ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 71 หนวดอากาศ
บทที่ 71 หนวดอากาศ
วันต่อมา เยี่ยเม่ยก็นำข่าวจากเบื้องบนมาบอกแก่ซูเฉิน
พวกเขาตกลงให้ซูเฉินยืมคนได้
ขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณระดับกลางหนึ่งคน ด่านกลั่นโลหิตระดับสูงสามคน ด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูงอีกสามคน ไม่เพียงแต่สามารถใช้คนเหล่านี้สยบแนวหน้าของกองกำลังหุบเขาเงาได้ ทว่าทางองค์กรยังส่งผู้มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตเพิ่มให้หนึ่งคน และยังเพิ่มด่านก่อเกิดลมปราณมาให้อีกสองคนเป็นกำลังเสริม แน่นอนว่าซูเฉินยังต้องจ่ายเงิน ค่าจ้างผู้มีขั้นพลังด่านทะลวงลมปราณระดับกลางหนึ่งคนใช้หินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำวันละสี่พันก้อน ด่านกลั่นโลหิตระดับสูงสามคนใช้หินสองพันก้อน ส่วนด่านก่อเกิดลมปราณนั้นถูกกว่ามาก ใช้เพียงหินพลังต้นกำเนิดเพียงวันละสองร้อยก้อน รวมแล้ววันหนึ่งจ่ายหินพลังต้นกำเนิดระดับต่ำประมาณหกพันก้อน
นอกจากนี้ทางองค์กรยังต้องการให้แบ่งของให้คนที่ได้เข้าร่วมการต่อสู้อย่างเท่าเทียมกัน และหากของที่ริบจากกองกำลังหุบเขาเงามีมูลค่ามากกว่าหินพลังต้นกำเนิดหกพันก้อน คนเหล่านั้นจะแบ่งประโยชน์ส่วนเกินกึ่งหนึ่งให้กับองค์กร
ความต้องการนี้ไม่มากเกินไป ถึงซูเฉินจะเป็นผู้วางแผน แต่คนที่ต้องเสี่ยงก็คือพวกเขา เป็นเพราะกำลังคนซึ่งเป็นส่วนสำคัญนั้นเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายตระเตรียมมาให้ หากไม่มีคนเหล่านี้ซูเฉินก็ไม่อาจทำภารกิจนี้ได้สำเร็จ ที่มากไปกว่านั้น ทางองค์กรเห็นว่าครั้งนี้เป็นซูเฉิน หากเป็นคนอื่นแล้วไซร้ คงมิวายได้แบ่งส่วนแบ่งเป็นเจ็ดสิบต่อสามสิบเป็นแน่
ตนเองแข็งแกร่งไม่พอแล้วจะโทษใครได้เล่า?
ทว่าอีกฝ่ายยังบอกอีกว่าหากภารกิจครั้งนี้สำเร็จด้วยดีจะยอมขายเครื่องมือต้นกำเนิดเหล่านั้นให้ในราคาเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดแปดพันก้อน ไม่จำเป็นต้องมาขอยืมอีก ทั้งยังให้รองเท้าย่ำเมฆีเป็นของแถม เพราะอย่างไรก็เกือบจะใช้งานไม่ได้แล้ว เหตุใดไม่ใช้มันเพื่อสานสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นเล่า ?
ถึงเครื่องมือต้นกำเนิดสามชิ้นนี้จะมีข้อบกพร่องอยู่บ้าง ดังนั้นขายทั้งหมดนี้ในราคาเท่ากับหินพลังต้นกำเนิดแปดพันก้อนก็นับว่าเป็นราคาที่ไม่เลวแล้ว ซูเฉินใช้ของเหล่านี้จนชินมือแล้ว ทั้งอีกฝ่ายก็ยังสามารถกำจัดของที่ตนไม่ใช้แล้วออกไปได้ เรื่องแบบนี้ไม่ใช่น่ายินดีหรอกหรือ?
เมื่อเจรจาตกลงทุกอย่างกันลงตัว สิ่งที่เหลือคือการรอคอย
ในระหว่างช่วงเวลาแห่งการรอคอยนั้นเอง ซูเฉินก็ไม่ได้นั่งเฉย ๆ เขายังคอยฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดของตนเองอย่างขะมักเขม้นด้วย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง ถังเจิ้นก็ศึกษาประวัติศาสตร์ ตรวจสอบซ้ำสองครั้งหรือบางทีก็สามครั้งเพื่อให้สามารถแปลอักขระโบราณของเผ่าอาร์คาน่าออกมาให้ประณีตที่สุด
วันนี้ซูเฉินเพิ่งจะเดินทางมาถึงยังศาลาหยกพิสุทธิ์ ถังเจิ้นเดินมาหาเขาด้วยใบหน้าตื่นเต้นยินดียิ่ง
“นายน้อย!”
