ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 144 ติดตาม
บทที่ 144 ติดตาม
ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่หวังโต้วซานพลันรู้สึกว่าหูตนร้อนขึ้น
“เจ้าบ้าที่ไหนนินทาลับหลังข้ากัน ?” เขาบ่นงึมงำ สะบัดแขนใหญ่ไปในอากาศ ส่งฝ่ามือปะทะร่างอสูรเมฆาแดงตรงหน้า แม้เจ้าอสูรจะมีชื่อดูวิจิตรงดงาม แต่กลับหัวทึบไม่น้อย มันกรีดร้องเสียงดังก่อนจะฝังเขี้ยวลงบนแขนหวังโต้วซาน
แขนหนาของหวังโต้วซานยึดเจ้าอสูรไว้ เขี้ยวคมของมันติดอยู่ในไขมันและกล้ามเนื้อชั้นหนาจนไม่อาจดึงออกไปได้
หวังโต้วซานคว้าคอมันแล้วบิดทีหนึ่ง
กร๊อบ ! คอมันหักในทันใด
“เยี่ยมเลย ได้เวลาอร่อยแล้ว” หวังโต้วซานหัวเราะด้วยความเบิกบานใจ
เขาหันไปร้องตะโกน “น้องสี่สิบ มาเร็ว ได้เวลากินของอร่อยแล้ว !”
ชายหนุ่มร่างผอมหากแต่สง่างามพุ่งเข้ามา นัยน์ตาโตเหลือบมองไปรอบกาย
ระหว่างที่วิ่งเขาก็ตะโกนมาด้วย “กินอีกแล้วหรือ ? วันนี้เรากินมา 4 มื้อแล้ว นี่เรายังจะตามหาคนอื่น ๆ แล้วทำภารกิจที่ทางสถาบันมอบหมายให้อยู่หรือไม่ ?”
เขาคือจี้ลั่วอวี่ คนที่ซูเฉินเป็นห่วงความปลอดภัยนัก
จี้ลั่วอวี่โชคดีมาก เข้ามาในซากโบราณแล้วก็พบเผ่าคนเถื่อน 2 คนทันที ดังนั้นจึงต้องใช้สมบัติล้ำค่าที่นำติดตัวมาในการหลบหนี ก่อนที่หลังจากนั้นเขาก็พบกับหวังโต้วซาน
เมื่อมีหวังโต้วซานคอยดูแลแล้ว เขาก็ปลอดภัยหายห่วง
แต่นิสัยกินไม่หยุดของหวังโต้วซานนั้นทำให้เขาปวดหัวอยู่บ้าง
หวังโต้วซานหัวเราะ “ไม่กินแล้วจะเอาแรงมาจากไหนเล่า ? ไม่มีแรงแล้วจะสู้ได้อย่างไร ? หากไม่สังหารอสูรพวกนี้เราจะหาอาหารได้อย่างไรกัน…… นี่ เจ้าจะรับมือกับพวกเผ่าคนเถื่อนได้อย่างไรหากไร้เรี่ยวแรง ? ส่วนเรื่องภารกิจ…… สมุนไพรและหญ้าที่เก็บมาระหว่างทางนี้ก็นับว่าสำเร็จภารกิจไปส่วนหนึ่งแล้ว เหตุผลหลักที่สถาบันส่งเรามาที่นี่ก็เพื่อเก็บวัตถุดิบยาเหล่านี้ สังหารเผ่าคนเถื่อนเป็นเพียงภารกิจเสริมเท่านั้น เจ้าต้องลำดับความสำคัญให้ดี ไฮ้ เจ้ายังเด็กนัก ไม่แปลกที่จะไม่เข้าใจ”
หวังโต้วซานพูดไปก็ถลกหนังอสูรแล้วผ่าท้องมันอย่างชำนาญ เอาเครื่องในมันออกมาและเริ่มลงมือทำอาหาร
ชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลายกมือขึ้นกอดอก “ท่านก็พูดเสียดิบดี แต่ข้ายังไม่เห็นท่านรับมือกับคนเถื่อนสักคน เช่นนั้นเหตุใดท่านไม่สู้กับเผ่าคนเถื่อนที่เราเจอแต่กลับลากข้ามาหลบซ่อนแทนเล่า ?”
