ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 88 จดหมาย
บทที่ 88 จดหมาย
เมื่อซูเฉินทำการทดสอบเสร็จสิ้น ฝูงชนก็พากันกลั้นหายใจด้วยความตกตะลึง
เป็นเพราะแสงสว่างของดาวสีเหลืองที่มากถึง 23 ดวง ซึ่งนั้นก็มากพอที่จะทำให้ผู้คนโดยรอบพากันตาพร่าได้เป็นอย่างดี
เพราะนั่นเท่ากับขั้นที่ 2 ของด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว!
เพียงแค่มีผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดถึง 2 คน ก็เกินพอที่จะส่งผลให้การประเมินสิ้นปีนี้น่าสนใจขึ้นอย่างมากแล้ว ในขณะเดียวกัน มันก็กลายเป็นว่าความสนใจทั้งหมดได้ตกไปอยู่ที่ซูชิงและซูเฉินแล้วในตอนนี้
สำหรับซูถง เขาทำได้เพียงยอมแพ้การประเมินสิ้นปีในครั้งนี้ เรื่องนี้ก็ทำให้การปฏิรูปของตระกูลซูเป็นเหมือนเรื่องตลกไปโดยปริยาย ไป ๆ มา ๆ ท้ายที่สุดพวกเขาก็กลับไปลงเอยที่ผลลัพธ์เช่นเดิม
ซูชิงที่ยืนอยู่บนเวทีเฝ้ามองไปที่ซูเฉิน ขณะที่เขาพูดด้วยน้ำเสียงที่เศร้าหมอง “ท่านพ่อพูดถูก เจ้ากลายเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไปนานแล้ว นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมเจ้าถึงได้กล้าเข้าไปยังเทือกเขาสีเลือดใช่หรือไม่?”
“ถ้าเจ้าอยากจะเข้าใจไปแบบนั้นก็ตามใจเจ้า” ซูเฉินตอบอย่างไม่ใส่ใจ
“ถึงแม้ว่าเจ้าจะอยู่ขั้นที่ 2 ของด่านก่อเกิดลมปราณ แล้วมันจะยังไงล่ะ? เพื่อปิดบังความจริง เจ้าจึงได้มุ่งเน้นไปที่การเพิ่มรากฐานการบ่มเพาะของเจ้า แทนที่จะฝึกทักษะต้นกำเนิด ละเลยพื้นฐาน มุ่งเน้นแต่รายละเอียดปลีกย่อย หากมีเพียงแค่พื้นฐานการฝึกฝนของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด แต่ไม่มีทักษะต้นกำเนิด มันก็ไร้ประโยชน์!”
มันไม่ใช่ความผิดของซูชิงที่คิดเช่นนี้ หากซูเฉินต้องการเรียนรู้ทักษะต้นกำเนิด เขาก็จำจะต้องได้รับมันจากตระกูลซู ทว่าจนถึงวันนี้ตระกูลซูไม่เคยมีการบันทึกว่าซูเฉินได้ร้องขอทักษะต้นกำเนิดแต่อย่างใด
กล่าวอีกนัยหนึ่ง ซูชิงเชื่อว่าซูเฉินไม่ได้ฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดใด ๆ เลย
เพื่อปกปิดความแข็งแกร่งของตนซูเฉินจึงไม่ได้ฝึกฝนทักษะต้นกำเนิดใด ๆ เลย นี่เป็นเรื่องที่โง่มากดังนั้นซูชิงจึงพูดไปแบบนั้น
ไม่เหมือนซูเฉิน เมื่อซูชิงต่อสู้ในแดนลวงตาประกายทรัพย์ เขาก็ได้เรียนรู้ทักษะต้นกำเนิดไปด้วย
นี่คือเหตุผลที่ซูเค่อจี่ลงเดิมพันกับซูเฟยหูด้วยมั่นใจอย่างมาก
และเหตุผลเดียวกันนั้นเอง ทำให้ซูชิงยืนอยู่ต่อหน้าซูเฉินด้วยความมั่นใจอย่างสุดจะพรรณนา
จังหวะนั้นเอง ร่างของซูชิงก็สั่นขึ้นเล็กน้อย จากนั้นกลิ่นอายที่ดูสง่างามหลั่งไหลออกมาจากกายของเขา
กลิ่นอายที่ดูจะส่งผลกระทบต่อจิตใจนี้เริ่มแพร่กระจายออกไป มันทำให้ทุกคนในบริเวณใกล้เคียงรู้สึกถึงบรรยากาศที่รุนแรงและโหดร้าย
ซูชิงยิ้มและพูดว่า “ดูซะสิ นี่คือภาพลวงแห่งจิตสังหารของข้า มันถูกสร้างขึ้นจากการสังหารอสูรลวงตาทั้ง 308 ตนในชั้นแรกของแดนลวงตาประกายทรัพย์ เป็นของขวัญที่ข้าเตรียมไว้ให้เจ้าโดยเฉพาะ!”
