ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 145 สร้างที่มั่น
บทที่ 145 สร้างที่มั่น
เมื่อผีเยวี๋ยนหงฟื้นขึ้นมา ซูเฉินก็ไม่อยู่ในถ้ำแล้ว เจียงหานเฟิงนั่นอยู่ในนั้นแทน กำลังมองขวดยาในมือเขม็ง คล้ายกับกำลังใช้เข็มคัดลอกลายบางอย่างอยู่
“นี่ เจ้าทำอะไรน่ะ ?” ผีเยวี๋ยนหงฝืนเอ่ยออกมา
เจียงหานเฟิงสะดุ้งเฮือก มือพลันสะท้าน
ฉึก !
ปลายเข็มจึงแทงลงไปทันใด
เจียงหานเฟิงบุ้ยปากทันที “ศิษย์พี่แปด อย่าทำข้าตกใจสิ”
เขาค่อย ๆ ดึงเข็มออกแล้วนวดจุดที่ถูกเข็มตำ จากนั้นเหลือบมองผีเยวี๋ยนหงแล้วก็หัวเราะ “ศิษย์พี่แปด ท่านดูดีขึ้นมาก”
“อืม เจ้าซูเฉินนั่นเก่งเรื่องหยูกหยาไม่น้อย ถึงจะไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไรก็เถอะ”
ไม่ค่อยแข็งแกร่งเท่าไรหรือ ?
เจียงหานเฟิงยิ้มขื่น คิดกับตนเอง เป็นเพราะท่านยังไม่เห็นซากคนเถื่อน 2 ร่างในห้องทดลองของเขาอย่างไรเล่า
ผีเยวี๋ยนหงถามขึ้น “ว่าแต่ ซูเฉินไปไหนหรือ ?”
เจียงหานเฟิงตอบ “พอเห็นว่าท่านอาการดีขึ้น เขาก็เข้าไปล่าอสูรร้ายในป่า”
“ยังจะเข้าไปล่าอสูรอีกหรือ ?”
“ถูกต้อง เขาเอ่ยว่าท่านต้องการสารอาหาร และเขาก็ต้องรวบรวมสมุนไพรอีกมากเพื่อนำมาใช้ปรุงยา”
“อ้อ” ผีเยวี๋ยนหงค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้ามา เขายังรู้สึกอ่อนแรงอยู่บ้าง แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ยืนตัวตรงได้ เดินได้อย่างไร้ปัญหา
เจียงหานเฟิงเหลือบมองอีกฝ่าย นั่งครุ่นคิดสักพักแล้วหัวเราะขึ้น “ศิษย์พี่แปด อยู่ในนี้มา 2 วันท่านคงอึดอัดไม่น้อยกระมัง ? ท่านไม่ออกไปเดินกับข้าสักหน่อยหรือ ? มา ๆ ข้าจะพาท่านเดินดูรอบ ๆ เอง”
“ก็ดี” ผีเยวี๋ยนหงเริ่มเดินออกมา
เจียงหานเฟิงนำผีเยวี๋ยนหงเดินรอบเขาเล็กน้อย ก่อนจะพาผีเยวี๋ยนหงไปยังถ้ำใกล้ ๆ กันแล้วเอ่ยขึ้น “นี่คือห้องทดลองของศิษย์พี่สาม ท่านไม่อยากเข้าไปดูหน่อยหรือ ?”
“ในนั้นมีอะไรน่าดูหรือไร ?” ผีเยวี๋ยนหงตอบส่ง ๆ
“ท่านเข้าไปดูก่อนเถอะ ในนั้นมีของน่าประทับใจอยู่” เจียงหานเฟิงหัวเราะคิกคักแปลก ๆ
ผีเยวี๋ยนหงเห็นอีกฝ่ายหัวเราะแปลก ๆ แล้วก็พึมพำกับตนเอง “เจ้ามีแผนอะไรของเจ้า ?”
จากนั้นเขาก็เดินเข้าไป
ทันใดนั้น ร่างเขาก็ชะงักไปอย่างเห็นได้ชัด
บนกำแพงมีศพเผ่าคนเถื่อนสองร่างถูกห้อยไว้ ใบหน้าแต่ละคนเจ็บปวดเป็นยิ่งนัก ผีเยวี๋ยนหงพลันรู้สึกถึงคำที่ตนเอ่ยไปเมื่อก่อนหน้า
เขาหันไปมองเจียงหานเฟิง “ฝีมือเขาหรือ ?”
“อืม” เจียงหานเฟิงทำทีเป็นยักไหล่ไม่ใส่ใจ
————————————
2 ชั่วยามต่อมาซูเฉินก็กลับมา หากแต่ไม่ได้กลับมาโดยลำพัง
เขากลับมาพร้อมคนอีก 2 คน
เมื่อเจียงหานเฟิงเห็นพวกเขาก็รีบวิ่งร้องดีใจออกไป “ศิษย์พี่หญิงสอง ศิษย์พี่หก พวกท่านก็มาด้วย !”