“นี่ !” หวังโต้วซานกำมือทุบพื้น พื้นสั่นสะเทือนเล็กน้อย “ข้าทำเช่นนี้เพื่อปกป้องเจ้า ! หากไม่ใช่เพราะเจ้าข้าก็คงจัดการมันไปแล้ว”
“ฮึ่ม !” จี้ลั่วอวี่ส่งเสียงหัวเราะเหอะออกมา “ท่านคิดว่าตนเองคงเอาชนะไม่ได้มากกว่า”
“ข้าเห็นความปลอดภัยเจ้ามาก่อนต่างหาก !” หวังโต้วซานว่า “หากไม่ใช่เพราะซูเฉินพูดกรอกหูข้าอยู่ตลอดว่าห้ามให้เจ้าเป็นอะไรไป ข้าก็คงไม่กลัวเจ้านั่นหรอก”
จี้ลั่วอวี่ยกยิ้ม หมุนตัวไปมาท่าทางเย่อหยิ่ง
“ไม่รู้ว่าซูเฉิน อวิ๋นเป้า และคนอื่น ๆ จะเป็นอย่างไรกันบ้าง” หวังโต้วซานถอนใจ
——————————————
“เราไปทางซ้าย !”
“เราไปทางขวา !”
“ทางซ้าย !”
“ทางขวา !”
อวิ๋นเป้าและจีหานเยี่ยนจ้องหน้ากันเขม็ง ไม่มีใครยอมใคร
“ขอล่ะ อย่าทะเลาะกันเลย เหตุใดพวกท่านสักคนไม่ยอมลงบ้าง ? เถียงกันไปแล้วได้อะไร ?” กังเฮ่าหลีกล่าวแล้วยกมือขึ้นตบหน้าผากตนเองไม่หยุด
อวิ๋นเป้าและจีหานเยี่ยนอาจเป็นคู่ที่เข้ากันได้เลวร้ายที่สุด แข่งขันกันทุกอย่างตั้งแต่ตอนฝึกจนถึงตอนนี้
อวิ๋นเป้าเอ่ย “ไม่ใช่ว่าข้าอยากเถียงกับนาง แต่นางตัดสินใจผิด ทางที่ข้าเลือกคือทางที่ถูกต้อง”
จีหานเยี่ยนหัวเราะเสียงเย็น “ทั้ง 2 ทางมีทางให้ไปต่อได้ แล้วเหตุใดต้องทำตามคำเจ้า ?”
“เพราะทางที่ข้าเลือกมีอสูรร้ายอยู่อย่างไร !” อวิ๋นเป้าตอบ
“เช่นนั้นเรายิ่งไม่ควรเลือกทางนั้น เราต้องเก็บแรงไว้สู้กับเผ่าคนเถื่อน ในเมื่อทางนั้นมีอสูรร้าย พวกมันรับมือไม่ง่าย เช่นนั้นคงไม่มีเผ่าคนเถื่อน หากเลือกทางที่ข้าเสนอย่อมมีโอกาสเจอตัวพวกมันมากกว่า”
อวิ๋นเป้าเอ่ยเสียงโกรธ “ภารกิจหลักของเราคือการเก็บวัตถุดิบ ซูเฉินขอให้เราช่วยหาสมุนไพร เขาจะได้นำมาปรุงยาได้มากขึ้น”
“เราไม่รู้ว่าเมื่อไรจึงจะพบตัวเขา เจ้าจะรีบร้อนไปไย ?”