เมื่อกล่าวจบ ซูชิงก็สะบัดมือของเขา
ภาพลวงแห่งจิตสังหารเป็นทักษะต้นกำเนิดที่นับได้ว่ายอดเยี่ยม ในแง่ของคุณภาพเพียงอย่างเดียว มันก็สูงกว่าสิ่ง ที่ซูเฉินเคยเรียนมาทั้งหมด
ทันทีที่จิตสังหารนี้ถูกใช้ออก มันสามารถเกาะติดกับร่างกายและทำหน้าที่เป็นโล่ได้ มันช่วยลดผลการโจมตีให้อ่อนแอลง นอกจากนี้ยังสามารถเพิ่มพลังกับความแข็งแกร่งให้กับอาวุธและส่วนต่าง ๆ ของร่างกายได้อย่างมาก หากผู้ใดฝึกฝนได้จนถึงขั้นเชี่ยวชาญ เพียงแค่การโบกมือข้างเดียวก็อาจก่อให้เกิดลมแฝงจิตสังหารที่รุนแรงขึ้นมาได้ สายลมนั้นสามารถกวาดผ่านไปได้ทั่วทุกแห่งภายใต้ดวงอาทิตย์ พลังของมันแข็งแกร่งกว่าทักษะลูกไฟหลายเท่า
แน่นอนว่ระดับของซูชิงในปัจจุบันยังไปไม่ถึงขั้นนั้น แต่มันก็ไม่ได้ช่วยทำให้เขาเลิกมั่นใจในภาพลวงแห่งจิตสังหารของตน
จิตสังหารที่ดูเหมือนงูสีดำตัวผอมจำนวนนับไม่ถ้วนพันรอบแขนของซูชิงนับครั้งไม่ถ้วน ก่อนที่แขนข้างนั้นจะพุ่งตรงออกไปหาซูเฉิน
เมื่อเห็นอีกฝ่ายโจมตีเข้ามา ซูเฉินก็ถอนหายใจ “บางทีเจ้าอาจจะเฝ้ารอวันนี้มาตลอด แต่ข้านั้นกลับไม่เคยมองว่าเจ้าเป็นคู่ต่อสู้ของข้าเลยสักครั้งเดียว”
ซูเฉินหลับตาลง ผสานมือแล้วก้าวถอยไปข้างหลัง เด็กหนุ่มเคลื่อนกายออกไปราวกับควันและหลบการโจมตีด้วยหมัดของซูชิง
การโจมตีของซูชิงล้มเหลวและเริ่มโจมตีซ้ำอีกครั้ง ซูเฉินไม่ได้โต้กลับ เขาเพียงแค่หลบไปทางซ้ายและขวา ถ้าไม่สามารถหลบมันได้ซูเฉินก็จะใช้แขนของเขาเพื่อต้านการโจมตี เขาแค่ป้องกันและไม่โจมตี ยิ่งไปกว่านั้นตั้งแต่ต้นจนจบซูเฉินยังไม่ได้ลืมตาเลยแม้แต่น้อย
ถ้าเปลี่ยนไปเป็นคนอื่น พวกเขาคงคิดว่าซูเฉินกำลังทำให้พวกเขาอับอาย ทว่าซูชิงไม่รู้ว่าซูเฉินกลับมามองเห็นได้แล้วและไม่เคยที่จะคิดเช่นนั้น ซูชิงจึงมุ่งเน้นไปที่การโจมตีด้วยกำลังทั้งหมด
บนเวทีการต่อสู้ทั้ง 2 เคลื่อนไหวและกระโดดไปมาอย่างรวดเร็ว ราวกับสายลม
การโจมตีของซูชิงดุดันราวกับเสือร้าย แต่มันไม่สามารถโจมตีโดนตัวซูเฉินได้ ซูชิงไม่สามารถแสดงความแข็งแกร่งและพลังกำลังของเขาออกมาอย่างชัดเจนได้ และไม่สามารถทำอะไรกับเรื่องนี้ได้เลย
