ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 103 ความภักดีของเยี่ยเม่ย
บทที่ 103 ความภักดีของเยี่ยเม่ย
ในขณะที่อาจารย์และศิษย์เถียงเย้ากันไปมา เยว่หลงซาก็เดินเข้ามาหา
นางเอ่ยกับซูเฉิน “ขอบคุณเจ้าที่ช่วยล้างแค้นให้พ่อข้า หากต่อไปต้องการความช่วยเหลือ อย่าลืมบอกให้ข้ารู้”
“พวกเราเพียงช่วยเหลือกันก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบ “ใช่แล้ว แล้วของที่ข้าวานให้เจ้าดูให้เล่า ?”
เยว่หลงซาชี้ไปยังต้นไม้เบื้องหลังนาง
ซูเฉินกระโดดขึ้นไปบนต้นไม้แล้วดึง แผ่นรูปแบบต้นกำเนิดออกมา
มันคือแผ่นภาพ
ภายในนั้นบันทึกภาพการต่อสู้ทั้งหมดไว้
หลังจากลองเปิดดูให้มั่นใจแล้วว่าไม่มีความผิดพลาดใด ซูเฉินก็ขยับยิ้มพึงพอใจ
“เจ้าคิดทำเช่นไรต่อ ?” เยว่หลงซาถาม
ซูเฉินตอบทันที “ข้าจัดการเรื่องแผ่นภาพเอง แล้วจะแบ่งมันเป็นหลาย ๆ ส่วน ส่งให้กับตระกูลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง”
สีหน้าชื่นชมพลันปรากฏขึ้นบนหน้าเยว่หลงซา “เช่นนั้นหกตระกูลใหญ่ก็จะรู้ว่าสมาชิกตนเองถูกตระกูลจูสังหาร ตระกูลจูก็จะพบว่าคนตระกูลตนตายด้วยฝีมือคนจากอารามนิรันดร์ และอารามนิรันดร์ก็จะพบว่าหม่าเหรินเจ๋อถูกข้าสังหาร”
“ทั้งตระกูลและองค์กรต่างตกเป็นเหยื่อ มีเป้าให้ล้างแค้น ที่เยี่ยมยอดที่สุดคือทุกอย่างเป็นไปอย่างที่เจ้าเคยพูดไว้ แต่เจ้าก็ส่งข้อมูลเท่าที่อยากให้อีกฝ่ายเห็นให้เท่านั้น คนที่รู้ความจริงมีเพียงข้า แต่ข้าย่อมยอมรับมันเพื่อล้างแค้นให้ท่านพ่อ”
“เป็นเพราะนี่เป็นการล้างแค้น อารามนิรันดร์จึงเอ่ยอะไรได้ไม่มาก อีกทั้งยังต้องคอยรับมือกับตระกูลจูไปพร้อม ๆ กัน ทั้งสามฝ่ายต้องเข้าห้ำหั่นกันอย่างไม่ต้องสงสัย ดังนั้นจึงไม่มีใครสนใจเรานัก”
“เป็นแผนการที่ยอดเยี่ยมนัก” เยว่หลงซากอดอกจ้องซูเฉินด้วยสายตาชื่นชม
“เราแค่โชคดีก็เท่านั้น” ซูเฉินตอบก่อนจะเก็บแผ่นภาพไป “ข้าจะจัดการเรื่องแผ่นภาพ ส่งมันไปในชื่อเจ้า เจ้าคิดว่าอย่างไร ?”
เยว่หลงซาหัวเราะ “ไม่มีปัญหา ข้าจะอธิบายให้พวกเขาโดยละเอียด แค่บอกว่าข้าไล่ตามหม่าเหรินเจ๋อแล้วบังเอิญเขาดันเข้ามาพัวพันกับการต่อสู้นี้เข้า หม่าเหรินเจ๋อคิดฉวยโอกาส ไม่ทันระวังว่าตนเองถูกข้าติดตามอยู่ สุดท้ายบาดเจ็บหนัก ทำให้ข้ามีโอกาสสังหาร เจ้าคิดว่าเป็นเช่นไร ?”