“พอเจอตัวเขาแล้ว จะหาของก็คงไร้โอกาส”
“เจ้านี่เล่นบทน้องชายเก่งจริง ๆ”
“ส่วนเจ้าก็ไม่รู้จักทำตามคำสั่ง ข้าหมายเลข 12 เจ้าหมายเลข 17 เจ้าควรจะฟังคำข้า” อวิ๋นเป้าตะโกน
จีหานเยี่ยนไม่ชอบใจที่ตนเองได้รับหมายเลข 17 เลยแม้แต่น้อย
หมายเลขศิษย์ไม่เพียงบ่งบอกถึงกำลัง แต่ยังบอกถึงอารมณ์และสติปัญญาด้วย
จีหานเยี่ยนไม่อ่อนแอและไม่โง่ แต่นิสัยนางคล้ายกับอวิ๋นเป้า คือไม่น่าอภิรมย์นัก
หากแต่อวิ๋นเป้ามีสัญชาตญาณการเอาตัวรอดในป่าที่จีหานเยี่ยนไม่มี
ดังนั้นนางจึงได้รับหมายเลข 17 มา ในขณะที่อวิ๋นเป้าได้รับหมายเลข 12
แต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่านางจะยอมก้มหัวให้เขาแต่โดยดี
เมื่อได้ยินคำอวิ๋นเป้า จีหานเยี่ยนก็มีสีหน้าเยียบเย็น “หากยังใช้หมายเลขนั่นขู่ข้าอีก ข้าจะซัดเจ้าสักที !”
“มาเลยสิ ! คิดว่าข้ากลัวหรือ ?” อวิ๋นเป้าร้องขึ้น
กังเฮ่าหลียกมือกุมหัว อยากจะร้องไห้นักแต่กลับไร้น้ำตา เหตุใดเขาจึงต้องมาเจอกับทั้ง 2 คนที่เข้าไม่ได้กันเช่นนี้ด้วย ?
สวรรค์ ส่งเผ่าคนเถื่อนมาสักคนเถอะ !
ถึงขั้นนี้แล้ว มีแต่เผ่าคนเถื่อนเท่านั้นที่จะทำให้ทั้งคู่หยุดทะเลาะถกเถียง ร่วมมือกันต่อสู้ได้
————————————
“ถุ้ย !” เยว่หลงซาถุยเลือดออกมาคำหนึ่ง ใบหน้าที่ซีดขาวยิ่งซีดลงมากกว่าเดิม
“เป็นอะไรหรือไม่ ?” กู่ชิงลั่วพยุงร่างนางขึ้น
“ไม่เป็นไร การไหลเวียนเลือดยังติดขัดอยู่บ้าง พลังต้นกำเนิดก็โคจรได้ไม่ราบรื่น เจ้านั่นน่ากลัวไม่น้อย !” เยว่หลงซาเอ่ยด้วยเสียงเจือความกลัว “โชคดีที่มีเจ้า ไม่เช่นนั้นข้าคงถูกมันสังหารแล้ว”
“พวกเราเป็นกลุ่มเดียวกัน อย่าพูดเช่นนั้นเลย” กู่ชิงลั่วหัวเราะ
“ถูกต้อง พวกเรามีชะตากรรมร่วมกัน ไม่จำเป็นต้องสุภาพนักก็ได้” น้ำเสียงหวานอีกเสียงเอ่ยขึ้น หญิงสาวคนหนึ่งกำลังถือถ้วยข้าวต้มสีเขียวคล้ายหยกอยู่ในมือ “พี่เยว่ ดื่มข้าวต้มห้าพิษทลายใจนี่สักหน่อย ท่านจะประหลาดใจกับผลลัพธ์ของมันนัก”
เยว่หลงซารับมา “มันเอาไว้ใช้รักษาแผล เหตุใดจึงเรียกมันและทำให้มีสีเช่นนี้เล่า ? ทำให้คนเห็นแล้วกลัวเอาเปล่า ๆ”
หญิงสาวยกมือขึ้นปิดปากหัวเราะ “ก็เป็นยาที่ทำมาจากพืชมีพิษ ชื่อจึงเป็นเช่นนั้น ไม่เลวใช่ไหม ? ข้าตั้งชื่อเก่งมากเลยนะ”
