ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 7 การเผชิญหน้า
บทที่ 7 การเผชิญหน้า
ลานฝึกหลักของตระกูลซูตั้งอยู่ที่เชิงเขาฝั่งชานเมืองตะวันตก มีแม่น้ำไหลผ่านรอบ ๆ ที่ดินผืนใหญ่อันอุดมสมบูรณ์ที่ล้อมอยู่สองข้างทาง บนภูเขาปกคลุมไปด้วยผืนป่าทึบทำให้ดูเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม
ลานฝึกของซูเฉินตั้งอยู่ที่ด้านหลังของคฤหาสน์ตระกูลซู เมื่อเดินออกไปจากลานจะมองเห็นกำแพงที่มีประตูบานเล็ก ๆ อยู่ ด้านหลังประตูนั้นมีป่าไผ่ หลังจากเดินทะลุป่าไผ่ไปจะมาถึงศูนย์กลางของภูเขา
ในยามว่าง เด็กชายมักจะมาที่ภูเขาด้านหลังเพื่อพักผ่อน
คืนนี้ก็เช่นกัน ซูเฉินนั่งลงบนก้อนหินขนาดใหญ่ในภูเขาด้านหลัง
ผืนป่าในยามค่ำคืนนั้นช่างเงียบสงัด ไม่มีแม้แต่เสียงนกร้องขับขาน มีเพียงเสียงของสายลมพัดผ่านให้ได้ยินเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเขานั้นรู้ดีว่าป่านั้นไม่เคยหลับใหลลงเลย
เมื่อไร้เสียงรบกวนจากช่วงกลางวัน ซูเฉินก็สามารถได้ยินเสียงเหล่านั้นได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งนี่ก็ถือเป็นการช่วยฝึกฝนความสามารถในการได้ยินของเขา
มันค่อนข้างยากที่จะหาที่ที่เงียบสงบและไม่มีเสียงรบกวนของมนุษย์ ดังนั้นยามนี้ซูเฉินจึงสงบใจลงได้อย่างง่ายดาย
นี่ทำให้เขาแยกเสียงที่แตกต่างกันออกได้อย่างชัดเจนและได้ยินเสียงได้ไกลยิ่งขึ้น
ไม่ไกลจากที่นั่น มีเสียงกระแสน้ำที่ไหลลงมาจากภูเขา
แม้ว่าจะมองไม่เห็น แต่ภาพก็ปรากฏอยู่ในใจของซูเฉิน
ละอองน้ำในฤดูใบไม้ผลิที่เกิดจากน้ำที่ไหลลงตกมาจากภูเขา สายน้ำไหลผ่านหน้าผาตกลงลงมาก่อเป็นน้ำตกขนาดเล็ก หลังจากผ่านไปหลายปีหินด้านใต้ที่ถูกน้ำตกกระทบก็กลายเป็นสระน้ำ กระแสน้ำที่ตกลงมาในสระก็ทำให้เกิดคลื่น เมื่อน้ำในฤดูใบไม้ผลิยังคงไหลลงมาสระน้ำก็เริ่มเปลี่ยนเป็นลำธารเล็ก ๆ ไหลคดเคี้ยวผ่านป่าผืนไปสู่สถานที่อันห่างไกล ……
ซูเฉินนั่งฟังเสียงลำธารเล็ก ๆ ที่ด้านข้างอย่างตั้งใจ
ทันใดนั้นซูเฉินก็ยื่นมือของตนลงไปในแม่น้ำ แล้วหยิบดอกไม้เล็ก ๆ ที่ไหลมาตามสายน้ำขึ้นมา
เด็กชายค่อย ๆ ยกดอกไม้ขึ้นมาใกล้ ๆ ปลายจมูกของเขา สูดกลิ่นหอมจาง ๆ ของมันและยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
ไม่เพียงแต่ความสามารถในการได้ยินเท่านั้นที่ชัดเจนขึ้น ความสามารถในการดมกลิ่นก็ดีขึ้นเช่นกัน
จากกลิ่นหอมสดชื่นของดอกไม้ ทำให้ซูเฉินรู้ว่ามันคือดอกหงฮวา ดอกไม้ภูเขาสีแดงที่มีกลิ่นหอมอบอวล
กลิ่นหอมของดอกหงฮวาอีกมากมายลอยมาจากทางด้านต้นลำธาร
ซูเฉินค่อนข้างแปลกใจ ฤดูกาลนี้เป็นเวลาที่ดอกไม้บนภูเขากำลังเบ่งบาน จะมีดอกหงฮวาล่วงหล่นลงมามากเช่นนี้ได้อย่างไรกัน?