“ฟังดูดี” ซูเฉินและเยว่หลงซามองหน้ากันก่อนจะหัวเราะออกมา
ตอนนี้พวกเขาเก็บกวาดสถานที่เรียบร้อยแล้ว ฉือไคฮวงสร้างเชือกขึ้นจากพลังต้นกำเนิด มัดจูเซียนเหยา หงหมิงและเจิ้งปาซานไว้
“อาจารย์ ท่านมีแหวนกักเก็บของหม่าเหรินเจ๋อหรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น
ฉือไคฮวงโยนแหวนวงหนึ่งให้เขา เมื่อซูเฉินเปิดดูภายในก็เผยสีหน้ายินดี
โอสถปลุกวิญญาณ 80 ขวดถูกจัดเรียงอยู่ในนั้นอย่างมีระเบียบ
ซูเฉินเก็บขวดยาเหล่านั้นไปก่อนเอ่ยขึ้น “คนอื่น ๆ กลับสถาบันมังกรซ่อนเร้นไปก่อน ข้ายังมีเรื่องให้ต้องจัดการ”
“เจ้าหนูตัวเหม็นนี่ กล้าสั่งอาจารย์งั้นหรือ ?” ฉือไคฮวงสบถด่า แต่ก็ยังนำคนสามคนกลับสถาบันมังกรซ่อนเร้นไป
ก่อนจะจากกัน เยว่หลงซายังเอ่ยกับซูเฉินว่า “หากต่อไปเจ้าต้องการความช่วยเหลือเรื่องอารามนิรันดร์ อย่าลืมมาหาข้า”
ซูเฉินพยักหน้า “ข้าจะไม่ลืม”
“เช่นนั้น…… ลาก่อน” เยว่หลงซาเอ่ยคำสุดท้ายออกมา ท่าทางดูสบายใจนัก
“ลาก่อน” ซูเฉินเอ่ยตอบนาง
หลังจากจ้องมองเขานิ่งอยู่ครู่หนึ่ง เยว่หลงซาก็หันหลังจากไป
หลังจากฉือไคฮวงและเยว่หลงซาจากไปแล้ว ซูเฉินก็ออกเดินไปยังทิศตรงกันข้าม
เป็นอีกครั้งที่เขาเดินมาถึงตรอกเงียบเชียบแห่งหนึ่ง เป็นจุดนัดพบเดิมเช่นคราวก่อน
เขาเดินเข้าไปยังเรือนแห่งหนึ่ง
ภายในนั้นไร้ผู้ใด ซูเฉินพบเก้าอี้เอนหลังตัวหนึ่งจึงเดินเข้าไปนั่งเงียบ ๆ
เวลาผ่านไปเท่าไรไม่อาจรู้ได้ เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็ดังสะท้อนอยู่ในเรือน
เป็นเสียงเท้าเดินเป็นจังหวะชัดเจนและเป็นเอกลักษณ์
คือเยี่ยเม่ย
เมื่อเยี่ยเม่ยเห็นซูเฉิน นัยน์ตานางก็เป็นประกาย “โอ๋ ? เหตุใดเจ้าจึงมาเร็วเช่นนี้ ? ข้ายังไม่ทันได้ส่งข้อความให้เจ้าเลย”
ซูเฉินเอ่ยตอบเสียงเนือย “ข้ารีบนิดหน่อย ดังนั้นจึงมารอเจ้าแทน”
“หึ” เยี่ยเม่ยบุ้ยปากไม่พอใจ ดึงถุงใหญ่ออกมาจากแหวนกักเก็บแล้วโยนมันให้ซูเฉิน “นี่คือสมุนไพรยาที่เจ้าต้องการ ทีนี้ส่งเงินมาเสีย !”
นางยื่นมือเล็กสีขาวออกมา
ซูเฉินหยิบหินพลังต้นกำเนิดหลายก้อนวางลงบนมือเยี่ยเม่ย นางรีบนับมันก่อนเอ่ยถาม “เหตุใดจึงมีเพิ่มมาอีก 200 ก้อน ?”
“ถือเป็นรางวัลที่เจ้าตั้งใจทำงาน”
“เช่นนั้นเจ้าก็มีมโนธรรมกับเขาด้วยหรือนี่” เยี่ยเม่ยขยิบตาให้ซูเฉิน
“ยังไม่หมดเท่านั้น” ซูเฉินส่งหีบหนึ่งให้เยี่ยเม่ย
เมื่อเปิดออกดู เยี่ยเม่ยก็เห็นโอสถปลุกวิญญาณอีก 80 ขวด
“โอสถปลุกวิญญาณ ?”