ซูเฉินรู้ในทันทีว่าถังเจิ้นคงจะทำการแปลอักขระโบราณพวกนั้นเสร็จเป็นรูปเป็นร่างแล้ว เขาเอ่ยขึ้นเสียงเบา “ท่านแปลเสร็จแล้วหรือ?”
“ข้าแปลเสร็จหน้าหนึ่ง” ถังเจิ้นแอบยัดกระดาษแผ่นหนึ่งใส่มือซูเฉินก่อนจะเอ่ยเสียงกระซิบ “ข้าทำตามที่ท่านสั่งไว้ ตัวอักขระโบราณถูกบันทึกลงในนี้แล้ว ยามว่างท่านลองศึกษาเปรียบเทียบกันดู”
ซูเฉินกำกระดาษไว้ในมือก่อนหัวเราะ “ดูท่าข้าคงต้องขอลาไปพักผ่อนสักสองสามวันเสียแล้ว”
ถังเจิ้นยืนลูบหนวดตนเอง หัวเราะเช่นกัน “คนหนุ่มสาวก็เป็นเสียอย่างนี้ ได้ของเล่นใหม่แล้วก็อยากกลับไปเล่นสักสองสามวัน ไปเถิด ในเมื่อที่นี่มีข้าดูแลอยู่ นายน้อยมุ่งเพียงเรื่องฝึกตนเถิด”
“เช่นนั้นข้าขอฝากท่านด้วย” ซูเฉินโค้งคำนับถังเจิ้น ก่อนจะเดินทางออกจากศาลาหยกพิสุทธิ์
“โจวหง พาข้าไปยังภูเขาด้านหลัง” ซูเฉินเอ่ยในขณะที่กำลังนั่งอ่านกระดาษอย่างเคร่งเครียด
วิชาโบราณอาร์คาน่าที่ถังเจิ้นแปลมานี้คือวิชาหนวดอากาศ
มันเป็นวิชาโบราณอาร์คาน่าที่สามารถนำมาใช้ได้จริงวิชาหนึ่ง มีความสามารถในการสร้างหนวดขึ้นจากอากาศเพื่อใช้พันธนาการศัตรูได้ เมื่อสร้างขึ้นมาแล้วหนวดพวกนี้สามารถคงอยู่ได้เป็นเวลานาน หากใช้วิชาหลายครั้งจะสามารถสร้างหนวดอากาศขึ้นมาโจมตีได้เรื่อย ๆ จุดอ่อนคือหนวดอากาศสามารถถูกโจมตีจนสลายได้ แรงที่หนวดอากาศใช้รั้งศัตรูไว้นับว่าไม่มากนัก ศัตรูยังสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดโต้กลับได้
กระทั่งคนอย่างกังเหยียนหรือตัวซูเฉินเองยังสามารถใช้เพียงแรงกายในการต้านทานหนวดอากาศเหล่านี้ได้ ดังนั้นจึงสามารถกล่าวได้ว่าพละกำลังของวิชานี้นับว่าค่อนข้างต่ำ
ทว่ามันเป็นวิชาที่เรียนรู้ได้ง่าย แถมยังเรียกใช้ได้อย่างรวดเร็ว ด้วยเหตุนี้จึงเป็นวิชาที่สามารถถอดอักษรออกมาได้ง่ายที่สุด
หลังจากเดินทางมาถึงภูเขาด้านหลังแล้ว ซูเฉินก็จึงสั่งโจวหงให้ยังเฝ้าอยู่ไม่ไกล จากนั้นก็เริ่มฝึกวิชาหนวดอากาศ
เทียบกับตนเองเมื่อก่อนแล้ว ตอนนี้ซูเฉินสามารถเรียนรู้ทักษะพลังต้นกำเนิดได้ดีขึ้นมาก
หนวดอากาศหนวดแล้วหนวดเล่าปรากฏขึ้นจนกระทั่งซูเฉินใช้พลังต้นกำเนิดในร่างจนหมด จากนั้นซูเฉินก็จะดูดซับพลังต้นกำเนิดจากหินพลังต้นกำเนิดและทำการฝึกฝนต่อไป
