ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 60 ด้วง
บทที่ 60 ด้วง
โคมไฟคริสตัลทอแสงอบอุ่นจาง ๆ ส่องลงบนเส้นทางเบื้องหน้า ทำให้ฉากตรงหน้าชัดเจนขึ้น
นี่คือพื้นที่เปิดโล่งขนาดใหญ่ที่กว้างขวางมาก ดูราวกับภูเขาที่ถูกขุดด้านในออกไปจนกลวง ใจกลางของพื้นที่เปิดโล่งเป็นหลุมขนาดใหญ่และมีโครงกระดูกอยู่ข้างใน อย่างไรก็ตาม มันยากที่จะบอกได้ว่าศพเป็นอสูรร้ายหรือมนุษย์
ซูเฉินเดินเข้ามาและพูดว่า “นี่นับเป็นการค้นพบดินแดนที่ยังไม่มีใครสังเกตเห็นได้หรือไม่? กังเหยียน”
“ข้าคิดว่าอย่างนั้นขอรับนายท่าน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าดินแดนที่ไม่ได้ถูกจดไว้บนแผนที่แห่งนี้ มันคงจะไม่มีค่าอะไรเลย” กังเหยียนตอบอย่างเรียบง่ายและตรงไปตรงมา
“มันอาจไม่เป็นเช่นนั้นก็ได้” ซูเฉินกล่าวพลางมองไปรอบ ๆ หลังแขวนโคมไฟคริสตัลบนผนัง เด็กหนุ่มชี้ขึ้นแบบสุ่มไปตรงจุดหนึ่ง “มาลองขุดที่นี่กันเถอะ”
กังเหยียนยกพลั่วเหล็กและเดินไปยังตำแหล่งที่ซูเฉินชี้
เสียงเจาะของพลั่วบนหินดังก้องอีกครั้งในพื้นที่โล่งกว้าง
หลังจากนั้นไม่นาน กังเหยียนก็ได้พบชิ้นส่วนของแร่ดาราเงิน แสงสีเงินอันเจิดจ้าแพรวพราว ที่ไม่ว่าใครก็สามารถบอกได้ทันทีเพียงแค่ได้เห็นว่านี่เป็นแร่ที่มีคุณภาพสูงมาก
จิตวิญญาณของกังเหยียนถูกกระตุ้นขึ้น เขาเริ่มเหวี่ยงพลั่วด้วยแรงและความเร็วที่มากขึ้น
หินแร่ถูกกังเหยียนขุดออกมาจากกำแพงทีละส่วน ๆ หลังจากที่เขาขุดจนทะลุชั้นนอกแล้ว แร่ดาราเงินหลากหลายขนาดและรูปร่างก็ปรากฏขึ้น เพียงแค่ 1 ชั่วโมง พวกเขาก็ได้รับแร่ดาราเงินมากกว่าที่ได้จาก 2-3 วันที่ผ่านมารวมกันเสียอีก
ที่นี่ไม่ใช่แค่เพียงมีแร่ดาราเงินมากมายเท่านั้น มันยังบริสุทธิ์มากอีกด้วย ซูเฉินหยิบก้อนหินแร่ขึ้นมาดู เขาสัมผัสได้ว่าในนั้นมีแร่ดาราเงินอยู่อย่างน้อยถึง 3 ใน 10 ภายในเหมือง ความบริสุทธิ์ระดับนี่ถือได้ว่าค่อนข้างสูงมากสำหรับแร่ดาราเงิน
ทว่าดูเหมือนช่วงเวลาดี ๆ มันเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
เสียงกะเทาะหินดังขึ้นอีกครั้ง แล้วแร่ดาราเงินขนาดเท่ากำปั้นอีกก้อนก็หล่นลงมา
ความบริสุทธิ์ของชิ้นนี้สูงยิ่งกว่าชิ้นก่อนอีก จากความสว่างของแสงสีเงิน ของมันน่าจะบริสุทธิ์อย่างน้อยถึง 5 ใน 10
แร่ดาราเงินชั้นยอด!
