ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 114 คัมภีร์หิรัณย์
บทที่ 114 คัมภีร์หิรัณย์
พริบตาเดียว เวลา 5 ปีก็ผ่านไป ซูเฉินในตอนนี้เติบโตขึ้นกว่าเก่ามาก
เด็กหนุ่มที่เคยเต็มไปด้วยพลังชีวิตแรงกล้ากลายเป็นชายหนุ่มที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น หนวดเคราเริ่มขึ้น ดวงตาดูสงบนิ่มล้ำลึกขึ้น
วันนี้ซูเฉินกำลังปรุงโอสถปลุกวิญญาณชุดหนึ่งอยู่
หลังจากหม่าเหรินเจ๋อตายไป อารามนิรันดร์ก็รู้ว่ากดดันซูเฉินอีกก็ไม่ได้อันใด สุดท้ายจึงร่างข้อตกลงขึ้นใหม่ หากเขายังไม่ถึงขั้นนักปรุงยาระดับชำนาญ ให้ปรุงยาเพียงปีละ 200 ขวดเท่านั้น
ข้อตกลงนี้ไม่ยากเย็นแม้แต่น้อย ดังนั้นซูเฉินจึงตอบตกลง เป็นเหตุให้ชายหนุ่มปรุงโอสถปลุกวิญญาณ 200 ขวดให้ทางองค์กรไปทุกปี ตอนนี้ก็นับว่าส่งยาใช้หนี้ไปพันขวดแล้ว ระดับความสำเร็จในการปรุงยาของซูเฉินมีมากกว่าคนอื่น ๆ หากแต่ยิ่งต้นทุนต่ำยิ่งดี วันนี้แม้ซูเฉินจะยังไม่ใช่นักปรุงยาระดับชำนาญ แต่กลับเชี่ยวชาญการปรุงโอสถปลุกวิญญาณมากกว่านักปรุงยาระดับชำนาญหลากหลายคนเสียอีก
ในตอนนี้ ซูเฉินกำลังถึงขั้นตอนสำคัญในการปรุงโอสถปลุกวิญญาณ หากแต่ทันใดนั้นเอง เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้น
ซูเฉินเผลอใส่พลังต้นกำเนิดในการปรุงยามากเกินไปเพราะถูกกวนสมาธิ ขวดยาที่ถืออยู่มีควันพวยพุ่งขึ้นมาทันที
“บัดซบ !” ซูเฉินสบถ เขารีบโยนขวดยาลงไปยังกล่องที่เตรียมไว้ก่อนหน้าทันที เปลวเพลิงปรากฏขึ้นในมือ จากนั้นถูกส่งออกไปทำลายขวดยานั่นในพลัน เขาใช้ทักษะลูกไฟทำลายยาขวดนั้น อย่างไรดอกซากวิญญาณก็เป็นส่วนผสมหลักของโอสถปลุกวิญญาณ หากปรุงพลาดจะปล่อยสสารมีพิษขึ้นสู่อากาศในทันใด
หลังจากทำลายยาที่ปรุงพลาดจนหมดแล้ว ซูเฉินก็เปิดประตู เปล่งเสียงไม่พอใจออกไป “ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือว่ายามปรุงยาห้ามรบกวน ?”
