ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 152 หมาป่าในความมืด
บทที่ 152 หมาป่าในความมืด
“เจ้าจะบอกว่าสามคนนั้นจากไปโดยไม่คิดสู้เลยหรือ ?”
ซูเฉินนั่งอยู่บนหินก้อนใหญ่บนยอดเขาโดยมีกู่ชิงลั่วเอนร่างพิงตัวเขาอีกที
หลังจากผ่านสถานการณ์เป็นตายมาแล้ว คนทั้งคู่จึงไม่จำเป็นต้องปิดบังความชอบพอต่อกันอีกต่อไป
“ถูกต้อง เผ่าคนเถื่อนสามคนนั้นดูท่าจะมีปัญญา เมื่อเห็นว่าฝ่ายเรามีจำนวนคนได้เปรียบก็ถอยทันที ปกติแล้วเผ่าคนเถื่อนนั้นหุนหันใจร้อน แต่คนพวกนี้ดูท่าจะมีสมองไม่น้อย” เฟิงอี้กู่เอ่ยขึ้น
“ความหุนหันของพวกเขาขึ้นอยู่กับสถานการณ์ หากเรื่องเช่นนี้ยังแยกแยะไม่ได้ เผ่าคนเถื่อนก็คงไม่อยู่รอดกันมาจนถึงตอนนี้หรอก” เฮ่ออวิ๋นตงกล่าว
“คนที่ถูกส่งมาที่นี่มีแต่พวกยอดอัจฉริยะทั้งสิ้น คัดเลือกมาจากคนหลายพัน อาจารย์เคยสอนให้เรารับมือกับเผ่าคนเถื่อน อาจารย์ของพวกเขาก็คงสอนเหมือนกัน” ผีเยวี๋ยนหงพูดขึ้น
ซูเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง หากข้าเป็นอาจารย์พวกเขา แม้จะสอนเรื่องอื่นไม่ได้ แต่อย่างไรก็ต้องสอนให้รู้ว่ายามเผชิญกับศัตรูที่แกร่งกว่าต้องถอย หากศัตรูอ่อนแอกว่าต้องบุกโจมตี ถูกต้องหรือไม่ ?”
“ยังไม่หมดเท่านั้น” กู่ชิงลั่วถอนหายใจ “อาจเพราะพวกนั้นต่อสู้กับเผ่ามนุษย์มานาน พวกเขายังรู้กลยุทธ์บางอย่างของพวกเราด้วย นักรบอารามที่ไล่ล่าเรามามีนามว่าตานปา รู้จักการใช้สถานการณ์ยามตนเป็นฝ่ายได้เปรียบ เรามีสี่คนสมควรจะเอาชนะตานปาได้ด้วยซ้ำ……”
จากนั้นกู่ชิงลั่วก็เริ่มอธิบายการปะทะกับตานปาโดยละเอียด
กู่ชิงลั่ว เยว่หลงซา และคนอื่น ๆ นับว่าโชคดีนักในช่วงแรก เข้าซากโบราณมาไม่นานก็พบกันแล้ว
แม้จะเผชิญหน้ากับคนหนุ่มสาวเผ่าคนเถื่อนถึง 2 ครั้ง แต่ก็พึ่งพากันและกันและเอาชนะการต่อสู้ทั้ง 2 ครั้งไปได้ หากแต่เผ่าคนเถื่อนเองก็ได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดีเช่นกัน รู้จักถอยเมื่อสู้ไม่ไหว ดังนั้นการต่อสู้ทั้ง 2 ครั้งจึงตัดสินเด็ดขาดไม่ได้ มีเพียงคนอีกฝ่ายคนหนึ่งบาดเจ็บหนักกลับไปเท่านั้น
ไม่นานพวกนางก็พบกับตานปา
ตานปาผู้นี้ไม่ธรรมดา กระโจนเข้าเผชิญหน้ากับคน 4 คนด้วยตัวคนเดียวไม่เกรงกลัวสิ่งใด
แม้สุดท้ายจะถูกบีบให้ถอยไป แต่ทุกคนไม่คิดว่าตานปาจะแสร้งทำทีเป็นถอยไปเท่านั้น หากแต่แท้จริงแล้วกลับติดตามพวกเขามาและซู่มโจมตียามค่ำคืนแทน
กลับมาครานี้ตานปาประมาณกำลังไว้แล้ว กู่ชิงลั่วและเยว่หลงซาคือ 2 คนที่มีฝีมือแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มคน 4 คน ตามมาด้วยหลี่อวิ๋นและสุดท้ายคือหานหลินเสียที่อ่อนแอที่สุด
หากเขาสามารถสังหาร 1 ใน 2 คนที่แข็งแกร่งได้ แม้จะสู้กัน 3 ต่อ 1 เขาก็มั่นใจว่าตนจะชนะ
หากแต่แผนการของเขามีจุดบกพร่องอยู่เล็กน้อย
นั่นคือเป้าหมายของเขาเป็นเยว่หลงซา
ตอนกลางวันที่ได้ประมือกัน ดาราเยือกแข็งของกู่ชิงลั่วทิ้งความประทับใจตราตรึงไว้ให้ตานปาไม่น้อย ดังนั้นเขาจึงคิดว่านางคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด ดังนั้นเพื่อจะได้ลอบสังหารในคราเดียวได้สำเร็จ ตานปาจึงหมายจะสังหารเยว่หลงซาแทน
จริง ๆ แล้วก็นับเป็นการตัดสินใจที่มีเหตุผล อย่างไรหากกู่ชิงลั่วหรือเยว่หลงซาถูกสังหารไปสักหนึ่ง ที่เหลือก็จัดการได้ไม่ยาก