แม้แต่ซูเฉินก็ยังสูดหายใจด้วยความประหลาดใจ
ตอนนั้นเอง แรงสั่นสะเทือนเบา ๆ ก็พลันเกิดขึ้นที่พื้น
มันไม่ใช่การสั่นที่รุนแรง อย่างไรก็ตามซูเฉินกับกังเหยียนก็รู้สึกได้ในเวลาเดียวกัน
อาจเป็นแผ่นดินไหว? หากเป็นเช่นนั้นแล้วก็ดูท่าจะแย่เอาการ
วินาทีต่อมาซูเฉินก็รู้ว่ามันไม่ใช่ เพราะการสั่นสะเทือนนั้นทวีความแรงมากขึ้นและมุ่งตรงมาที่เขา
ซูเฉินกระโดดไปข้างหลังตามสัญชาตญาณในทันที
ในขณะที่ซูเฉินลอยตัวอยู่กลางอากาศ เขาก็เห็นพื้นดินจุดที่เขายืนอยู่เมื่อครู่นี้ ถูกเคียวยักษ์สีดำ 2 อันตัดผ่านไป หาก ซูเฉินเคลื่อนไหวช้ากว่านี้ เขาคงจะถูกตัดออกเป็นสองส่วนอย่างแน่นอน
เมื่อเคียวยักษ์ทั้ง 2 ร่วงลงมาจากอากาศ เสียงคำรามก็ดังขึ้น จากนั้นปากขนาดมหึมาโผล่ขึ้นมาจากด้านใต้พื้นดิน ปากอันใหญ่นั้นดูน่ากลัวอย่างมาก มันเต็มไปด้วยฟันที่แหลมคมและเมือกเหนียวที่สามารถละลายหินได้เมื่อมันสัมผัสโดน เคียวยักษ์ทั้งสองก่อนหน้านี้เป็นขากรรไกรล่าง 2 ข้างใต้ปากอันมโหฬาร หุบเข้าและอ้าออกส่งเสียงปะทะที่ชวนให้รู้สึกไม่สบายตัว
อสูรเพิ่งคลานขึ้นมาจากใต้ดินตัวนี้ นอกจากปากที่น่ากลัวและขากรรไกรล่างที่แหลมคนแล้ว ที่หลังของมันยังมีเปลือกนอกที่ดูหนาและแข็งอย่างมากกับปีกบาง ๆ 2 ข้างที่กำลังกระพืออยู่ตลอดเวลา
นี่มันด้วงชัด ๆ !
อย่างไรก็ตาม จนถึงตอนนี้ซูเฉินไม่เคยเห็นด้วงตัวใหญ่ขนาดนี้มาก่อนเลย ปากของมันสามารถกลืนเขาได้ทั้งตัวในคราเดียว และอาจจะฝืนกลืนกังเหยียนลงไปได้อีกด้วยซ้ำ
“ให้ตายเถอะ นี่มันสัตว์ประหลาดอะไรกัน?” ซูเฉินไม่เคยได้ยินถึงตัวตนเช่นนี้มาก่อนแม้แต่น้อย
กังเหยียนที่อยู่ข้าง ๆ เขาก็อ้าปากกว้างเช่นกัน
ซูเฉินค่อย ๆ ดึงดาบหมาป่าสวรรค์กลืนจันทร์ออกมา แล้วชี้ไปที่ด้วงยักษ์ตัวนี้
แต่ในพริบตาต่อมา สิ่งที่ซูเฉินได้เห็นทำให้เขาพูดไม่ออก เจ้าด้วงตัวนี้ไม่ได้สนใจเด็กหนุ่มเลย มันกระโจนใส่กองแร่ดาราเงิน แล้วอ้าปากกว้างและเริ่มเขมือบพวกมัน
แร่ดาราเงินที่กังเหยียนขุดขึ้นมาอย่างยากลำบาก ได้ถูกเจ้าด้วงกินเข้าไปแล้ว
“กลายเป็นว่าเป้าหมายของมันคือแร่ ไม่ใช่ข้า” ซูเฉินเข้าใจ
แม้ว่าแร่ดาราเงินจะมีค่า แต่ก็ไม่มีค่ามากเท่ากับชีวิตของเขาเอง เมื่อเห็นว่าสัตว์ประหลาดตัวนี้ไม่ได้สนใจเขาเลยซูเฉินก็รู้สึกโล่งใจ เขาสามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดที่แข็งแกร่งร่างกายของเจ้าด้วงและความหนาแน่นของมันก็ไม่ต่ำไปกว่า ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่อยู่ในระดับด่านกลั่นโลหิต 3 คนก่อนหน้านี้เลย (พวกหลางเตา)