คนที่เคาะประตูคือกังเหยียน “ท่านอาจารย์ตามให้นายท่านไปพบ”
ซูเฉินอารมณ์เย็นลงเมื่อได้ยินว่าเป็นฉือไคฮวงที่เรียกหา รีบไปยังห้องโถงที่ตั้งของค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดทันที
เมื่อมาถึงก็เห็นฉือไคฮวงนั่งอยู่ภายในค่ายกล หมู่ดาวพร่างพราวอยู่รอบกาย พวกมันพากันเกี่ยวพันกัน ก่อเกิดเป็นรูปแบบซับซ้อนนับไม่ถ้วน
ที่พื้นมีรูปแบบพลังต้นกำเนิดหลากหลายแบบถูกวาดไว้
นับตั้งแต่ที่ซูเฉินมอบกฎแห่งบรูคให้ฉือไคฮวง ฉือไคฮวงก็เริ่มทำการวิเคราะห์รูปแบบพลังต้นกำเนิดเช่นกัน
“อาจารย์ !” ซูเฉินเดินเข้ามาคำนับทักทาย
“มาแล้วหรือ นั่งสิ” ฉือไคฮวงชี้นิ้วไปที่พื้น
ห้องโถงที่ตั้งของค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดนั้นไม่มีเก้าอี้สักตัว ดังนั้นชายหนุ่มจึงนั่งลงบนพื้นตามฉือไคฮวง
ฉือไคฮวงเอ่ยขึ้น “ข้าเรียกเจ้ามาวันนี้เพราะมีเรื่องจะบอกเจ้า ข้าทำความเข้าใจวิธีการทะลวงสู่ด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดได้อีกขั้นหนึ่งแล้ว”
“จริงหรือ ?” ซูเฉินร้องถามด้วยความยินดี “ยินดีกับอาจารย์ด้วย”
“เป็นเพราะได้เจ้า” ฉือไคฮวงเอ่ย “การรวมวิชาโบราณอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยเข้าด้วยกันทำให้ข้ามีทางมากมายให้เลือกเดิน ส่วนกฎแห่งบรูคนั้นก็ยอดเยี่ยมมาก ไม่ด้อยค่าไปกว่าค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดของข้าเลย”
“เมื่อมีทั้งสองอย่างนี้รวมกัน การค้นคว้าของข้าก็รุดหน้าขึ้นรวดเร็วมาก หากแต่หนทางการพัฒนาให้วิธีนี้สำเร็จยังอีกยาวไกลนัก ระหว่างทางยังมีอุปสรรคมากมายคอยขัดขวาง ข้าเพิ่งไขปัญหาสำคัญหนึ่งไปได้ แต่ต่อไปย่อมต้องมีมาอีกเป็นแน่”
“เช่นนั้นอาจารย์ต้องการให้ข้าทำสิ่งใด ?” ซูเฉินเอ่ยถาม
ฉือไคฮวงเอ่ย “ข้าทำขั้นตอนเปิดตำหนักของด่านทะลวงลมปราณโดยไร้สายเลือดได้แล้ว แต่การเปิดตำหนักนี้ต้องใช้การกลั่นพลังต้นกำเนิด เผ่ามนุษย์พึ่งพาพลังจากสายเลือดเป็นตัวกลั่นพลังต้นกำเนิด ซึ่งหากเราข้ามขั้นตอนนี้ไปยิ่งต้องใช้วิธีกลั่นพลังที่ยอดเยี่ยมมากขึ้นไปอีก”
“ศิษย์เข้าใจแล้ว” ซูเฉินตอบ
ขั้นพลังแต่ละด่านนั้นมีกำแพงสูงตระหง่านขวางกั้นอยู่ แต่ละย่างก้าวนั้นเชื่อมต่อกัน การทะลวงสู่ขั้นพลังด่านสูงขึ้นต้องใช้ทักษะต้นกำเนิดหลากวิชานัก
ตอนนี้ฉือไคฮวงต้องทักษะต้นกำเนิดที่สามารถกลั่นพลังต้นกำเนิดและก่อร่างขึ้นมาได้
ทักษะต้นกำเนิดชนิดเดียวกัน เมื่ออยู่ในมือของผู้เชี่ยวชาญแต่ละคนอาจให้ผลแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง มีหลากหลายปัจจัยที่ทำให้เกิดความแตกต่าง หนึ่งในนั้นคือระดับการกลั่นพลังต้นกำเนิดของแต่ละคน
ฉือไคฮวงเอ่ยต่อ “การกลั่นพลังต้นกำเนิดนั้นเริ่มต้นจากภายนอก จากนั้นจึงรวมเข้าภายในร่าง ข้าไขปัญหาภายนอกโดยใช้ กฎแห่งบรูคได้แล้ว แต่ภายในนั้นยากกว่ามาก ใช้เพียงค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดไม่พอ ดังนั้นข้าจึงต้องใช้วิธีการกลั่นพลังต้นกำเนิดที่โดดเด่นกว่ามาช่วยเสริม”
“วิธีการกลั่นพลังต้นกำเนิดที่โดดเด่นกว่าหรือ ? ข้าจะไปหาได้จากที่ใดกัน ? ศิษย์เต็มใจหามาให้อาจารย์”
“ข้าเรียกเจ้ามาก็เพราะเรื่องนี้เพราะ็ ทักษะต้นกำเนิดกลั่นพลังที่นับว่าโดดเด่นนั้นมีไม่เกิน 3 วิชา หนึ่งในนั้นอยู่ในอาณาจักรหลงซาง”
“คือที่ใด ?”