“ข้ารับปากว่าจะมอบยาชุดที่ 2 ให้เจ้า”
ซูเฉินไม่คิดปรุงยาเพิ่มอีกชุดตั้งแต่แรกแล้ว
ในเมื่อหม่าเหรินเจ๋อคิดบังคับเขาให้ปรุงยาขึ้นมาตอนนี้ ทำให้เขาต้องยอมเสียประโยชน์ครั้งใหญ่ เช่นนั้นการเสียประโยชน์ครั้งนี้ก็ควรมอบกลับไปให้อารามนิรันดร์เสีย
มันยังคงเป็นยา 80 ขวดเช่นเดิม แต่กลับนับเป็นยาชุดที่ 2 ที่ซูเฉินมอบให้อารามนิรันดร์ เด็กหนุ่มใช้วิธีนี้ในการทำให้อีกฝ่ายรู้ว่าหากคิดกดดันเขาจะมีผลเสียอย่างไร
หากแต่เยี่ยเม่ยไม่รู้ถึงจุดนี้
นางยังคงมีสีหน้าสับสน “เจ้าเคยบอกไว้ว่าเป็นหม่าเหรินเจ๋อที่จะทำการแลกเปลี่ยนกับเจ้าไม่ใช่หรือ ?”
ซูเฉินเอ่ยเสียงมีนัยยะ “ข้าไม่คิดว่าเขากับข้าจะได้ร่วมงานกันอีกแล้ว”
“เพราะอะไรหรือ ?” เยี่ยเม่ยไม่เข้าใจ
ซูเฉินหัวเราะก่อนตบไหล่นาง “อย่าห่วงเรื่องเหตุผลเลย อย่างไรเจ้าก็ควรนำยาชุดนี้กลับไปให้เจ้านายเจ้า พวกเขาจะเข้าใจเอง”
“อ้อ” เยี่ยเม่ยตกลง
เมื่อเห็นใบโง่งมอย่างน่ารักของเยี่ยเม่ยแล้ว ความคิดหนึ่งพลันผุดขึ้นในใจซูเฉิน
เขาเอ่ยขึ้น “เยี่ยเม่ย”
“หือ ?”
“พวกเรานับเป็นสหายกันหรือไม่ ?”
“นับสิ” เยี่ยเม่ยพยักหน้า สีหน้าจริงจังยิ่ง
“เช่นนั้นต่อไปเจ้าจะโจมตีข้าหรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
“ข้าจะทำได้อย่างไร ?” เยี่ยเม่ยตอบ “พวกเราเป็นสหายกัน เป็นสหายกันย่อมไม่ตีกัน”
“เช่นนั้นหากวันหนึ่งอารามนิรันดร์กับข้ากลายเป็นศัตรูกันเล่า ? เจ้าจะทำอย่างไร ?”
เยี่ยเม่ยเบิกตากว้าง “แล้วเหตุใดเจ้าจึงจะเป็นศัตรูกับอารามนิรันดร์ ?”
“……ข้าเพียงสงสัยว่าหากเป็นเช่นนั้นเจ้าจะทำอย่างไร”
เยี่ยเม่ยกัดริมฝีปากตนเอง
นางคิดหนักอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นข้าก็ทำได้เพียงอย่างเดียว”
“ทำอะไร ?”
“ข้าย่อมเสี่ยงชีวิตช่วยสหาย ข้าจะบอกเจ้าก่อนว่าอารามนิรันดร์คิดสังหารเจ้า ให้เจ้ารีบหนีไปเสีย แล้วค่อยกลับไปยังอารามนิรันดร์ ยอมรับผิดกับเบื้องบนแล้วรอรับบทลงโทษ” เยี่ยเม่ยว่า สีหน้ามีคุณธรรมยิ่ง “ข้ายอมแลกชีวิตกับพี่น้องและสหายของข้า แต่ข้าก็ไม่อาจทรยศองค์กร ข้าจะเผชิญหน้ากับมันอย่างไม่เกรงกลัวอะไร……”
ซูเฉิน “…”
เยี่ยเม่ยมองหน้าเขา “เป็นอย่างไร ? ข้าเป็นสหายที่ดีพอหรือไม่ ?”
“อืม ดีมาก เจ้ามีความภักดีสูงมาก” ซูเฉินชูนิ้วโป้งให้นาง
เยี่ยเม่ยหัวเราะดีใจ “เจ้าอย่าได้ซึ้งใจเกินไป ข้าเองก็ไม่ได้น่าประทับใจเช่นนั้นหรอก แต่เจ้าถามข้าก็ต้องตอบเจ้าให้ดี อย่างไรก็เป็นเพียงเรื่องสมมุติ…… หากเลี่ยงการเป็นศัตรูกันได้เราย่อมเลี่ยง จริงหรือไม่ ?”
“ใช่ เจ้าพูดถูก” ซูเฉินทำเพียงพยักหน้าให้นาง
ยามมองใบหน้ามั่นใจฃของยี่ยเม่ยแล้ว ซูเฉินพลันรู้สึกว่าหนทางข้างหน้าไม่เพียงมีแต่อันตรายมากมาย แต่ก็ยังมีความสุขและความน่าตื่นเต้นเรียงรายรออยู่ไม่น้อยเช่นกัน