นี่เป็นการใช้งานแบบใหม่ที่ซูเฉินพัฒนาขึ้นเพื่อความสามารถในการมองเห็น คาดการณ์ระดับการฝึกฝนของฝ่ายตรงข้ามด้วยความหนาแน่นของพลังต้นกำเนิด
แม้ว่าระดับการฝึกฝนจะไม่เหมือนความสามารถในการต่อสู้ แต่ก็สามารถใช้เป็นเกณฑ์ประมาณได้ค่อนข้างดี
ด้วงนี้มีระดับเทียบเท่าขั้นปลายสุดของด่านกลั่นโลหิตเลยทีเดียว ซูเฉินย่อมไม่ต้องการที่จะเข้าไปสู้กับมันอย่างแน่นอน
ทว่าทันใดนั้นเอง จู่ ๆ ก็มีน้ำเสียงที่เกรี้ยวโกรธดังขึ้น “เจ้าขยะไร้ประโยชน์ นี่แกลืมเป้าหมายเพราะของกินงั้นเหรอ ไม่เคยรู้ว่าอะไรสำคัญกว่าเลยใช่ไหม สมองที่น่าสงสารของเจ้ารู้จักเพียงแค่แร่หรืออย่างไรฮะ!?”
ท่ามกลางความมืด ร่างมนุษย์ผู้หนึ่งค่อย ๆ โผล่ออกมาปรากฏตัวขึ้นภายใต้แสงโคมไฟคริสตัล
บุคคลผู้นี้สวมเสื้อคลุมตัวยาวสีดำ ใบหน้าของเขาถูกปกคลุมด้วยเงาและยากที่จะบอกได้ว่าอีกฝ่ายมีหน้าตาเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม มันก็ยังคงเห็นได้ชัดว่าเขาอายุมากแล้ว
เขาถือไม้เท้าสีเขียวไว้ในมือที่มีอัญมณีสีแดงเพลิงติดอยู่ที่ด้านบนหัวไม้เท้า
กลิ่นอายของเขาดูน่ากลัวและมืดมน ราวกับเขาวิญญาณผู้ขึ้นมาจากนรกทั้ง 9 และมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า ซูเฉิน
การปรากฏตัวขึ้นของบุคคลนี้ ทำให้หัวใจของซูเฉินดิ่งลง
หลังจากมาถึงหน้าด้วงชายชราก็หยุดเดินลง อีกฝ่ายมองไปที่ซูเฉินและพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงหงุดหงิด “ข้าปิดผนึกทางเข้าสถานที่นี้ด้วยความยากลำบาก แต่พวกโลภมากอย่างพวกเจ้าก็ยังขุดมาจนถึงที่นี่ ความมั่งคั่งที่ทำให้ตาของเจ้ามืดบอด ทำให้เจ้าไม่มีวันได้กลับไปจากถนนแห่งความตายนี้”
ซูเฉินถอยหลังไป 2-3 ก้าวและเปิดใช้งานรองเท้าย่ำเมฆีอย่างเงียบ ๆ เขาพูดว่า “ผู้อาวุโสท่านนี้ ตัวข้าเพียงแค่พบเข้ากับสถานที่แห่งนี้โดยบังเอิญเท่านั้น ในเมื่อที่แห่งนี้เป็นของท่าน เช่นนั้นข้าจะจากไปในทันที”
“จากไป?” ชายชราหัวเราะอย่างเย็นชา “เมื่อเจ้าจากไปแล้ว เจ้าจะบอกพวกข้างนอกถึงสถานที่แห่งนี้หรือไม่?”
“ข้าสามารถ …”
“ไม่ต้องมาสาบาน!” ชายชราตะโกนเสียงดัง “คำสาบานของมนุษย์อย่างพวกเจ้าไม่เคยมีความหมาย ในอดีตพวกเจ้าทำผิดคำสาบานมานับไม่ถ้วน ประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว พวกเจ้ามันเป็นเผ่าพันธุ์ที่ไม่สามารถไว้วางใจได้!”