ซูเฉินเดินขึ้นไปตามลำธาร
หลังจากที่ซูเฉินเดินอยู่สักพักจนมาถึงด้านบนหน้าผา ท่ามกลางเสียงน้ำตกที่กำลังตกลงมา เด็กชายก็ได้ยินเสียงการไหลของน้ำที่ผิดปกติในสระน้ำด้านล่าง
นี่ …
มีใครบางคนว่ายน้ำอยู่?
ซูเฉินตอบสนองทันที
“นั่นใคร?” เสียงนุ่มนวลดังขึ้น
ซูเฉินก็ทำตามสัญชาตญาณโดยไม่ต้องคิด เขาหันหลังกลับและก้มหัวลง
ลมกระโชกพัดผ่านใบหน้าของตน
ซูเฉินทิ้งตัวลงกับพื้นแล้วม้วนตัวกลิ้งออกไปจากจุดเดิมที่เคยอยู่ เด็กชายได้ยินวัตถุแข็งหลายชิ้นเสียบแทงลงบนพื้นอย่างต่อเนื่อง ในขณะเดียวกันก็มีเสียงเหมือนคลื่นที่ซัดเข้าหาริมสระ บุคคลนั้นกำลังใช้ฝ่ามือกวนน้ำเพื่อบดบังร่างกายไว้ อันที่จริงการกระทำนี้ไม่ได้มีความหมายกับซูเฉินเลยแม้แต่น้อย
ซูเฉินตะโกนขึ้นเสียงดัง ขณะที่เขากลิ้งไปมาบนพื้นอย่างรวดเร็ว “ข้าเป็นคนตาบอด!”
เห็นได้ชัดว่าคำเหล่านี้ส่งผลเป็นอย่างมาก
เสียงของน้ำที่สาดกระเซ็นและเสียงโวยวายหยุดลงในทันที ความเงียบกลับคืนสู่ป่าอีกครั้ง
ซูเฉินหยุดม้วนตัวของเขาและก่อนที่จะวางมือลงบนพื้นค่อย ๆ ยันตัวลุกขึ้นนั่ง
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเด็กชายก็เอ่ยว่า “ในเมื่อเจ้าสวมเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ทำไมเจ้าจึงยังไม่ออกมากันเล่า?”
ชิ้ง! เสียงที่ดาบออกจากฝักดังขึ้น
ปลายจมูกของซูเฉินรู้สึกได้ถึงสัมผัสที่เย็นเฉียบ
แม้ว่าเด็กชายจะมองไม่เห็น แต่เห็นได้ชัดว่าซูเฉินรู้ว่าผู้หญิงตรงหน้านี้กำลังชี้ดาบใส่เขา
“เจ้าตาบอดจริง ๆ หรือ?” ซูเฉินได้ยินเสียงที่คมชัดของผู้หญิงคนหนึ่งได้อย่างชัดเจน
หากมีนกส่งเสียงร้องก้องไปทั่วหุบเขาที่ว่างเปล่านี้ ก็ไม่อาจรู้ได้ว่าพวกมันจะฟังดูน่าไพเราะกว่าเสียงของนางหรือไม่
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าซูเฉิน หากเจ้าไม่เชื่อข้า ไปที่ละแวกนั้นแล้วถามถึงข้าดูได้ เจ้าจะได้รู้ว่าข้านั้นเป็นคนตาบอดจริง ๆ “
เมื่อได้ยินเช่นนั้น อีกฝ่ายก็ถอนหายใจออกมาและรั้งดาบกลับไปจากใบหน้าของซูเฉิน
เสียงอันไพเราะเอ่ยขึ้นอีกครั้ง “ในเมื่อเจ้ามองไม่เห็น แล้วเหตุใดเจ้าจึงมาเดินที่นี่คนเดียวกัน?”
ซูเฉินยิ้มและพูดว่า “ใครบอกกันว่าคนตาบอดไม่สามารถเดินด้วยตัวเองได้? ในป่ามีลมที่พัดผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้และก่อให้เกิดเสียงสะท้อน ตราบใดที่เจ้าแยกแยะพวกมันอย่างระมัดระวัง เจ้าจะรู้ว่าที่ใดที่มีอุปสรรคและที่ใดไม่มี”
“จริงเหรอ?” เห็นได้ชัดว่าอีกฝ่ายนั้นดูจะไม่เชื่อเขา “แล้วเจ้ามาที่นี่ทำไม?”