ทักษะทุกอย่างเกิดขึ้นจากความตั้งใจและการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่าจนประสบผลสำเร็จ
ภายในภูเขาด้านหลัง ซูเฉินยังคงดูดซับพลังต้นกำเนิดเข้าร่างเรื่อย ๆ พร้อมกันกับปลดปล่อยหนวดอากาศเหล่านั้นออกมาไม่หยุด
ด้วยเหตุที่หนวดอากาศสามารถคงอยู่ได้นาน ไม่นานรอบตัวซูเฉินจึงเต็มไปด้วยหนวดอากาศโดยมีตัวเขาอยู่ตรงกลาง หนวดอากาศกึ่งโปร่งแสงเหล่านี้ไหลพลิ้วไปในอากาศราวกับงู พวกมันพากันร่ายรำอยู่ในอากาศอย่างบ้าคลั่งตามการควบคุมของซูเฉิน ด้วยเพราะในอากาศมีหนวดอากาศถูกสร้างขึ้นมามากมาย จึงยากนักที่จะควบคุม เขาสัมผัสได้ว่าหากเขามุ่งบังคับหนวดหนึ่ง ก็จะเสียการควบคุมอีกหนวดหนึ่งไป
สิ่งนี้ทำให้ซูเฉินเข้าใจว่าการจะฝึกวิชานี้จนชำนาญนั้นไม่ใช่เพียงการเรียกใช้วิชาด้วยความรวดเร็ว หากทว่าเป็นการควบคุมวิชาอย่างเหมาะสมด้วย ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ใช้วิชาหนวดอากาศจนชำนาญแล้วสามารถสร้างหนวดอากาศขึ้นมาหลายสิบเส้นภายในเวลาอันสั้น จากนั้นใช้หนวดเหล่านั้นโจมตีศัตรูโดยอิงตามกลยุทธ์หรือแผนการหลากหลายวิธีแล้วแต่จะใช้
สิ่งนี้ทำให้เห็นว่าการฝึกวิชานี้จำต้องมีจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งอยู่ในระดับหนึ่ง ผู้ที่มีจิตวิญญาณแข็งแกร่งจะสามารถควบคุมหนวดอากาศเหล่านี้ได้ดียิ่งขึ้น
เมื่อซูเฉินเริ่มเข้าใจวิชานี้มากขึ้น เขาจึงฝึกฝนมันต่อไป
ในตอนที่กำลังฝึกฝนอย่างบ้าคลั่งนั่นเอง ผู้ที่อยู่แถบนั้นอาจได้ยินเสียงบางอย่างโค่นดังมาให้ได้ยินเป็นครั้งคราว ต้นเสียงพวกนั้นล้วนแต่มาจากต้นไม้ใหญ่ซึ่งถูกวิชาหนวดอากาศโค่นและล้มลงนั่นเอง
หลังจากฝึกฝนอยู่ทั้งวัน รอบกายซูเฉินก็มีแต่ซากต้นไม้ล้ม
กิ่งก้านของต้นไม้เหล่านี้ถูกตัดแต่งอย่างเรียบร้อย เหลือเพียงท่อนไม้เปล่า ๆ กระทั่งเปลือกไม้ยังถูกกะเทาะออกจนเกลี้ยง
เมื่อโจวหงถูกตะโกนเรียกให้เข้ามา เขาก็ตกตะลึงกับภาพที่เห็น ซูเฉินเพียงเอ่ยขึ้นว่า “ไปบอกคนตัดไม้ของตระกูลว่าแถวนี้มีไม้ ถามพวกมันว่าต้องการไม้เหล่านี้หรือไม่”
โจวหงเองก็เป็นผู้หนึ่งที่มองการณ์ไกล ดังนั้นจึงถามขึ้น “หากพวกมันถามว่าไม้พวกนี้มาจากไหน นายน้อยจะให้ข้าตอบพวกมันเช่นไร?”
ซูเฉินเอ่ยขึ้น “บอกแค่ว่าช่วงนี้นายน้อยสี่อับจนยิ่งนักจึงมาตัดไม้เลี้ยงชีพ”
“……ขอรับนายน้อย!”
