ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 6 การเปลี่ยนแปลง
“เจ้าลูกอกตัญญู!”
เสียงของผู้เป็นบิดาอย่างซูเฉิงอันดังสนั่นขึ้นทั่วทั้งห้องโถง
“เจ้าลูกอกตัญญู! เจ้ากล้าโกหกข้าอย่างงั้นหรือ!?”
เพี้ยะ! ซูเฉิงอันตบเข้าที่ใบหน้าของลูกชายตน
“นั่นท่านกำลังทำอะไร!” ถังหงรุ่ยก้าวออกมาปกป้องบุตรชายของนาง
“เจ้ายังจะปกป้องมันอีกรึ?!” ร่างกายของซูเฉิงอันสั่นเทาด้วยความโกรธในขณะที่เขาชี้ไปที่ซูเฉินและตวาด “เจ้าลูกอกตัญญูนี่กล้าที่จะโกหกพ่อบังเกิดเกล้าของมัน! ดวงตาของมันไม่หายดีเลยแม้แต่น้อย!”
“แล้วอย่างไร?” ถังหงรุ่ยถามกลับตรง ๆ “ที่เฉินเอ๋อต้องทำเช่นนี้ เพราะท่านต้องการจะสนับสนุนข้อเสนอให้เปลี่ยนแปลงระบบการประเมินของผู้อาวุโสสองไม่ใช่หรืออย่างไร?”
“ที่ข้าทำเพราะประโยชน์ที่ดีต่อตระกูล”
“โอ้? ไม่ใช่เพราะมันดีสำหรับภรรยาสี่ของท่านหรอกหรือ? ” ถังหงรุ่ยมองซูเฉิงอันด้วยสายตาเย็นชา
นับตั้งแต่ที่ซูเฉิงอันเริ่มรับภรรยาคนที่สองเข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับถังหงรุ่ยก็ค่อย ๆ จางหายไป เมื่อภรรยาคนที่สี่เข้ามา ความสัมพันธ์ระหว่างสามีภรรยาของทั้งสองก็มาถึงจุดต่ำที่สุด
ซูเฉิงอันตกตะลึงไปชั่วครู่ก่อนจะกล่าวขึ้นด้วยความโกรธ “ข้าเพียงต้องการมีบุตรเพิ่มอีกคน แต่เจ้ากลับกังวลว่ามันจะทำให้เฉินเอ๋อร์เสียเปรียบและไม่เต็มใจ แล้วเจ้าคิดว่าข้ามีทางเลือกอื่น?”
“ไร้สาระ!” ถังหงรุ่ยถ่มน้ำลายลงตรงหน้าสามีของเธออย่างไม่สุภาพ “เพราะท่านต้องการบุตรเพิ่ม ท่านจึงต้องรับภรรยาทั้งสามเข้ามางั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่ามันก็เป็นเพียงแค่ตัณหาของท่าน!”
ซูเฉิงอันอายจนใบหน้าแดงก่ำและพูดทันทีว่า “ข้าคือทายาทของตระกูลใหญ่ การสร้างทายาทและมีลูกหลานมากมายเป็นเรื่องที่ชอบธรรม เฉินเอ๋อร์กลายเป็นคนตาบอด ตอนนี้อนาคตของเด็กชายก็มืดลงไปแล้ว ในฐานะหัวหน้าตระกูลในอนาคต ทายาทของข้าต้องโดดเด่นและมีความสามารถ เจ้ายังไม่เข้าใจในเหตุผลนี้อีกเหรอ?”
คำพูดเหล่านั้นไม่ได้ผิดแต่อย่างใด
ความเชื่อที่เก่าแก่ที่สุดของตระกูลใหญ่คือ ยิ่งมีลูกหลานมากเท่าใด ก็ยิ่งมีความสุขมากเท่านั้น เหตุผลเรื่องนี้นั้นเรียบง่ายมาก สิ่งที่พวกเขาต้องการคือผู้ที่ประสบผลสำเร็จเพียงคนเดียวเพื่อนำตระกูลไปสู่ความรุ่งโรจน์ ไม่มีใครสนใจแม้ว่าลูกหลานส่วนใหญ่จะล้มเหลว
ด้วยเหตุนี้ เมื่อคนรุ่นก่อนเลือกทายาท พวกเขาจะไม่มองเพียงแค่ลูก ๆ ของพวกเขาเท่านั้น แต่ยังมองลูกหลานของรุ่นสามด้วย
ในฐานะบุตรชายคนโตของผู้นำตระกูล กฎการสืบทอดได้กำหนดให้ซูเฉิงอันเป็นผู้นำในอนาคต ทว่าหากเขาไม่มีทายาทที่โดดเด่น เช่นนั้นจาก ‘มีอนาคต’ อาจกลายเป็น ‘ไร้อนาคต’ ได้ ท้ายที่สุดแล้วไม่มีใครอยากให้ตระกูลซูตกลงสู่ความขัดแย้งภายในเนื่องจากขาดผู้สืบทอดที่เหมาะสม
ถังหงรุ่ยมองสามีของเธอเด้วยความไม่พอใจอย่างมาก “ท่านเอาแต่พูดและก็พูด สุดท้ายที่เอ่ยมาทั้งหมดก็เพียงแค่เผยให้เห็นว่าท่านเป็นคนเห็นแก่ตัวที่คิดถึงแต่ตัวเองเท่านั้น”
“ข้าคิดถึงแต่ตนเอง?” ซูเฉิงอันรู้สึกผิดหวังอย่างมาก “เจ้าคิดว่าใครที่เป็นคนบังลมบังฝนให้มันในช่วงสองปีที่ผ่านกันหากไม่ใช่ข้า ผู้อาวุโสสองต้องการเปลี่ยนระบบมานานแล้ว ข้าคือคนที่ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันของพวกผู้อาวุโสในตระกูล หากไม่ใช่เพราะข้า หลังจากที่กลายเป็นคนตาบอด มันคงไม่ได้รับอันดับหนึ่งหรือแม้แต่อันดับสอง เสียด้วยซ้ำ!”