เมื่อได้ยินคำพูดเหล่านี้ซูเฉินก็ตะลึงไปเล็กน้อย
ฟังน้ำเสียงของชายชราแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะไม่ใช่เผ่ามนุษย์?
หลังจากนั้นซูเฉินจึงได้สังเกตเห็นว่าร่างกายของชายชรานั้นเล็กกว่าเขาอย่างเห็นได้ชัด
ความสูงของชายชราอยู่ที่ประมาณไหล่ของซูเฉินเท่านั้น แม้ว่าความสูงระดับนี้จะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เมื่อรวมเข้ากับสิ่งที่ชายชราพูดก่อนหน้านี้ ซูเฉินก็รับรู้ได้ทันทีว่าฝ่ายตรงข้ามอาจไม่ใช่คนตัวเล็ก ทว่าเป็น …. คนจากเผ่าอื่น?
เผ่าพันธุ์ใดกันที่มีความสูงเท่าชายชราผู้นี้?
ซูเฉินคิดอะไรไม่ออกไปครู่หนึ่ง
ในความทรงจำของเขาเผ่าพันธุ์ส่วนใหญ่ล้วนสูงและดุร้ายกว่ามนุษย์ เผ่าจันทรานั้นผอมบาง เผ่าภูผานั้นสูงใหญ่ เผ่าหินผานั้นแข็งแกร่ง เผ่าคนเถื่อนนั้นดุร้าย เผ่าปักษานั้นมีขน เผ่าวิญญาณนั้นไร้ร่างกาย ส่วนเผ่าท้องสมุทรนั้นยิ่งไม่จำเป็นต้องกล่าวถึง
บรรดา 46 เผ่า ในทวีปดั้งเดิม จำนวนเผ่าพันธุ์ที่มีรูปร่างเหมือนมนุษย์ แต่ขนาดร่างกายที่เล็กกว่านั้นสามารถนับได้ในมือเดียว
มันอาจจะเป็นคนจากเผ่าช่างฝีมือ? หรือไม่ก็เป็น …
ซูเฉินไม่ทันได้แยกแยะความคิดของเขา ชายชราชูไม้เท้าขึ้นและตะโกนว่า “เจ้าพวกมนุษย์สมควรตาย จงรับเปลวไฟแห่งความพิโรธนี้ไปซะ!”
ทันทีที่ชายชรากล่าวขึ้น ลูกไฟขนาดใหญ่ก็ปรากฏอยู่กลางอากาศและยิงตรงเข้าหาซูเฉิน
ซูเฉินตกใจมาก แต่โชคดีที่เขาได้เตรียมการล่วงหน้าเอาไว้แล้ว เด็กหนุ่มใช้ออกก้าวย่างหมอกอสรพิษและทะยานขึ้นไปในอากาศทันที ขณะเดียวกันนั้นลูกไฟขนาดใหญ่ได้กระแทกลงบนจุดที่เขายืนอยู่ก่อนหน้านี้ ส่งประกายไฟกระเด็นไปทั่ว
เห็นได้ชัดว่าชายชราไม่คาดคิดมาก่อนเลยว่าซูเฉินจะตอบสนองได้เร็วขนาดนี้ จนถึงกับสามารถหลบลูกไฟไปได้จริง ๆ แต่พริบตาต่อมาชายชราก็เขย่าไม้เท้าในมือของเขา ลูกไฟอีกลูกก็ปรากฏขึ้นเหนือหัวไม้เท้า มันพุ่งตรงไปหาซูเฉินอีกครั้ง
ร่างของซูเฉินกะพริบเป็นเงาลวง ก้าวย่างหมอกอสรพิษถูกใช้ออกจนสุดกำลังเพื่อหลบลูกไฟอีกครั้ง เขาตะโกนขึ้นด้วยความประหลาดใจ “ที่แท้เจ้าก็เป็นผู้เหลือรอดของเผ่าอาร์คาน่า!”
คำตอบสำหรับคำกล่าวของซูเฉิน คือลูกไฟอีกลูกที่บินมาหาเขา