————————————
หลังจากฝึกฝนอย่างหนักมาหลายวัน ซูเฉินก็สามารถฝึกวิชาหนวดอากาศจนสำเร็จในขั้นพื้นฐาน และเพราะการฝึกฝนนี้เอง ธุรกิจค้าไม้ตระกูลซูจึงค้าขายได้ดีเป็นเทน้ำเทท่า
ในที่สุดวันที่ต้องทำการแลกเปลี่ยนก็มาถึง
วันนี้ซูเฉินแต่งกายเต็มยศ จากนั้นเดินมายังหน้าคฤหาสน์ตระกูลซู
กังเหยียนติดตามอยู่ด้านหลังเขา
ในมือเขากำลังถือหีบเหล็กใหญ่หีบหนึ่ง ไม่มีผู้ใดรู้ว่าภายในมีสิ่งใดซ่อนอยู่หรือไม่ ทว่าทุกคราที่กังเหยียนย่างก้าว บนพื้นก็จะเกิดรอยเท้าลึกทิ้งไว้เบื้องหลัง
เมื่อเดินทางออกจากคฤหาสน์แล้ว ซูเฉินจึงเดินทางออกจากเมืองในทันที หลังจากออกมาได้ไกลพอสมควรจึงผิวปากให้สัญญาณ
มีคนเจ็ดคนเผยกายออกมาจากป่ารอบข้าง
ในเจ็ดคนนี้มีหกคนสวมชุดคลุมสีดำ เงาร่างถูกความมืดปกคลุม ทำให้ผู้คนไม่อาจมองหน้าได้ถนัด แต่ถึงกระนั้นซูเฉินก็ยังรู้ว่าหนึ่งในนั้นคือเยี่ยเม่ย
นางคือหนึ่งในผู้ที่มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูงเป็นแน่
มีเพียงชายวัยกลางคนผู้เดียวเท่านั้นที่ไม่มีสิ่งใดปิดปังตัวตน
ร่างกายกำยำ บนใบหน้ามีหนวดเคราเฟิ้ม บนหลังแบกดาบใหญ่ ที่น่าประหลาดใจคือในมือเขาแบกหีบเหล็กหีบหนึ่งไว้ด้วย หน้าตาคล้ายคลึงกับที่กังเหยียนแบกอยู่มากเพียงแต่เล็กกว่าเท่านั้น เมื่อคนทั้งคู่เห็นหีบเหล็กในมือเหมือน ๆ กัน บนใบหน้าของคนทั้งคู่ก็ปรากฏรอยยิ้มหนึ่ง
เสียงหัวเราะของกังเหยียนทั้งซื่อตรงเปิดเผยยิ่งนัก ในขณะที่รอยยิ้มของอีกฝ่ายดูท่าจะมีความหมายแฝงอยู่
ในตอนนั้นเองที่ชายวัยกลางคนเอ่ยขึ้น “เจ้าเตรียมตัวมาได้ดีกว่าที่ข้าคิดไว้เสียอีก ไม่แปลกที่จะทำทุกอย่างสำเร็จ สามารถทำให้คนที่ต้องการสังหารตนยอมทำงานให้ได้ นายน้อยซูเฉิน ชื่อของข้าคือปาหลง เป็นหัวหน้ากลุ่มคนที่ได้รับคำสั่งให้มาช่วยเหลือเจ้าในครั้งนี้”
ชายวัยกลางคนเน้นคำว่า ‘ได้รับคำสั่ง’ และคำว่า ‘หัวหน้า’ แสดงให้เห็นว่าตนมีอิสระของตน
ซูเฉินทำเพียงยิ้มบาง “ขอขอบคุณความช่วยเหลือของท่านปาหลง ข้าคงกล่าวได้เพียงว่าหากไม่มีข้อเบาะแว้งกันคงไม่อาจสานสัมพันธ์กันได้”
เยี่ยเม่ยไม่ได้ออกมาทักทายเขา ดังนั้นซูเฉินจึงทำเป็นไม่รู้ต่อไป
ปาหลงกล่าวขึ้น “เป็นอย่างเจ้าว่า เดิมทีที่เบื้องบนสั่งให้ข้ามาทำงานให้คนตาบอดผู้หนึ่ง ข้ามิเต็มใจนัก ตอนนี้จึงได้เห็นว่าแท้จริงแล้วเจ้าฉลาดหลักแหลมพอตัว ระหว่างการร่วมมือครั้งนี้อาจมีเรื่องน่าสนใจเกิดขึ้นก็เป็นได้”
“ขอขอบใจสำหรับคำชม”