกับที่เป็นผู้เชี่ยวชาญในด้านของร่างกายและความเร็ว ภาพอนุมานเหตุการณ์ต่อไปหลายภาพปรากฏอยู่ในหัวของอีกฝ่าย ในขณะที่ใช้ความเร็วเพื่อหลบเลี่ยงการโจมตีคมมีด
ซูเฉินฟันผ่านอากาศที่ว่างเปล่า ทว่าเด็กหนุ่มก็ไม่ได้หยุดมือลงเพียงแค่นั้น เขาเพียงแค่ยักไหล่ของเขาแล้วพุ่งตรงไปข้างหน้าเพื่อโจมตีต่อ ความเร็วของซูเฉินไม่ได้ลดลงเลยแม่แต่น้อย แต่กลับเร็วขึ้นอีก หลังจากเกิดเสียงปะทะดัง ‘ปัง’ ทั้ง 2 ก็พุ่งทะลุประตูโรงเตี๊ยมออกไปยังด้านนอก
ในขณะที่ถอยร่น ไป๋ฟานก็ได้ดึงดาบของเขาออกมา ก่อนจะทำการฟันออกไปในอากาศเพื่อชะลอการโจมตีของซูเฉินอย่างแรงจนเกิดแนวดาบเหลือทิ้งไว้ด้านหลัง ซูเฉินตอบสนองโดยการปล่อยการโจมตีอันทรงพลังออกมา
ในการโจมตีครั้งนี้ ซูเฉินไม่ได้เปิดใช้ลายสลักเลือด แต่มันก็ยังทำให้ดาบของไป๋ฟานถูกปัดออก และเผยช่องว่างของเขาออกมา
ไป่ฟานตกใจอย่างมาก ในช่วงเวลาแห่งวิกฤตของความเป็นความตาย เขาไม่มีแม้แต่เวลาที่จะรู้สึกเศร้าโศกหรือโกรธแค้น ทำได้แค่เน้นพลังทั้งหมดลงไปที่ขาและทำให้ความเร็วของเขาเพิ่มในทันที
ราวกับว่าโซ่บางอย่างที่ผูกมัดอยู่ในร่างกายได้ถูกทำลาย ทันใดนั้นไป๋ฟานก็เข้าใจปัญหาเล็ก ๆ ที่เขาไม่เคยเข้าใจมาก่อนได้ แม้กระทั่งบรรลุระดับความแข็งแกร่งใหม่และเริ่มบินเหมือนสายลม
ไป๋ฟานรู้สึกตื่นเต้นมาก อารมณ์ของเขาในตอนนี้มีทั้งเศร้าและสุขปนกัน แต่ทว่าในชั่วพริบตาต่อมาเขาก็ต้องดิ่งลงอีกครั้ง
ความเร็วที่เพิ่มขึ้นอย่างกะทันหันไม่ได้ช่วยให้ไป๋ฟานสลัดหลุดออกจากซูเฉินเลย ร่างของซูเฉินเองก็เร่งความเร็วขึ้นมาในเวลาเดียวกัน เขาใช้ออกด้วยก้าวย่างหมอกอสรพิษร่วมกับรองเท้าย่ำเมฆี พุ่งไปหาอีกฝ่ายด้วยความเร็วที่เร็วกว่าเดิม
เป็นไปได้อย่างไร?
แม้จะบรรลุสู่ระดับมาแล้ว ข้าก็ยังไม่อาจสลัดมันได้พ้นอย่างนั้นหรือ ……
“ไม่!” ไป๋ฟานตะโกนอย่างบ้าคลั่ง
คลื่นเสียงที่มองไม่เห็นได้กวาดพุ่งเข้าหาซูเฉิน มันคือทักษะต้นกำเนิดประเภทการโจมตีด้วยเสียงของไป๋ฟาน
ร่างเงาของซูเฉินกะพริบไปด้านข้างขณะที่เขาหลบการโจมตี ไป๋ฟานใช้โอกาสนี้เพื่อเปลี่ยนทิศทางอย่างรวดเร็ว แต่ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกอ่อนแรง ร่างเขาชะงักตามด้วยเสียงบางอย่างที่ดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เสียงที่เกิดขึ้นนี้ทำให้กระแทกเข้ากับแก้วหูของ ไป๋ฟานราวกับสายฟ้า ทำให้เลือดจำนวนมากไหลออกมาราวกับดอกไม้สีเลือด พวกมันหลายดอกกำลังเบ่งบานอยู่บนหน้าอกของเขา
ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก
ซูเฉินตรงเข้ามาถึงไป๋ฟานแล้ว
ในที่สุดไป๋ฟานก็เริ่มตื่นตระหนก เขาเสียใจมากที่ตนผลีผลามสอดมือเข้าไปยุ่งและทำให้ผู้แข็งแกร่งคนนี้โกรธ
เขาตะโกนเสียงดัง “เจ้าจะฆ่าข้าไม่ได้ ข้า…”
คำตอบเดียวที่เขาได้รับคือคมมีดอันเย็นเฉียบ
ฉัวะ!