หญิงสาวผู้นี้มีนามว่าหานหลินเสีย 1 ในศิษย์ชั้นปีที่ 7 ทั้ง 4 คน ได้รับหมายเลขศิษย์อันดับที่ 39 ความสามารถทางสายเลือดของนางเป็นเอกลักษณ์นัก สามารถดึงเอาพลังจากสมุนไพรออกมา ทำให้มันออกฤทธิ์ได้ดีกว่าเดิม อีกทั้งยังสามารถเปลี่ยนพลังจากสายเลือดให้กลายเป็นพลังยาได้ แต่แน่นอนว่าประสิทธิภาพจะมีน้อยกว่าตัวสมุนไพรที่นางดึงพลังออกมา
สถาบันมังกรซ่อนเร้นเลือกนางมาเพราะความสามารถนางมีประโยชน์ ทั้งยังสามารถใช้ควบรวมกับความสามารถของซูเฉินได้ ส่วนหนึ่งที่ซูเฉินกล้านำเพียงส่วนผสมพอใช้ปรุงยาเพิ่มพลังระดับสูงเพียง 2 ชุดก็เป็นเพราะมีหานหลินเสียนี่แหละ
หานหลินเสียทำเพียงเก็บสมุนไพรพิษ เปลี่ยนมันให้เป็นยาแล้วนำมันเข้าร่างกายเยว่หลงซาเพียงเท่านั้น
แม้จะดูมีพิษรุนแรงนัก แต่ก็ให้ผลชะงัด
เยว่หลงซาดื่มมันแล้วเอ่ยขึ้น “ข้าอิจฉาความสามารถทางสายเลือดของศิษย์น้องหานไม่น้อย แต่เรื่องตั้งชื่อข้าไม่มั่นใจนัก”
เป็นตอนนั้นเองที่คนผู้หนึ่งกระโดดออกมาจากพุ่มไม้
เขามีนามว่าหลี่อวิ๋น หนึ่งในศิษย์ชั้นปีที่ 10 หมายเลขศิษย์คือ 22
ศิษย์ที่มีอาวุโสมากที่สุดผู้นี้แข็งแกร่งอยู่บ้าง เขาเอ่ยหน้าเครียดขึ้น “เราต้องรีบออกไปจากนี้ มันจะตามเราทันแล้ว !”
เยว่หลงซา กู่ชิงลั่ว และหานหลินเสียได้ยินแล้วก็มีใบหน้าเคร่งขรึมขึ้นในพลัน
กู่ชิงลั่วคว้าไหล่เยว่หลงซา “ไปเถอะ !”
จากนั้นทั้ง 4 คนก็พลันพุ่งตัวออกไป
ไม่นานหลังจากพวกเขาจากไป เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งก็พุ่งเข้ามายังจุดที่พวกเขาเคยรั้งอยู่
เผ่าคนเถื่อนคนนี้ดูตัวเล็กกว่าคนอื่น ๆ ในกลุ่มคนเถื่อนเล็กน้อย อีกทั้งยังไม่มีขวานรบอยู่บนหลัง หากแต่ทั่วทั้งร่างเต็มไปด้วยอักขระสีน้ำเงิน ที่จมูกมีห่วงคล้อง กระทั่งบนใบหน้ายังมีอักขระสลักอยู่
เขาเห็นซากยาบนพื้น เงยหน้าสูดกลิ่นในอากาศแล้วก็ได้กลิ่นที่ยังคงเหลือค้างอยู่ เผ่าคนเถื่อนพลันเอียงคอเล็กน้อยก่อนจะไล่ตามกลุ่มคนต่อไป
เขาไล่ล่าคน 4 คนด้วยตัวคนเดียว !
ขณะเดียวกันนั้นเอง ที่อีกมุมหนึ่งในซากโบราณ
“อ๊ากกก !!!”
หลังจากเสียงกรีดร้องสะเทือนขวัญดังขึ้น เผ่าคนเถื่อนคนหนึ่งก็บีบหัวศัตรูด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
ที่ปลายเท้ามีร่างไร้หัวสองร่างนอนแผ่อยู่
“โบร๋วววว !”
เผ่าคนเถื่อนคนนี้สังหารคนไป 3 คนด้วยตัวคนเดียว เขาเงยหน้าขึ้นส่งเสียงหอนอย่างดุดัน