ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 110 สตรีช่างเข้าใจยากเสียจริง
บทที่ 110 สตรีช่างเข้าใจยากเสียจริง
หลังจากเข้าใจลักษณะพลังของวิชาสรรพสิ่งลวงตาแล้ว กังเหยียนก็ถอนหายใจด้วยความชื่นชมออกมา “นับว่าเป็นวิชาที่ดีกว่าบรรทัดฐานวิชามากแล้ว คงจะเป็นทักษะต้นกำเนิดระดับโดดเด่นมากเป็นแน่ ใช่หรือไม่นายท่าน ?”
ทักษะต้นกำเนิดนั้น ปกติแล้วแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ธรรมดา โดดเด่น ตำนาน และสะท้านฟ้า
ผู้เชี่ยวชาญส่วนมากที่มีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตลงไปจะใช้ทักษะต้นกำเนิดระดับธรรมดา ทักษะต้นกำเนิดอย่างวิชาสรรพสิ่งลวงตานั้นอาจนับได้ว่ามีระดับโดดเด่นได้
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่รู้หรอก มันยังเป็นวิชาใหม่ ยังไม่ได้ถูกจัดระดับ แต่ข้าเองก็ไม่เห็นความสำคัญของการจัดระดับทักษะต้นกำเนิดอยู่แล้ว เพราะอย่างไรทักษะเดียวกันแต่ต่างผู้ใช้ ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมแตกต่างกันอยู่แล้ว อาทิเช่น ข้าเรียนวิชาดัชนีจิ้งจอกสวรรค์ของสันเขานอนตระกูลจูมา ตอนอาสิบเอ็ดใช้มันเป็นท่าที่ทรงพลังมาก แต่พอเป็นข้าใช้มันกลับแกร่งได้ไม่เท่าระเบิดเหยี่ยวเพลิงด้วยซ้ำ”
ซูเฉินนั้นฝึกใช้ดัชนีจิ้งจอกสวรรค์จนเชี่ยวชาญ แต่ทักษะต้นกำเนิดตำนานจากจิ้งจอกร้อยเล่ห์จักรพรรดิอสูรตระกูลจูนั้น ยามซูเฉินได้ใช้กลับไร้ซึ่งกำลัง ใช้พลังในร่างไปมากเพื่อปล่อยท่าดัชนีออกมา หากแต่มันกลับแกร่งกว่าระเบิดเหยี่ยวเพลิงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เดิมทีซูเฉินคิดว่าหากทำความเข้าใจสายเลือดได้ในระดับหนึ่งก็จะสามารถใช้วิชาให้ดีขึ้นได้ หากแต่ยามเขาเข้าใจมันแล้วกลับไม่ได้ทำให้พลังจิตกล้าแข็ง หรือดัชนีจิ้งจอกสวรรค์แกร่งขึ้นแต่อย่างใด ทำให้เขาต้องเลือกที่จะทิ้งวิชานี้ไปเสีย
“เช่นนั้น…… นายท่าน จะขายมันในแดนฝันหรือไม่ ?” กังเหยียนเอ่ยถาม
น้ำเสียงเขาเป็นกังวลอยู่เล็กน้อย
ซูเฉินหัวเราะออกมา “เจ้าห่วงข้าหรือ ? ไม่ต้องห่วงหรอก ไม่ว่าอย่างไรวิชานี้ก็ไม่ขาย”
วิชาสรรพสิ่งลวงตาจะถูกใช้เป็นวิชาสังหารของซูเฉิน ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ไม่ขาย
อีกทั้งเขายังไม่ขาดเงิน
ซูเฉินยังไม่ได้บอกหวังโต้วซานเรื่องนี้ด้วยซ้ำ ตอนนี้คนที่รู้เรื่องวิชาสรรพสิ่งลวงตานอกจากกังเหยียนแล้วก็มีเพียงฉือไคฮวง อวิ๋นเป้า และจูเซียนเหยาเท่านั้น
ที่ซูเฉินยอมให้นางรับรู้เพราะอย่างไรสุดท้ายก็ต้องล้างความทรงจำนาง ดังนั้นถึงนางรู้ไปก็ไม่อันตราย
และเพราะเหตุนี้ จูเซียนเหยาจึงกลายเป็นอีกคนที่ได้รับรู้ความลับของซูเฉินมากที่สุด
อีกทั้งนางยังเป็นคนที่ถูกซูเฉินทำให้ตกตะลึงอยู่บ่อยครั้งที่สุด