ร่างของไป๋ฟานสั่นสะท้านอย่างรุนแรง ก่อนจะหยุดลง
เขาก้มศีรษะลงและมองไปที่หน้าท้อง เส้นโลหิตบาง ๆ เริ่มขยายออกอย่างช้า ๆ จากนั้นลำไส้ของไป๋ฟานเริ่มทะลักออกมาจากช่องท้องของตน
“ ช่าง … เป็นดาบที่ทรง … พลัง … ” ไป๋ฟานจำต้องกล่าวประโยคนี้ออกอย่างไม่เต็มใจ
“ในเมื่อภรรยาของเจ้าได้จากไปแล้ว เจ้าจะอยู่ในโลกนี้ไปคนเดียวเพื่ออะไรกัน” ซูเฉินตอบอย่างเย็นชา
คมมีดยาววาดผ่านอากาศอีกครั้ง
ครั้งนี้เส้นโลหิตบาง ๆ ปรากฏเป็นแนวยาวพาดผ่านหน้าผากของไป๋ฟาน
ตุ้บ
ศพไป๋ฟานร่วงกระแทกพื้น
ขณะที่ลูกค้าในร้านเหล้าเพิ่งพากันวิ่งออกมาด้านนอก พวกเขาก็เห็นว่าทั้ง 2 ได้ต่อสู้กันเสร็จเรียบร้อย หนึ่งในนั้นได้ล้มลงแล้ว
เพียงพริบตา ซูเฉินได้รับชัยชนะจากการตัดหัวทั้ง 2 คนติดต่อกัน ส่งผลให้แขกร้านเหล้าต้องกันสูดหายใจเข้าอย่างแรง
มันแตกต่างกับวิธีการจัดการพวกหลางเตาอย่างมาก ครั้งนี้การที่ซูเฉินได้สังหารคู่สามีภรรยาของไป๋ นับเป็นการเปิดเผยพลังมากที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้แล้ว
แม้ว่าซูเฉินจะลอบโจมตี แต่การที่เขาสามารถสังหารผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้ถึง 2 คนในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นก็เพียงพอแล้วที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเด็กหนุ่ม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อตอนที่ซูเฉินไล่ล่าและสังหารไป๋ฟาน ยังไม่รวมถึงความเร็ว ความแข็งแกร่ง และปฏิกิริยาตอบสนองทั้งหมดที่สามารถบดขยี้ไป๋ฟานได้อีก
ส่วนอาวุธที่ซูเฉินใช้ทำร้ายไป๋ฟานนั้น ไม่มีใครเห็นมันได้ชัดเจนนัก ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใดหรืออาวุธใดก็ตาม การฆ่าคน 2 คนในช่วงเวลาสั้น ๆ นั้นเพียงพอที่จะยืนยันความแข็งแกร่งได้แล้ว คนผู้นี้ไม่ใช่คนที่จะเล่นตลกด้วยได้
หากมีใครบางคนคอยอยู่เบื้องหลังล่ะก็ สิ่งต่าง ๆ จะยิ่งลำบากและซับซ้อนมากขึ้น
ไม่มีใครอยากหาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัว
ดังนั้นบรรดาผู้ที่จ้องมองเขาด้วยความละโมบ ต่างก็พากันกลืนความปรารถนาของพวกเขาลงไป
เมื่อเป้าหมายได้แสดงความแข็งแกร่งของตัวเองแล้วทุกอย่างก็ควรจะจบลงตรงนี้
ส่วนหลางเตา ไป๋ฟาน … พวกเขาเป็นใคร?
ไม่มีใครคิดจะสนใจเรื่องนั้นอยู่แล้ว ทุกคนจึงกลับไปนั่งโดยอัตโนมัติและดื่มต่อราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น
หลังจากจัดการศพและหยิบทุกอย่างที่สามารถหยิบได้มาแล้ว ซูเฉินก็กลับไปที่โรงเตี๊ยม
หงหยิงกับซานเสี่ยวยังคงนอนอยู่บนพื้น
คนพวกนี้ไม่มีทางให้หนี ร่างกายของพวกเขาถูกวางยาพิษ มือและเท้าก็โดนหัก ทั้งสองทำได้เพียงเฝ้ามองซูเฉินด้วยความหวาดกลัว
ซูเฉินมองกลับไปที่พวกเขาและเก็บมีดสั้นริ้วดำไป หลังจากนั้นก็หยิบดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ขึ้นมา พลางพูดอย่างไม่สนใจ “ข้าไม่ได้ชื่นชอบการฆ่าคน หากไม่ใช่เพราะสามีภรรยาคู่นั้นที่ข้าสังหารไปแล้ว พวกเจ้าก็คงไม่จำเป็นต้องตาย ทว่าตอนนี้ในเมื่อหลางเตาตายไปแล้ว มันก็จะไม่มีเหตุผลที่จะให้พวกเจ้ามีชีวิตอยู่ได้อีกต่อไป”