ผู้ชมด้านล่างต่างวิตกกังวลอย่างมาก ในบางครั้งที่หมัดของซูชิงเฉียดผ่านซูเฉิน ส่งผลให้ทุกคนส่งเสียงอุทานและอ้าปากค้างด้วยความประหลาดใจ
บางคนก็คิดว่ามันน่าเสียดายมาก ขณะที่บางคนก็ที่ถอนหายใจและมีความสุข บางก็ส่งเสียงดังด้วยความตื่นเต้น ทุกคนล้วนมีความคิดในแบบที่ต่างกันไป
อย่างไรก็ตาม ในใจของทุกคนเริ่มรู้สึกแบบเดียวกันว่า ความเร็วของซูชิงนั้นช้าลงอย่างเห็นได้ชัด
ไม่มีใครรู้ว่าทำไม ทุกครั้งที่ซูชิงชกออกไป ช่องว่างระหว่างการโจมตีของเขาดูเหมือนจะเพิ่มขึ้น กล่าวให้ดูดีคือการโจมตีของซูชิงค่อย ๆ มั่นคงยิ่งขึ้น แต่บางคนก็กล่าวในแง่ลบว่าการโจมตีของซูชิงมีแต่พละกำลังไร้ซึ่งความเร็ว ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่ซูเฉินผู้ตาบอด ยังสามารถหลบได้ง่าย ๆ ด้วยการฟังเสียงจากลม
ใบหน้าของเจี้ยนซินดูสับสนเป็นอย่างมาก ในเมื่อซูเฉินดื่มยาชานิลกาฬเข้าไปแล้ว มันก็ควรจะเป็นเขาที่มีการตอบสนองและความเร็วช้าลงสิ เหตุใดซูเฉินจึงดูไม่เหมือนผู้ที่ดื่มยาชานิลกาฬเข้าไป ในขณะที่ซูชิงดูตอบสนองได้ช้าลงเรื่อย ๆ กัน
ในขณะที่เจี้ยนซินกำลังสงสัย ก็มีใครบางคนเข้ามาแตะไหล่ของเขาจากด้านหลัง
เจี้ยนซินหันหน้ากลับไปและพบว่าเป็นกังเหยียน
กังเหยียนหยิบกระดาษแผ่นหนึ่งออกมาและส่งให้อีกฝ่าย “จดหมายจากนายน้อยถึงเจ้า”
“จดหมายจากนายน้อย? นายน้อยสี่?” เจี้ยนซินชะงักไปครู่หนึ่ง
กังเหยียนยิ้ม “ใช่ เมื่อเจ้าอ่านมันเจ้าจะเข้าใจเอง”
เจี้ยนซินมองไปที่จดหมายในมือของเขาด้วยความสงสัย
“เจี้ยนซิน เมื่อเจ้าได้อ่านจดหมายนี้ ข้าคงจะกำลังต่อสู้กับซูชิงอยู่บนเวที ผลของการต่อสู้ครั้งนี้จะไม่เป็นไปตามที่เจ้าคาดหวังเพราะซูชิงจะเป็นฝ่ายแพ้ เงยหน้าขึ้นมองดูซูชิงให้ชัด ๆ เจ้าคิดว่าการเคลื่อนไหวของมันช้ามากหรือไม่ ? มันช้ามากเสียจนข้ามีเวลาพอที่จะตอบโต้และหลบเลี่ยงจากมันเพียงแค่ฟังจากเสียงของลม ? เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมถึงเป็นเช่นนี้ ? นั่นเพราะยาชานิลกาฬขวดที่ควรจะอยู่ในท้องของข้า มันไปอยู่ที่ท้องของซูชิงแทนยังไงล่ะ”