เป็นศิษย์อันดับ 2 ชีเว่ยเยี่ยน และอันดับ 6 ฉู่อันยี่นั่นเอง พวกเขานับเป็นเหล่าผู้แข็งแกร่งในกลุ่มมนุษย์ ต่างคนต่างอยู่ในสถาบันเป็นปีสุดท้ายแล้ว
ชีเว่ยเยี่ยนเห็นเขาแล้วก็หัวเราะ “จ้าวซินบอกพวกเราว่าซูเฉินอยู่ที่นี่ พวกเราจึงเดินทางมาดู สุดท้ายก็เจอกันระหว่างทาง”
เจียงหานเฟิงได้ยินแล้วก็ถอนใจ “ข้าก็กังวลว่าพวกท่านจะได้รับบาดเจ็บกันไปแล้วเสียอีก”
“อย่าแช่งสิ !” ฉู่อันยี่ตบหลังหัวเจียงหานเฟิงด้วยความเอ็นดู
ชีเว่ยเยี่ยนหัวเราะก่อนเดินมากอดเจียงหานเฟิง “ได้เห็นพวกเจ้านี่ดีจริง เหล่าผี ดูท่าเจ้าอาการดีขึ้นแล้วนี่”
“อืม” ผีเยวี๋ยนหงฮึ่มฮั่มตอบ
ชีเว่ยเยี่ยนดูงงไปเล็กน้อยกับใบหน้าขุ่นเคืองของอีกฝ่าย “เกิดอะไรขึ้นหรือ ?”
ซูเฉินหัวเราะ “เขาว่าครั้งหน้าเขายอมตายดีกว่าให้ข้าช่วย…… ช่วยเขาครั้งนี้ ข้าเกือบต้องแยกร่างเขาแล้ว”
“……”
แล้วทุกคนก็หัวเราะ
หลังจากคุยเล่นกันสักพักหนึ่ง ทั้ง 4 คนก็หาที่นั่งลงคุยกัน
ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ยกับซูเฉิน “เจ้าว่าเราควรทำอย่างไรต่อ ?”
ซูเฉินเพียงส่ายหัว “ก่อนจะเจอตัวจี้ลั่วอวี่ ข้าว่ายังเร็วไปที่จะเริ่มวางแผนใด ภารกิจในตอนนี้ของเราคือการค้นหาทุกคนแล้วค่อยคิดหาทางต่อ”
ชีเว่ยเยี่ยนพยักหน้า “ข้าเห็นด้วย แต่หากเป็นเช่นนั้นเราคงยังต้องแยกกันทำภารกิจก่อน”
“เราทำอะไรไม่ได้หรอก ซากโบราณนี่ใหญ่เกินไป จะรวมตัวให้ครบทุกคนคงยาก” ฉู่อันยี่พูดขึ้น
ทุกคนรู้ดีกว่าเมื่อรวมกลุ่มกันแล้วพวกเขาจะแกร่งขึ้น แต่หากเกาะกลุ่มกันต่อไปเรื่อย ๆ ความสามารถในการสำรวจซากโบราณด็จะถูกจำกัด เช่นนั้นแล้วเอาชนะเผ่าคนเถื่อนไปก็ไม่ได้อะไรมากนัก
ภารกิจหลักในครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ แต่เป็นการเก็บเกี่ยวทรัพยากรภายใน หากสังหารเผ่าคนเถื่อนได้น้อยหน่อยยอมไม่ใช่ปัญหา หรือก็คือการต่อสู้มีขึ้นเพื่อลดจำนวนการปะทะและความซับซ้อนทั้งหลายที่อาจเกิดในอนาคตเท่านั้น
แต่เผ่าคนเถื่อนย่อมไม่ได้คิดเห็นเช่นเดียวกันกับพวกเขา
“ซูเฉินเลือกสถานที่ได้ไม่เลว” ชีเว่ยเยี่ยนดึงม้วนแผนที่ที่จ้าวซินวาดออกมาดู แผนที่ม้วนนี้มีขนาดใหญ่และสมบูรณ์กว่าเดิม จากนั้นนางก็ชี้ไปยังขอบของแผนที่ “จ้าวซินค้นพบเขตสุดขอบของซากโบราณแล้ว ตอนนี้เราอยู่ที่ภูเขาหินตรงนี้ น่าจะใกล้กับศูนย์กลางของซากโบราณ ข้าคิดว่าเราควรทำจุดนี้เป็นฐานทัพตั้งมั่น”