“ถูกต้อง หลังจากท่านได้ยินว่าดวงตาของลูกดีขึ้น” ถังหงรุ่ยยิ้มอย่างเย้ยหยัน “แต่แล้วตอนนี้ล่ะ?”
ซูเฉิงอันไร้ซึ่งคำพูด
“ท่านจะไม่ทนอีกต่อไปแล้วหรือ? หืม?” ถังหงรุ่ยกล่าวต่อ “เพราะท่านพบว่าบุตรชายของท่านไร้ค่าที่จะปกป้อง?”
ใบหน้าของซูเฉิงอันกลายเป็นทะมึน เขายังเงียบ
ถังหงรุ่ยมองสามีด้วยความผิดหวัง “ซูเฉิงอัน ข้าได้เห็นแล้วว่าท่านเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวที่เปรียบเทียบบุตรกับผลประโยชน์ของตัวเอง หากเขามีค่าพอ ท่านก็จะดูแลเขาและปกป้องเขาจากลมและฝน แต่หากเขาไร้ค่า ท่านก็พร้อมที่จะทอดทิ้งเขาทันที”
“ข้าทอดทิ้งมันไปเมื่อไหร่กัน?” ซูเฉิงอันรู้สึกรำคาญใจเป็นอย่างยิ่ง เขาทำเพียงตบลูกไปครั้งเดียวเท่านั้น? เจ้าเด็กน้อยนี่กล้าที่จะโกหกบิดาของมัน เขาไม่ควรตีสั่งสอนมันเหรอ? เขาพูดว่าจะทิ้งหรือขับไล่มันออกไปเมื่อใดกัน? นอกจากนี้ ก็เห็นกันอยู่ชัด ๆ แล้วว่าตอนนี้บุตรชายของเขาไม่เหมาะที่จะเป็นนักสู้อีกต่อไป….
อย่างไรก็ตามซูเฉิงอันก็ไม่ได้พูดคำเหล่านี้ออกไป เขาทำเพียงมองดูลูกชายของเขาเท่านั้นและพูดว่า “เฉินเอ๋อร์ บอกข้ามาสิ ทำไมจนถึงตอนนี้เจ้าถึงยังไม่คิดที่จะยอมแพ้กัน?”
“เพราะข้าเชื่อว่าข้าสามารถฟื้นฟูมันได้” ซูเฉินตอบกลับ “ขอทานชราผู้นั้น กล่าวว่าจะเปลี่ยนดวงตาของข้าไม่ใช่ทำลายพวกมัน เขาบอกข้าว่าเขาจะให้อนาคตที่มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด ซึ่งหมายความว่า ข้าที่จะฟื้นฟูพวกกลับมันได้”
“เจ้าโกหกข้าเพราะคำไร้สาระของขอทานนั้นงั้นหรือ!” ซูเฉิงอันตวาดออกมาอย่างไม่สามารถควบคุมตนเองได้
ซูเฉิงอันคุ้นเคยกับคำกล่าวเหล่านี้ดี ในช่วงเวลาที่ซูเฉินตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า เขาและถังหงรุ่ยก็ใช้คำเหล่านี้เพื่อปลอบโยนลูกของพวกเขา
แม้จะผ่านไปสองปีแล้วแต่ดวงตาของซูเฉินก็ยังคงเหมือนเดิม อนาคตที่มีความเป็นไปได้อันไร้ขีดจำกัด?
คำเหล่านี้ก็เป็นเพียงผายลมไร้สาระเพียงเท่านั้น!
ทุกอย่างเป็นเรื่องโกหก คำโกหก!
ซูเฉิงอันยอมแพ้กับความคิดนี้ไปแล้ว มีเพียงซูเฉินและ ถังหงรุ่ยเท่านั้นที่ยังคงเชื่อว่าตาคู่นั้นมันฟื้นฟูกลับมาได้
“เฉินเอ๋อร์ เจ้าต้องเข้าใจ ความฝันไม่อาจเป็นจริงได้ เจ้าจะไปเชื่อคำกล่าวของบุคคลที่ทำร้ายเจ้าได้อย่างไร? เจ้าต้องตื่นจากฝันที่เป็นภาพลวง มาเผชิญหน้ากับความจริงตรงหน้าเจ้าได้แล้ว!” ซูเฉิงอันพูดอย่างจริงใจและจริงจัง
“แล้วยังไงต่อ?” ซูเฉินยิ้มบาง “เมื่อข้ายอมแพ้ ท่านก็จะสามารถละทิ้งข้าได้อย่างถูกต้องโดยไม่รู้สึกผิดใช่หรือไม่ท่านพ่อ?”