“เผ่าราชันตระกูลหลิน” ฉือไคฮวงตอบ
เผ่าราชันตระกูลหลิน ?
เมื่อซูเฉินได้ยินคำนี้ก็ตกตะลึงไป
เผ่าราชันคืออะไรกัน ?
มันไม่ได้หมายถึงสายเลือดราชันอสูร แต่หมายถึงทายาทของฮ่องเต้องค์ปัจจุบันของอาณาจักรหลงซางต่างหาก
มีเพียง 7 ตระกูลเท่านั้นที่สามารถใช้ชื่อ ‘เผ่าราชัน’ ได้ และตระกูลเหล่านั้นคือตระกูลผู้ครอง 7 อาณาจักร
หลังจากราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ล่มสลายลง เหล่าผู้แข็งแกร่งทั้งเจ็ด ตระกูลใหญ่ที่มีอิทธิพลสูงสุดก็แบ่งแยกดินแดนออก สร้าง 7 อาณาจักรขึ้น
แม่ทัพกองกำลังทิศเหนือหลินเซี่ยนอวี๋ก่อตั้งอาณาจักรหลงซาง ตั้งเมืองหลวงที่เมืองฉางผาน ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของอาณาเขตราชวงศ์เทพสวรรค์อันรุ่งโรจน์ในอดีต
132 ปีหลังจากก่อตั้งอาณาจักรหลงซาง หลินเซี่ยนอวี๋ก็นำกองทัพมุ่งหน้าไปกวาดล้างชนเผ่าเพลิงของเผ่าคนเถื่อนเพื่อชิงเอาดินแดนที่เสียไปกลับคืนมา เขายังเอาชนะดินแดนต่อไปเรื่อย ชิงเอาลุ่มน้ำทองคำมาได้และตั้งปราการลุ่มน้ำทองขึ้นที่นั่น
ปี 384 แห่งหลงซาง ปราการลุ่มน้ำทองก็ก่อสร้างเสร็จสิ้น กลายเป็นปราการหลักในการต่อสู้กับเผ่าคนเถื่อน
ปี 863 แห่งหลงซาง หลินเซี่ยนอวี๋ตายลง หลินหลิวเชิ่งครองบัลลังก์ต่อ
ศตวรรษที่ 16 แห่งหลงซาง หลินหลิวเชิ่งตายลง หลินไป๋เยวี๋ยนครองบัลลังก์ต่อ
ศตวรรษที่ 24 แห่งหลงซาง หลินไป๋เยวี๋ยนตายลง หลินเมิ่งเจ๋อครองบัลลังก์ต่อ
ตอนนี้ศตวรรษที่ 31 แห่งหลงซาง ปี 26,000 แห่งยุคดาราใหม่
หลินเมิ่งเจ๋อครองบัลลังก์ได้มั่งคงยิ่ง
วิชากลั่นพลังต้นกำเนิดที่ฉือไคฮวงพูดถึงคือวิชาลับตระกูลหลิน คัมภีร์หิรัณย์
ตระกูลหลินเป็นเผ่าราชัน ไม่อาจเอาตระกูลชั้นสูงอื่น ๆ มาเปรียบเทียบได้ พวกเขามีอำนาจเด็ดขาดในอาณาจักรหลงซาง อีกทั้งยังมีสายเลือดและวิชาแข็งแกร่ง
กระทั่งคนมีจิตใจกล้าหาญฮย่างซูเฉิน การพยายามเอาวิชาของตระกูลนั้นมายังนับได้ว่าเป็นภารกิจปลิดชีพ
แต่เคราะห์ดี ฉือไคฮวงยังเอ่ยปลอบเขา “ข้าไม่ได้ขอให้เจ้าไปชิงเอาวิชาจากพวกเขา ของเหล่านี้ได้มาโดยไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์กลใด”
“แล้วข้าต้องทำอย่างไรหากไม่ใช้เล่ห์ ?” ซูเฉินถาม
“ก่อนหน้านี้มีคนค้นพบซากโบราณเผ่าอาร์คาน่าใกล้กับลุ่มน้ำทอง แต่ด้วยไม่ได้ปิดเป็นความลับ เผ่าคนเถื่อนเองจึงค้นพบที่นั่นด้วยเช่นกัน ทั้งสองฝ่ายตั้งกองกำลังมากมายไว้แถบนั้น ศึกใหญ่กำลังจะปะทุ ตอนนั้นเองก็มีคนเสนอว่าให้ทั้งสองฝ่ายยอมลืมเรื่องบาดหมางแล้วร่วมมือกันแทน”
“ยอมลืมเรื่องบาดหมางแล้วร่วมมือกัน ?” ซูเฉินได้ยินแล้วก็ประหลาดใจ
“ถูกต้อง !” ฉือไคฮวงพยักหน้า
“เผ่ามนุษย์ไม่ถูกกับเผ่าคนเถื่อนมานาน เหตุใดจึงตอบตกลงได้เล่า ?”