ผีเยวี๋ยนหงลูบคางแล้วเอ่ยเสียงเบาขึ้น “เราตั้งฐานใหญ่ที่นี่ได้ ให้คนเจ็บมารักษาตัว ไปมาได้ตามใจอยาก สามารถพักผ่อนอยู่ที่นี่ได้อย่างปลอดภัย แต่หากเป็นเช่นนั้นก็อาจทำให้เกิดความปั่นป่วน เรียกสายตาจากเผ่าคนเถื่อนได้ ไม่นานพวกมันก็จะมุ่งมายังสถานที่นี้ หากพวกเผ่าคนเถื่อนรวมตัวกันแล้วโจมตีละก็……”
ฉู่อันยี่เอ่ยขึ้น “แม้เผ่าคนเถื่อนจะทรงพลัง แต่ก็ใจร้อน อย่างน้อย ๆ พวกมันก็ทำสิ่งใดไร้แผนการ หากมันค้นพบว่าที่นี่เป็นฐานตั้งมั่นของเรา มันคงจะเข้าโจมตีทันที ไม่รอกำลังเสริมแล้วรวมตัวกันโจมตีพวกเราหรอก”
ซูเฉินพูดขึ้นบ้าง “จะว่าเช่นนั้นก็ได้ แต่พวกที่เข้ามาในซากโบราณมีแต่พวกอัจฉริยะ เผ่ามนุษย์สร้างคนที่มีกำลังกายแข็งแกร่งขึ้นมาได้บ้าง ฉะนั้นแล้วเผ่าคนเถื่อนก็ย่อมสร้างคนที่มีสติปัญญาขึ้นได้เช่นกัน หากต้องรับมือกับศัตรูเช่นนั้นก็กล่าวได้ยากว่าจะเป็นไปอย่างที่ท่านว่า”
“เช่นนั้นเจ้าหมายความว่าเราไม่ควรตั้งฐานทัพใหญ่หรือ ?” ฉู่อันยี่ถามกลับ
ซูเฉินส่ายหัว “มีฐานทัพตั้งมั่นไว้ก็ยังเป็นเรื่องดี สามารถตั้งเป็นจุดรวมตัวได้ แต่ก็ยังต้องระวังศัตรู อาจต้องใช้ค่ายกลป้องกันหรือค่ายกลปกปิดร่วมด้วย”
“ควรมีแผนสำหรับการหลบหนี มีระบบเตือนภัย และมีวิธีใช้สื่อสารกันอย่างรวดเร็วด้วย เมื่อการป้องกันเราเข้มแข็งพอแล้วก็คงไร้ปัญหาอีก” ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ยขึ้น
ทุกคนเริ่มเสนอความคิดต่าง ๆ วางแผนการตั้งฐานทัพในเรื่องต่าง ๆ อย่างรอบคอบ
ไม่นานก็ร่างและแก้ไขการตั้งฐานทัพใหญ่ขึ้นมาได้สำเร็จ
แผนการนั้นไม่ซับซ้อนอะไร เพราะหากไม่มีจี้ลั่วอวี่ก็ไม่มีใครรู้ว่าพลังงานสูญจะรั้งอยู่ได้อีกกี่วัน นี่ยังเป็นเพียงแผนการเบื้องต้นเท่านั้น ทุกอย่างต้องยืดหยุ่นเปลี่ยนแปลงได้
หลังจากร่างแผนแล้ว ทุกคนก็เริ่มลงมือทำ
ทั้งชีเว่ยเยี่ยนและฉู่อันยี่ไม่ได้รับบาดเจ็บอันใด ดังนั้นจึงสามารถเดินทางออกตามหาสหายร่วมภารกิจคนอื่น ๆ ได้ทันที และแจ้งเรื่องฐานทัพให้คนอื่น ๆ รู้เรื่อง
เดิมทีมีเพียงจ้าวซินที่คอยแจ้งข่าวเรื่องนี้ ดังนั้นจึงไม่แปลกที่มีคนเดินทางเข้ามาน้อยนัก หากมีชีเว่ยเยี่ยนและฉู่อันยี่ช่วยเหลือด้วยคงมีโอกาสสำเร็จได้มากขึ้น
หลังจากนั้นไม่นาน ก็เริ่มมีคนเดินทางเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ
หลังจากเข้าใจแผนการแล้ว พวกเขาก็เริ่มลงมือ เริ่มบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งทุกคนรู้เรื่องฐานทัพและเคลื่อนไหวกันเกาะกลุ่มก้อน
การเกาะกลุ่มกันเช่นนี้นับเป็นหนึ่งในจุดแข็งของเผ่ามนุษย์ ในสถานการเช่นนี้มีแต่ต้องรวมกลุ่มกันไว้เท่านั้น