หากแต่เขาไม่รู้ว่าเยว่หลงซามีสายเลือดกระต่ายจันทรา ทำให้นางยิ่งแข็งแกร่งยามค่ำคืน ดังนั้นแม้ในตอนกลางวันเยว่หลงซาจะด้อยกว่ากู่ชิงลั่ว แต่ในยามราตรีกู่ชิงลั่วจะอ่อนแอกว่าเยว่หลงซาอยู่เล็กน้อย
จึงกลายเป็นว่าเขาดันเลือกเป้าหมายลอบสังหารที่แข็งแกร่งที่สุดไป สุดท้ายเยว่หลงซาก็จับสัมผัสเขาได้ยามย่างกรายเข้ามา และในจังหวะสำคัญนางก็หลบการโจมตีที่รุนแรงที่สุดของเขาไปได้ ทั้งยังโต้การโจมตีกลับมา ทำให้เขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยและถูกบีบให้ต้องล่าถอย
หากแต่เยว่หลงซาเองก็บาดเจ็บเช่นเดียวกัน ดังนั้นความสามารถในการต่อสู้จึงลดลงด้วย
ทำให้กลุ่มคน 4 คนไม่กล้ารั้งรออยู่ที่นั่นอีก พากันถอยออกไป
ถึงกระนั้นตานปาก็ยังไล่ล่าพวกเขาไม่ลดละ
เขาคิดจะใช้พละกำลังมหาศาลของตนสังหารพวกมนุษย์ให้หมดในการโจมตีคราเดียว
หลังจากนั้นทุกคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อชีเว่ยเยี่ยน และคนอื่น ๆ มาช่วย เจ้าคนมั่นใจผู้นั้นก็ไม่ถอย กลับกล้าลอบโจมตีต่อไปไม่หยุดหย่อน แม้จะไม่สำเร็จแต่ก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวอยู่ตลอดได้ เขาติดตามกลุ่มคนมาเรื่อย หาจังหวะโจมตีอยู่ตลอด และจังหวะในครั้งนี้ก็เกือบเอาชีวิตคนทั้งหมดไปได้
อาจพูดได้ว่าตานปาแกร่งกว่าพวกเขาทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
ซูเฉินเริ่มรู้สึกว่าตานปานั้นคล้ายกับคนรู้จักของเขาคนหนึ่ง
อวิ๋นเป้า
เมื่อตอนนั้น ครั้งที่จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ พยายามชิงวานรยักษ์เหล็กกล้าไป แผนการของอวิ๋นเป้านั้นคล้ายกับของตานปานัก หากแต่ซูเฉินหยุดอวิ๋นเป้าไว้ไม่ให้ใช้การโจมตีแบบกองโจรกับอีกฝ่าย
หลังจากฟังเรื่องราวที่เกิดขึ้นแล้ว เจียงหานเฟิงพลันเอ่ยขึ้น “เช่นนั้นก็เป็นไปได้ว่าตานปาไม่ได้จากไปไหน แต่กลับติดตามและคอยจับตาดูเราอยู่ตลอดเลยงั้นหรือ ?”
สีหน้าเยว่หลงซาทะมึนลง “เป็นไปได้สูงทีเดียว !”
เฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ เอ่ยขึ้น “ตอนนี้เรามีปัญหาแล้วกระมัง”
หากตานปาไม่ได้หนีแล้วติดตามพวกเขามา เช่นนั้นก็หมายความว่าจุดนัดพบบนเขาอาจจะถูกค้นพบแล้วก็เป็นได้
แผนการเดิมของทุกคนคือการตั้งสถานที่นี้เป็นฐานทัพใหญ่ โดยให้แต่ละกลุ่มเดินทางไปมาและกลับมารวมกันยังสถานที่นี้ ดังนั้นจะสามารถรวบรวมทรัพยากรได้เร็ว และสามารถรวมกลุ่มปกป้องตนเองได้ แต่หากสถานที่ถูกค้นพบ ศัตรูก็จะสามารถเดาความเคลื่อนไหวได้ กลายเป็นว่าตกอยู่ในอันตรายแทน
กระทั่งการแยกคนกลุ่มหนึ่งออกไปทำภารกิจบางอย่างก็อาจเปิดช่องให้ตานปาลงมือได้แล้ว
แต่หากพวกเขาไม่แยกกัน ตานปาและสหายคนอื่น ๆ ย่อมสามารถสยบพวกเขาได้เป็นแน่
แม้อาจจะสยบพวกเขาไม่สำเร็จ แต่เฮ่ออวิ๋นตง ซูเฉิน และคนอื่น ๆ ย่อมไม่อยากเสี่ยง
เช่นนี้เท่ากับการยอมทิ้งโอกาสที่สร้างขึ้นเพื่อสหานร่วมกลุ่มโดยแท้
“เราต้องหาวิธียืนยันว่าตานปาอยู่ในบริเวณนี้ !” ซูเฉินเอ่ย
“แล้วจะทำอย่างไร ? หากคนเยอะไปเขาไม่ปรากฏตัวแน่ แต่หากมีน้อยก็จะอันตรายเกินไป” สือเจียงป๋อแนะ
“เช่นนั้นก็ควรใช้คนที่ดูท่าทางจะหนีไปไหนไม่ได้ แต่แท้จริงแล้วทำได้” ซูเฉินตอบ
หือ ? หมายความว่าอย่างไร ?