“แน่นอนว่าย่อมไม่อยากตกลง แต่นั่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับพวกเขา เป็นชนเผ่ากิ้งก่ากรวดต่างหากที่ค้นพบซากโบราณเผ่าอาร์คาน่า ไม่ใช่ทั้งเผ่าคนเถื่อน”
ซูเฉินเข้าใจ
เมื่อได้เข้ามาศึกษาในสถาบันมังกรซ่อนเร้น ซูเฉินก็รู้ว่าเผ่าคนเถื่อนนั้นต่อสู้กันเอง เช่นเดียวกันกับมนุษย์
ตอนนี้ชนเผ่าเพลิงกุมอำนาจสูงสุดในเผ่าคนเถื่อน แต่นอกจากนั้นก็ยังมีชนเผ่าอิสระอีกมากมาย
ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดคือชนเผ่าที่ต่อสู้กันเพื่อแย่งซากโบราณเผ่าอาร์คาน่า
เหมือนเช่นที่หลงซางไม่ยอมบอกอีก 6 อาณาจักรเรื่องการค้นพบนี้ ชนเผ่ากิ้งก่ากรวดก็ไม่เต็มใจแบ่งสมบัติให้เผ่าคนเถื่อนอื่น ๆ เช่นกัน
หากสงครามใหญ่ปะทุขึ้นจริง เช่นนั้นก็พูดได้ยากว่าจะได้ประโยชน์มากน้อยเท่าไร
สถานการณ์เป็นเช่นนี้ทำให้ทั้งสองฝ่ายตกลงยอมร่วมมือกัน
ฉือไคฮวงเอ่ยต่อ “ทั้งสองฝ่ายตกลงให้ศิษย์หนุ่มสาวของตนเข้าไปยังซากโบราณเพื่อหาสมบัติภายใน ใครที่มีฝีมือโดดเด่นจะได้รับรางวัล ทั้งยังสามารถขอรางวัลเจาะจงได้…… หากไม่ใช่สิ่งที่ใหญ่ล้ำค่าเกินไป”
ซูเฉินเข้าใจ “อาจารย์ต้องการให้ข้าเข้าไปยังซากโบราณและขอคัมภีร์หิรัณย์เป็นรางวัลใช่หรือไม่ ?”
“ถูกต้อง เช่นนั้นจึงจะได้มันมาโดยไร้เล่ห์กล แม้คัมภีร์หิรัณย์จะเป็นวิชาลับ แต่เผ่าราชันนั้นเก็บสะสมวิชาลับไว้มากมายหลากหลายประเภทอยู่แล้ว หากเจ้าทำผลงานดีแล้วขอวิชาจากพวกเขา พวกเขาก็ไม่น่าปฏิเสธเจ้า”
“รับทราบ ! เช่นนั้นศิษย์ต้องทำอย่างไรจึงจะมีสิทธิ์เข้าซากโบราณนั่น ?”
“อย่างแรกคือเจ้าต้องชนะในการประลองสิ้นปี”