ใจของซูเฉิงอันสั่นไหว แผนการที่เขาซ่อนเอาไว้ในใจ ถูกลูกชายของตัวเองมองออกจนหมด เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกกังวลในทันที
เป็นไปได้อย่างไร? ซูเฉินอายุเพียงสิบสี่ปี มันจะไปเข้าใจจิตใจของมนุษย์ได้อย่างไร?
หลังจากนั้นความกังวลก็กลายเป็นความโกรธอย่างรวดเร็ว ซูเฉิงอันใช้ความโกรธเพื่อปกปิดความรู้สึกผิดของตน ในขณะที่เขาคิดว่ามันคือการลงโทษที่ชอบธรรม ..
ซูเฉิงอันตะโกนขึ้นเสียงดัง “อวดดี! นี่หรือคือวิธีการพูดกับบิดาบังเกิดเกล้าของเจ้า?”
ซูเฉินไม่ได้ตอบอะไร เขาเพียงแค่ “มองดู” ใบหน้าของผู้เป็นพ่อของเขาเท่านั้น
แม้ว่าดวงตาของซูเฉินจะมืดบอด ทว่ามันก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากคนปกติเลย ดวงตาที่จ้องมองมาของเขาทั้งสดใสและมีประกายความนึกคิดอยู่ด้านใน
แววตาที่ดูเฉลียวฉลาดและซ่อนความนัยของซูเฉิน ทำให้ซูเฉิงอันผู้เป็นพ่อรู้สึกไม่สบายใจอีกครั้ง
ซูเฉิงอันพยายามสงบสติอารมณ์ตัวเอง เขาพยายามควบคุมตนเองทุกทางแต่ก็ล้มเหลว เขาไม่สามารถสบสายตาของลูกชายตนเองได้เลย
หลังจากนั้นไม่นานซูเฉินก็เอ่ยขึ้น “ท่านพ่อ บอกข้าช่วยได้หรือไม่ว่าข้าทำสิ่งใดผิดกัน?”
ซูเฉิงอันเงียบไป
หลังจากนั้นไม่นานเขาก็ตอบว่า “เจ้าไม่ได้ทำอะไรผิด เจ้าเป็นลูกที่ดีมาตลอด”
“แล้วเหตุใดท่านจึงไม่สนับสนุนในความพยายามของข้า แต่กลับเลือกทางเช่นนี้?” ซูเฉินถามอีกครั้ง
ซูเฉิงอันตอบว่า “ไม่ใช่เรื่องผิดที่เจ้าพยายาม เพียงแต่มันกำลังการปิดกั้นเส้นทางของผู้อื่น”
—————-
หลังจากการโกหกของซูเฉินถูกเปิดเผย ระบบการประเมินก็ถูกเปลี่ยนโดยไม่มีการคัดค้านใด ๆ อีก
แต่ถึงอย่างนั้นมันก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไรไปมากนัก การประเมินผลสิ้นปียังคงขึ้นอยู่การทดสอบพลังเป็นหลัก แต่เพิ่มสิทธิ์ในการเข้าต่อสู้ท้าทายมา
หลังจากอันดับหนึ่งถูกประกาศออกมา คนผู้นั้นจะต้องยอมรับคำท้าทายจากเด็กคนอื่น ๆ ที่พ่ายแพ้ไป อย่างไรก็ตามผู้ท้าชิงมีเพียงโอกาสเดียวและไม่มีการอนุญาตให้ใช้อาวุธ
การเปลี่ยนแปลงกฎนี้ถูกร่างขึ้นอย่างระมัดระวังและไม่ได้เปลี่ยนแปลงสิ่งใดมากมายนัก เพื่อลดเสียงคัดค้านและเพื่อกำจัดความกังวลของซูฉางเช่อ ในเรื่องการบาดเจ็บและเสียชีวิตระหว่างแข่งขัน
แน่นอนว่าเป้าหมายของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ชัดเจนยิ่ง ทุกคนรู้ดีว่าเป้าหมายนั้นก็คือซูเฉิน
ด้วยเหตุนี้ซูชิงจึงตื่นเต้นอย่างมาก เขายังประกาศว่า ซูเฉินควรจะยอมแพ้ในการประเมินสิ้นปี ก่อนที่จะอับอายในการท้าทายเสียดีกว่า
แต่ก็เห็นได้ชัดว่าการคุกคามของซูชิงนั้นไร้ประโยชน์
นั่นเป็นเพราะซูเค่อจี่ได้รับข่าวอย่างรวดเร็วว่าซูเฉินจะเข้าร่วมในการประเมินสิ้นปีนี้อย่างแน่นอน