แรกเริ่มเดิมที จูเซียนเหยาคิดว่าซูเฉินก็แค่ชายหนุ่มเจ้าเล่ห์ที่โชคดี หลงพิษคิดอยากใช้ประโยชน์จากตำราเปิดพลังไคฮวงทั้งที่จริง ๆ แล้วเป็นผลงานของฉือไคฮวง แต่ภายหลังนางรู้สึกว่าซูเฉินนั้นเจ้าอุบาย ใช้ตระกูลจูช่วยสังหารศัตรูตนเอง จากนั้นค่อยแว้งกัดตระกูลจูในภายหลัง
แล้วพอหลังจากนั้น นางก็รู้สึกว่าซูเฉินเป็นคนหนุ่มที่ใช้ชีวิตอยู่ในโลกฝันของตนเอง พยายามทำทุกอย่างเพื่อก้าวข้ามผ่านข้อจำกัดทางสายเลือดไป หากแต่ไร้ประโยชน์
แต่ความสำเร็จของวิชาสรรพสิ่งลวงตานั้นสะเทือนมุมมองของจูเซียนเหยาไป สะท้านสะเทือนจิตใจนางได้รุนแรงกว่าทักษะต้นกำเนิดประเภทโจมตีจิตไหนจะสามารถทำได้
มุมมองของนางต่อซูเฉินจึงเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง
นางไม่คิดว่าจะมีคนสามารถแยกความซับซ้อนและพลังของตระกูลสายเลือดชั้นสูงออกมา จากนั้นใช้มันกับคนธรรมดาเพื่อที่จะให้คนไร้สายเลือดสามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดอันทรงพลังได้
นางได้เห็นซูเฉินที่พยายามเรียนรู้ทุกวิชาจากตระกูลจูอย่างตั้งใจจริงด้วยสองตาของนางเอง นางมองเขาทุ่มเททุกอย่างไปกับการวิจัยสายเลือดต่าง ๆ ราวกับโยนเงินเข้ากองไฟ มองดูเขาล้มเหลวซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่ก็ไม่เคยยอมแพ้ อีกทั้งยังได้เห็นยามเขาทำสำเร็จขึ้นมาได้จริง
ในตอนนั้นเอง ความคิดหนึ่งก็ผุดขึ้นในใจจูเซียนเหยาเป็นครั้งแรก ไม่แน่ว่าเขาอาจสร้างวิธีที่ทำให้ทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณ ด่านสู่พิสดาร ด่านผลาญจิตวิญญาณ ด่านหยั่งรู้ฟ้าดิน หรือกระทั่งด่านมหาราชันโดยไร้สายเลือดขึ้นมาได้
คนมีความสามารถย่อมมีเสน่ห์ให้สตรีสิเน่หา
จูเซียนเหยาไม่ทันรับรู้ แต่ความเกลียดชังที่มีต่อเขาพลันเลือนหายไปเรื่อย ๆ กระทั่งสายตาที่นางใช้มองเขาก็ยังเริ่มเปลี่ยนแปลงไป
——————————
“ความถี่วิญญาณคือเช่นนี้เองหรือ ? เมื่อคนสองคนปรับความถี่วิญญาณให้เท่ากัน ความคิดก็จะถูกเชื่อมเข้าด้วยกัน จากนั้นจะมาปรากฏในห้วงฝันด้วยกันได้ น่าสนใจนี่ เช่นนั้นแดนฝันก็คงสร้างขึ้นจากหลักการเดียวกันกระมัง ?”
ซูเฉินและจูเซียนเหยากำลังออกมาเดินทอดน่องที่ริมทะเลสาบในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ทั้งสองกำลังพูดคุยเกี่ยวกับความรู้เรื่องพลังจิตอยู่
จูเซียนเหยาส่ายหน้า “จริง ๆ แล้วแดนฝันคือสถานที่ที่มีตัวตนอยู่จริง แต่ก็ยังนับว่าเป็นโลกมายาอยู่ มันมีตัวตนอยู่ระหว่างโลกจริงกับพลังงานสูญ เป็นสิ่งที่เราไม่อาจทำความเข้าใจได้ ร่างกายเรามองมันคล้ายพลังงานสูญ แต่จิตเรามองมันเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง”
“เจ้าแดนฝันไม่ใช่ผู้สร้างแดนขึ้นมาหรอก เขาเป็นเพียงคนที่ดูแลจัดการมันเท่านั้น แต่คนผู้นั้นก็ทรงพลังมาก เป็นไปได้ว่าผูกพลังชีวิตไว้กับแดนฝันไปแล้ว หากแดนไม่ถูกทำลาย เจ้าแห่งแดนฝันก็จะไม่ตายเช่นกัน”