ซูเฉินยิ้มอย่างขมขื่น ที่นี่คือภูเขาหลังตระกูลของข้า การที่ข้ามาอยู่ที่นี่มันมีอะไรแปลกกัน? กลับกัน การที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ไม่นับว่าแปลกกว่าหรอกหรือ?”
“อา!” อีกฝ่ายตระหนักแล้วว่านางได้ล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขตของตระกูลอื่น ความเย่อหยิ่งในน้ำเสียงของนางจึงลดลงอย่างมาก “เช่นนั้น เจ้าก็เป็นสมาชิกของตระกูลซู”
ซูเฉินเอ่ยขึ้นอย่างจนปัญญา “ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าชื่อ ซูเฉิน”
ใบหน้าของนางพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงเล็กน้อยและพูดอย่างขุ่นเคืองเล็กน้อยว่า “คนของตระกูลซูมาทำอะไรอยู่บนภูเขาในยามดึกดื่นเช่นนี้กัน?”
“สำหรับคนตาบอด ระหว่างกลางวันกับกลางคืนนั้นมันไม่มีอะไรแตกต่างกันหรอกนะ”
เด็กสาวที่ไม่ได้คาดคิดว่าจะได้ยินคำตอบเช่นนี้ ทำให้นางรู้สึกประหลาดใจไปครู่หนึ่ง
สาวน้อยมองไปที่ซูเฉิน เด็กชายนั้นดูสงบและไม่กลัวดาบของนางที่ชี้ไปหาตนเองเลยแม้แต่น้อย ในที่สุดนางก็เชื่อในคำพูดของเขา
นางเก็บดาบแล้วกล่าวว่า “ข้าต้องขอโทษด้วยจริง ๆ ข้าผ่านมาที่แห่งนี้และเห็นว่าสระน้ำที่นี่นั้นใสสะอาดดี ทำให้ตอนนั้นข้าคิดแค่ว่าอยากจะอาบน้ำสักครู่ ข้าไม่รู้ว่านี่เป็นอาณาเขตของตระกูลเจ้า”
“นั่นไม่สำคัญอะไรหรอก” ซูเฉินตอบพร้อมกับยิ้มเล็กน้อย “สำหรับแขกผู้มาเยือนจากแดนไกล ตระกูลซูย่อมยินดีที่จะต้อนรับในฐานะเจ้าบ้าน ตราบใดที่คุณหนูกู่เต็มใจที่จะมา เราก็พร้อมจะต้อนรับเจ้าตลอดเวลา”
นางสะดุ้งตกใจ “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าใช้แซ่กู่?”
ซูเฉินตอบกลับว่า “มันก็เป็นเพียงแค่การคาดเดาของข้า และหากข้าเข้าใจไม่ผิด เจ้าคงจะเป็นคุณหนูแห่งตระกูลกู่ กู่ชิงลั่ว?”
“อา!” สาวน้อยต้องตกใจอีกครั้ง ถ้าเด็กชายสามารถมองเห็นได้อีกครั้ง เขาจะเห็นว่านางกำลังปิดปากตัวเองและมองไปทางตนอย่างไม่เชื่อสายตา “เป็นไปได้อย่างไร? แม้แต่คนที่มองเห็นก็ยังไม่รู้ว่าข้าเป็นใคร เจ้ารู้ได้อย่างไร? นี่เจ้าตาบอดจริง ๆ หรือ?”
เมื่อนางกล่าวถึงท่อนสุดท้ายของประโยค น้ำเสียงของนางก็กลับมาดุร้ายอีกครั้ง
ซูเฉินตอบด้วยรอยยิ้ม “ที่จริงแล้วมันไม่ได้เกี่ยวกับดวงตาเลย สำหรับผู้ที่ไม่เคยเห็นคุณหนูกู่ไม่ว่าจะมองเห็นหรือไม่ ในเมื่อไม่รู้จักหน้าตาเช่นนั้นพวกเขาก็จะไม่รู้ว่าเป็นเจ้าอยู่ดี ในทางกลับกันคนตาบอดสามารถสัมผัสถึงบางสิ่งที่คนปกติไม่เคยสัมผัสถึงได้ดียิ่งกว่า”
แววตาของกู่ชิงลั่วเป็นประกายเต็มไปด้วยความอยากรู้อยากเห็น
นางมองไปที่ซูเฉินแล้ว กล่าวด้วยน้ำเสียงที่ผ่อนคลาย “เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ว่าเจ้าสามารถคาดเดาได้อย่างไรกัน?”