“ตกใจมากใช่ไหม ? เจ้าเริ่มตัวสั่นหรือยัง ? เช่นนั้นเจ้าต้องยึดหลักให้มั่นอย่าปล่อยให้ขาอ่อน แล้วก็อย่าล้มลงเสียเล่า ไม่เช่นนั้นเจ้าจะดึงดูดความสนใจจากผู้อื่น เชื่อข้าเถอะว่ามันไม่ดีสำหรับเจ้าเลย รู้ไหมว่าทำไม ? เพราะข้าเป็นผู้สับเปลี่ยนยา ก่อนที่จ่างซงจะมาส่งมอบให้พวกเขานานแล้วยังไงล่ะ อย่างไรก็ตามนี่ไม่ใช่ส่วนที่น่าตื่นเต้นที่สุดหรอก อีกไม่นานท่านลุงสองของข้าก็คงจะค้นพบว่ายาชานิลกาฬที่ข้าควรจะได้รับนั้น กลับเป็นลูกชายของเขาเองที่ดื่มเข้าไป ท่านลุงจะต้องสงสัยอย่างแน่นอนว่ามันเกิดอะไรขึ้น และเขาก็ย่อมจะต้องตรวจสอบว่าใครเป็นคนทำเรื่องทั้งหมดนี้”
“แล้วเจ้ารู้ไหมว่าใครจะเป็นผู้ที่น่าสงสัยมากที่สุด ? เป็นเจ้าไง ! “
“เจ้าจำตอนที่ข้าพาเจ้าไปยังเรือนของท่านลุงสองและขอให้เจ้าช่วยหาพัดของข้าได้หรือไม่ ? นั่นคือตอนที่จ่างซงกลับมาพร้อมกับยา กล่าวอีกนัยหนึ่งคือเมื่อยามที่ท่านลุงสองของข้าได้รับยา เจ้าก็อยู่ที่นั่นกับเขา รู้หรือไม่ว่านี่หมายถึงอะไร ? หมายความว่าเจ้าอาจจะได้เห็นว่าท่านลุงซ่อนยาไว้ที่ไหนแล้วจึงได้สับเปลี่ยนมัน และเมื่อเจ้าเอายาให้ข้าดื่มเสร็จ เจ้าก็กลับไปที่เรือนของท่านลุงอีกครั้ง การไปในครั้งนี้อาจเป็นโอกาสให้เจ้าได้เปลี่ยนแปลงความจริงตบตาผู้คน ตามแผนของเจ้า!”
“แน่นอนทั้งเจ้าและข้าต่างก็รู้ดีว่าเจ้าไม่มีทางที่จะทำ เจ้านั้นไม่มีความสามารถพอจะหลอกตาลุงสองและแอบสังเกตว่าท่านเก็บยาไว้ที่ไหน นอกจากนี้เจ้าไม่สามารถตบตาคนทั้งบ้านและสับเปลี่ยนยาได้หรอก แต่แล้วมันจะสำคัญอะไร ? ตราบใดที่ท่านลุงสองของข้าได้รับรู้ว่าเจ้าเป็นผู้ที่น่าสงสัยที่สุดนั่นก็เพียงพอแล้ว ท่านลุงจะเชื่อว่าเจ้าเสแสร้งวางตัวเป็นพันธมิตรกับท่าน ทว่าเมื่อท่านลุงต้องการงานใช้เจ้า เจ้าก็กลับหักหลังท่าน เจ้าไม่ได้วางยาแต่กลับแอบสับเปลี่ยนยาอย่างลับ ๆ เพื่อทำร้ายซูชิง ส่วนเรื่องที่ว่าทั้งหมดนั่นเป็นความจริงหรือไม่ มีหลักฐานหรือเปล่า ท่านลุงก็คงจะไม่สนใจเรื่องนั้น ข้าเข้าใจคนผู้นั้นดี คนอย่างท่านลุงสองนั้นที่จ่ายออกไปมากมาย แล้วกลับได้ผลลัพธ์เช่นนี้ ย่อมจะต้องหาแพะมารับบาปอย่างแน่นอน”
“ช่างน่าเสียดายที่เจ้าจะกลายเป็นแพะรับบาป ท่านลุงจะเชื่อว่าเจ้าเป็นผู้ทำเรื่องทั้งหมดนี้ ! เป็นเจ้าที่ทำร้ายมัน !”