“เป็นเช่นนี้เอง งั้นแล้วหากขยายวิชาสรรพสิ่งลวงตาและเชื่อมห้วงฝันของคนหลายคนเข้าด้วยกัน ข้าจะสามารถเลียนแบบแดนฝันได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น
จูเซียนเหยาถึงกับพูดไม่ออก “ขยายขอบเขตของวิชาสรรพสิ่งลวงตาจะได้เลียนแบบแดนฝันหรือ ? เจ้านี่มันช่างฝันจริง ๆ”
ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ “ข้าเพียงเห็นว่าหากทำเช่นนั้นได้จริง ห้วงฝันก็จะดูสมจริงและทรงพลังมากขึ้นต่างหาก ยังไม่ต้องให้ได้ถึงขั้นแดนฝันหรอก แต่ก็นับว่าเป็นหนทางที่ข้าอาจพัฒนาวิชาสรรพสิ่งลวงตาได้”
“เจ้าไม่คิดว่ามันไกลเกินเจ้าเอื้อมถึงมากไปหรือ ?” จูเซียนเหยาชะงักกับความคิดซูเฉินไปเล็กน้อย เพราะตอนนี้เขาเพิ่งจะสร้างวิชาสรรพสิ่งลวงตาขึ้นมาได้เท่านั้น แต่กลับคิดไปไกลว่าจะพัฒนามันไปในทิศทางใดแล้ว
“งั้นหรือ ? ข้าคิดว่าไม่มากเท่าไรเมื่อเทียบกับวิชาและการบ่มเพาะพลังไร้สายเลือดทั้งหลายสำหรับขั้นพลังทั้ง 7 ด่านหรอก อีกอย่าง การเดินทางพันลี้ย่อมเริ่มจากก้าวเพียงก้าวหนึ่งเท่านั้น ยิ่งจุดหมายอยู่ไกล ข้ายิ่งต้องก้าวให้เร็วขึ้นอีก” ซูเฉินถอนใจ ทำหน้าคล้ายกับจะบอกว่า ‘เวลาไม่คอยใคร’
คำพูดของเขาไม่ได้ฟังดูยิ่งใหญ่แต่อย่างใด ทว่าจูเซียนเหยากลับฟังแล้วชะงักไป
นางหยุดฝีเท้าแล้วเงยหน้ามองซูเฉิน นัยน์ตาโตของนางเป็นประกาย ไม่รู้ว่าคิดอะไรอยู่
“อะไรหรือ ?” ซูเฉินหยุดฝีเท้าแล้วถามขึ้นเช่นกันเมื่อเห็นนางทำหน้าแปลก ๆ
จูเซียนเหยาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนเอ่ยถาม “ซูเฉิน อีกเดือนหนึ่งข้าก็จะไปแล้ว เจ้าจะล้างความทรงช่วงนี้ออกไปด้วยหรือไม่ ?”
ซูเฉินพยักหน้า
เขาได้เรียนวิชาน้ำล้างโศกมาเรียบร้อยแล้ว แม้จะใช้ได้ไม่ดีเท่าไรเพราะไร้สายเลือด แต่หากอีกฝ่ายให้ความร่วมมือก็ย่อมไร้ปัญหา
“เจ้าช่วยเปลี่ยนแปลงข้อตกลงของเราได้หรือไม่ ?”
“อยากให้เปลี่ยนอย่างไร ?”
จูเซียนเหยาเอียงคอคิด “แผนเดิมคือจะให้แม่นางเยว่กับข้าอยู่ด้วยกัน…… ข้าอยากให้เปลี่ยนเป็นเจ้ากับข้าแทน”
“ข้าหรือ ? เหตุใดจึงต้องการเช่นนั้นเล่า ?” ซูเฉินตกใจกับคำนาง
เขาเพียงจะล้างความทรงจำจูเซียนเหยาก่อนจะแทนที่ด้วยคำลวงเพื่อคลายข้อขัดแย้งระหว่างเขากับตระกูลจูลง
ดังนั้นหากจูเซียนเหยาจำเขาได้ เช่นนั้นก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร มีแต่จะทำให้เขาต้องเกี่ยวข้องกับจูเซียนเหยามากกว่าเดิม
จูเซียนเหยาก้มหน้าลง “ข้าเพียงอยากถามว่าได้หรือไม่ก็เท่านั้น”
ซูเฉินชะงักไป พยายามคิดหาคำตอบที่เหมาะสมให้นาง “เรื่องนั้น……. อาจไม่เหมาะเท่าไร”
ใจจูเซียนเหยาพลันรู้สึกถึงความเศร้าระลอกหนึ่ง คุณหนูอารมณ์ร้ายเริ่มแผลงฤทธิ์ออกมาในพลัน “ก็ได้ เช่นนั้นก็ไม่ต้องเปลี่ยน”
นางหันหลังเดินกลับไปทันที
เด็กหนุ่มเห็นนางเดินปึงปังจากไปก็ได้แต่สงสัย ไม่เข้าใจว่าเหตุใดจู่ ๆ นางจึงโกรธขึ้นมา ได้แต่พึมพำเสียงเบากับตนเอง “สตรีนี่…… ช่างเข้าใจยากเสียจริง”