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง
การเผชิญหน้าอันขมขื่นก่อนหน้านี้ สอนให้ซูเฉินรู้ว่า ‘ไม้เด่นเกินไพร ลมพัดหักโค่น’ คืออะไร และยังทำให้เด็กชายเข้าใจความหมายของการเก็บซ่อนตัวตนอีกด้วย ดังนั้นซูเฉินจึงไม่โอ้อวดวิธีความรู้และเปิดเผยทักษะของเขาต่อหน้าผู้อื่นอย่างง่ายดายอีกแล้ว
ทว่าเมื่อได้พูดคุยกับกู่ชิงลั่ว ซูเฉินก็อดรู้สึกอยากจะกล่าวออกไปไม่ได้
เสียงที่ไพเราะอย่างเป็นธรรมชาติ ทำให้เด็กชายหลงเสน่ห์ และก่อให้เกิดความลังเลในใจของเขา
แม้ว่าซูเฉินจะมองไม่เห็นรูปร่างหน้าตาของกู่ชิงลั่ว แต่เพียงแค่เสียงน้ำเสียงของนาง นั่นก็ทำให้เขาเต็มใจที่จะรับความเสี่ยง
เด็กชายกล่าวว่า “จำก่อนหน้านี้ที่ข้าบอกชื่อไปได้หรือไม่? หากเจ้าเป็นคนแถวนี้ ตั้งแต่วินาทีที่คุณได้ยินชื่อซูเฉิน เจ้าก็ควรจะรู้ว่าข้านั้นตาบอด และข้าก็คงไม่จำเป็นจะต้องมาใช้คำพูดมากมายเพื่อยืนยันความจริงเช่นเมื่อครู่หรอก”
ซูเฉินที่สูญเสียการมองเห็นเป็นหัวข้อการพูดคุยที่ร้อนแรงที่สุดในเมืองหลินเป่ยในเวลานั้น แทบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครในเมืองที่ไม่รู้เรื่องนี้ พวกเขากำลังอยู่ที่ภูเขาด้านหลังของตระกูลซู หากเป็นคนในพื้นที่พวกเขาจะไม่ถามความจริงเกี่ยวกับการตาบอดของตนซ้ำ ๆ ดังนั้นซูเฉินจึงรับรู้ว่าบุคคลผู้นี้มาจากที่อื่น
เมื่อกู่ชิงลั่วได้ยินเช่นนั้น ทำให้นางมั่นใจมากยิ่งขึ้นว่าเด็กชายตรงหน้านั่นตาบอด จากนั้นนางก็ถามว่า “แล้วเจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าคือกู่ชิงลั่ว?”
“นั่นเจ้าคงต้องตำหนิตระกูลหลินที่ป่าวประกาศเสียใหญ่โตเอาเองแล้ว ถ้าไม่ใช่เพราะประกาศ ข้าจะรู้ว่าคุณหนูรองแห่งตระกูลกู่ กู่ชิงลั่ว ได้มาเยี่ยมเยียนเมืองหลินเป่ยได้อย่างไร?”
ซูเฉินหยิบเอาใบเล็ก ๆ ที่ฝังอยู่ในดินขึ้นมา เมื่อมันถูกยกมาวางไว้บนมือของเขา มันก็เริ่มแตกสลายและกระจายออกเป็นชิ้น ๆ
ซูเฉินดมกลิ่นเศษใบไม้เบา ๆ แล้วเอ่ยว่า
“ใบไม้ที่เจ้าใช้ไปก่อนหน้านี้ไม่มีพลังต้นกำเนิดอยู่ข้างในแล้ว ดังนั้นมันจึงถูกแตกสลาย หมายความว่าเจ้ายังไม่บรรลุเขตแดนหยางขั้นต้น แต่การพึ่งพาแค่เพียงความแข็งแกร่งของขั้นฝึกกาย กลับทำให้เจ้ากลับสามารถเปลี่ยนใบไม้ให้เป็นลูกดอกได้ เช่นนั้นเจ้าก็คงต้องเป็นหญิงสาวที่ไม่ใช่คนของที่นี่ ในช่วงเวลานี้นอกเสียจากคุณหนูรองแห่งตระกูลกู่ กู่ชิงลั่วแล้ว ข้าก็ไม่คนอื่นให้นึกถึงอีก โชคดีที่ข้านั้นเดาได้ถูกต้อง”