“ดังนั้นข้าจะมอบคำแนะนำสุดท้ายให้แก่เจ้า เจ้าควรเริ่มหนีไปได้แล้ว หนีให้เร็วเท่าที่จะทำได้ ยิ่งไกลเท่าไหร่ก็ยิ่งดี อย่าให้โดนท่านลุงสองจับตัวเอาได้ เชื่อข้าอีกฝ่ายไม่มีทางฟังคำอธิบายของเจ้าหรอก หากท่านจับเจ้าได้ ท่านลุงจะถลกหนังของเจ้าด้วยตัวเอง จากนั้นก็วางบนตะแกรงและย่างช้า ๆ เนื่องจากความสัมพันธ์ของเราในฐานะนายบ่าว ข้าจะเหลือคำแนะนำครั้งสุดท้ายนี้ทิ้งไว้ให้เจ้า”
“ลาก่อน ลงนามนายน้อยสี่ของเจ้า ซูเฉิน”
“สี่ … นายน้อยสี่ … ” มือของเจี้ยนซินที่ถือจดหมายนั้นสั่นด้วยความโกรธเกรี้ยว
“จบแล้ว ? ” กังเหยียนหัวเราะอย่างลึกลับ
เจี้ยนซินมองไปที่กังเหยียนอย่างสิ้นหวัง
กังเหยียนเข้าใจการจ้องมองนี้ เขาหยิบจดหมายกลับมาอย่างง่ายดาย ฉีกมันออกเป็นชิ้น ๆ จากนั้นยัดเข้าปากแล้วกินลงไป
สิ่งที่กังเหยียนกินคือจดหมาย แต่สีหน้าของเขากลับดุร้ายเหมือนกำลังกินคน ในขณะที่กินเขาก็ส่งเสียงแปลก ๆ ขึ้น
เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะนี้ ซูเฉินก็เหลือบมองไปในทิศทางของกังเหยียน หลังจากเห็นฉากนั้นเขายิ้มเบา ๆ จากนั้นก็หลับตาและสู้ต่อ
กังเหยียนยิ้ม
เขาโน้มตัวเข้าไปใกล้หูของเจี้ยนซิน และกล่าวเบา ๆ ว่า “นายท่านกล่าวว่าหลังจากที่ข้าส่งสัญญาณ 30 ลมหายใจ ท่านจะจบการต่อสู้กลับซูชิง เจ้าสามารถเลือกได้ว่าจะอยู่ที่นี่เพื่อชมจุดจบของซูชิง หรือจะเริ่มหนีซะ … เจ้ายังมีเวลาอยู่อีก 25 ลมหายใจ”
เจี้ยนซินตะโกนร้องขึ้นเสียงดัง จากนั้นก็หันกายวิ่งหนีไปในทันที
ไม่มีใครให้ความสนใจเจี้ยนซินเลยทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับการต่อสู้ แม้แต่ตัวซูเค่อจี่เองก็กำลังจับจ้องอยู่ที่เวที
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่ซูเค่อจี่จ้องไปที่การเคลื่อนไหวที่พลิ้วไหวของซูเฉิน ความรู้สึกไม่สบายใจเริ่มปรากฏขึ้นในใจของเขาและเริ่มรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ
ในที่สุด
ซูเฉินก็ลืมตาขึ้น
เขามองไปที่ซูชิงและพูดด้วยเสียงแผ่วเบา “เจ้าเล่นพอแล้วหรือยัง?”
“อะไรนะ?” ซูชิงตกใจ
“หากเล่นพอแล้ว ก็รับการโจมตีของข้าไปสักฝ่ามือดู” ซูเฉินพูดด้วยน้ำเสียงสบาย ๆ
ว่าแล้วเด็กหนุ่มก็ฟาดฝ่ามือออกไป