หน้าของพวกเขาทั้ง 2 เปลี่ยนสีในเวลาเดียวกัน พวกเขาต้องการวิงวอนขอความเมตตา แต่ซูเฉินยกมือขึ้นและกระแสพลังไร้รูปร่างก็ได้ปิดปากของพวกเขาไว้ “ข้าได้ยินมาว่ามีจิตวิญญาณหมาป่าอยู่ในดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ ทุกการต่อสู้มันจะปรากฏออกมาเพื่อขโมยวิญญาณของอีกฝ่าย เจ้า 2 คนเป็นพี่น้องที่ดีของหลางเตา เช่นนั้นข้าจะใช้ดาบนี้ส่งพวกเจ้าไป”
ในขณะที่พูดซูเฉินก็เปิดใช้งานพลังต้นกำเนิดของเขา จิตวิญญาณหมาป่าขนาดใหญ่โผล่ออกมาจากดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ มันพุ่งเข้าหาหงหยิงพร้อมเสียงคำรามกัดเข้าที่คอของอีกฝ่าย คอของหงหยิงถูกฉีกหายไปครึ่งหนึ่งในทันที
จากนั้นซูเฉินก็ชี้ดาบไปทางซานเสี่ยว จิตวิญญาณหมาป่าเปลี่ยนทิศทางและกระโจนเข้าหาซานเสี่ยว เขาตะโกนด้วยความกลัว โบกแขนที่หักเพื่อปัดป้องจิตวิญญาณหมาป่า ทว่าแขนของเขากลับทะลุร่างวิญญาณไปอย่างไร้ประโยชน์
เดิมทีจิตวิญญาณหมาป่านั้นไม่มีอยู่จริง เหตุผลเดียวที่มันสามารถกัดคนอื่นได้เพราะมันเกิดจากการควบแน่นของพลังต้นกำเนิด จริง ๆ แล้วมันเป็นเพียงแค่ทักษะต้นกำเนิดชนิดหนึ่ง หากฐานการบ่มเพาะของใครไม่สูงพอหรือมีทักษะต้นกำเนิดที่สอดคล้องกันก็ยากที่จะป้องกัน
พริบตาต่อมาจิตวิญญาณหมาป่าก็กัดเข้าที่คอของซานเสี่ยวในที่สุด และฆ่าเขาด้วยการกัดเพียงครั้งเดียว
ซูเฉินไม่ได้ขยับแขนของเขาอีกต่อไป จิตวิญญาณหมาป่าลอยไปรอบ ๆ เป็นวงกลมจากนั้นกลับเข้าดาบไป
อย่างที่เขาคาดไว้ มันถือเป็นเครื่องมือต้นกำเนิดที่ดีทีเดียว
ในแง่ของความแข็งแกร่ง ดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์นั้นยังด้อยกว่าลายสลักเลือดอยู่มาก อย่างไรก็ตามมันดีกว่าเพราะสามารถโจมตีได้อย่างต่อเนื่อง ตราบใดที่ผู้ใช้ยังคงส่งพลังต้นกำเนิด ดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ก็สามารถต่อสู้ต่อไปได้เรื่อย ๆ ข้อบกพร่องเพียงประการเดียวคือมันใช้พลังงานค่อนข้างมาก
ถ้าไม่ใช่เพราะความจริงที่ว่ามีดสั้นริ้วดำกินพลังกายอย่างมาก ในฐานะที่เป็นเครื่องมือต้นกำเนิดระดับแปด มันย่อมเหนือกว่าดาบหมาป่าสวรรค์กลืนกินดวงจันทร์ระดับเก้าอยู่แล้ว
ตอนนี้ใคร ๆ ก็บอกได้แค่ว่าทั้งคู่มีข้อดีข้อเสีย นับได้ว่าเป็นการเสริมซึ่งกันและกัน
แม้ซูเฉินจะใช้มีดสั้นริ้วดำได้จนเขาไม่เหลือพลังกาย แต่เขาก็ยังคงมีพลังต้นกำเนิดเหลือให้ใช้อยู่ และยังสามารถสู้ต่อไปได้ ที่ต้องทำก็เพียงแค่ต้องเปลี่ยนอาวุธ จากนั้นความสามารถในการต่อสู้ระยะยาวของเขาจะเพิ่มขึ้น
ไม่เลว นับว่าไม่เลวเลย ซูเฉินคิดกับตัวเอง
เหล่าผู้เฝ้าดูได้แต่รู้สึกอิจฉา หน้ากากปีศาจมีวิธีการที่โหดเหี้ยมมากและยังแข็งแกร่งมากเช่นกัน ถ้าพวกเขาไม่ต้องการให้เป็นตัวอย่างรายต่อไป พวกเขาทำได้แค่ยอมรับแล้วยอมแพ้ไป
คนกล้าลองคนแรกมักจะเสียชีวิตเร็วที่สุด กฎนี้เพิ่งได้รับการพิสูจน์เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
หากไม่มีเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้น คงจะไม่มีใครพยายามสร้างปัญหาให้กับซูเฉินอีกต่อไป
ในตอนนั้นเองได้มีเสียงหนึ่งพูดขึ้น “ดาบดี หน้ากากปีศาจ เจ้ามีดาบอยู่แล้ว เหตุใดไม่ขายมันให้ข้าแทนล่ะ?”