“อย่างแรกต้องหาคนที่ตานปาเชื่อว่าตนเองจะสามารถประมือได้ก่อน……” ซูเฉินเหลืบมองกู่ชิงลั่ว และคนอื่น ๆ
กู่ชิงลั่ว เยว่หลงซา และคนอื่น ๆ นั้นว่องไวพอตัว หากไม่ใช่เพราะถูกหานหลินเสียรั้งไว้ก็คงหนีออกมาได้นานแล้ว
ดังนั้นใช้พวกเขาเป็นเหยื่อย่อมไม่เหมาะ
หานหลินเสียเองก็อ่อนแอไป
สุดท้ายซูเฉินก็มองไปทางหลี่อวิ๋นและฉู่อันยี่
เขาหันไปพูดกับหลี่อวิ๋น “ศิษย์พี่หลี่ ความเร็วของท่านเทียบกับตานปาแล้วเป็นอย่างไร ?”
“ไม่ต่างกันมาก แต่ถ้าพวกนั้นมีหลายคนเข้าโจมตีข้าคงไม่มีโอกาสหลบหนี” หลี่อวิ๋นตอบ
ซูเฉินโยนยาเคลื่อนกายดั่งลมไปให้ “ใช้เจ้านี่น่าจะเพียงพอ”
หลี่อวิ๋นรับมันมา จากนั้นตาพลันเป็นประกาย “เช่นนี้ข้าหนีทันแน่ !”
ตอนนี้วางแผนกันเรียบร้อยแล้ว เหลือเพียงดำเนินตามแผนการเท่านั้น
ในวันนั้น หลังจากหลี่อวิ๋นลงจากเขาไปเพียงลำพัง คนอื่น ๆ ก็พากันจับตาดูความเคลื่อนไหวของเขาจากยอดเขา
หลี่อวิ๋นหายไปจากสายตาแล้ว แต่ไม่มีใครเห็นตานปาหรือคนอื่น ๆ ปรากฏตัวขึ้นเลย
จนกระทั่งครึ่งชั่วยามผ่านไป หลี่อวิ๋นก็ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง เขาเคลื่อนกายรวดเร็วดั่งวาโยมายังทิศทางพวกเขา
แม้จะไม่เห็นว่ามีใครกำลังไล่ตามอยู่ แต่ดูจากสภาพสะบักสะบอมของหลี่อวิ๋นแล้วก็รู้ได้ว่าตานปาคงอยู่ไม่ไกลเป็นแน่
“ดูท่าจะถูกหมาป่าหมายตาเข้าแล้ว” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยเสียงทุ้ม สายตาจับตามองไปทางหลี่อวิ๋น
“คราวนี้เราต้องการวิธีจัดการตัวปัญหาเช่นเขา” ซูเฉินเอ่ยขึ้น
“แล้วจะทำอย่างไร ? คนเยอะไปอีกฝ่ายก็หนี คนน้อยไปอีกฝ่ายก็ตาม คนพวกนี้รู้จักพลิกสถานการณ์นัก” กู่ชิงลั่วเอ่ยเสียงกังวล
“เช่นนั้นก็ต้องสร้างสถานการณ์ที่พวกเขาไม่คิดอยากหนี” ซูเฉินตอบ
“เช่นนั้นคงยาก” หวังโต้วซานเอ่ย เริ่มรู้สึกถึงเค้าลางอาการปวดขมับ “คนผู้นี้ได้รับการสั่งสอนมาเป็นอย่างดีแน่ เขาไม่ยอมเอาตนเองไปเสี่ยงกับอันตรายเกินควรแน่นอน”
“ถูกต้องแล้ว แต่ยังมีอยู่สถานการณ์หนึ่งที่แม้ตัวจะตายแต่พวกเขาจะไม่ล่าถอยแน่นอน” ซูเฉินตอบ
“เป็นสถานการณ์แบบไหนกัน ?” ทุกคนส่งสายตามาทางซูเฉินนิ่ง
ซูเฉินตอบ “การต่อสู้ตัวต่อตัว !”
“ทาคุชา !”