ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 163 ประชุม
บทที่ 163 ประชุม
“ยืนยันได้แล้วว่าที่นั่นเคยเป็นสถานที่ทดลองของปรมาจารย์อาร์คาน่ามาก่อน โดยจุดทดลองอยู่บนยอดเขา หากแต่ภูเขานั่นมีค่ายกลพลังต้นกำเนิดล้อมรอบอยู่จึงกลายเป็นเขตหวงห้าม” เฮ่ออวิ๋นตงเอ่ยพร้อมกางแผนที่แล้วชี้ภาพภูเขาสูง
บนยอดเขาหิน ณ ตอนนี้ กำลังมีการประชุมเล็ก ๆ ของศิษย์หมายเลขระดับสูงกันอยู่
คำว่า ‘เขตหวงห้าม’ เป็นคำศัพท์ที่ใช้กันเมื่อเข้ามาในซากโบราณ หมายถึงสถานที่ที่เต็มไปด้วยอันตรายและมีค่ายกลจำกัดพื้นที่อยู่
เขตหวงห้ามนั้นกระจายตัวไปทั่วซากโบราณ ด้วยเป็นสถานที่ที่อาณาจักรอาร์คาน่าหลงเหลือไว้ ทุกซากโบราณจะมีเขตหวงห้ามอยู่ ดังนั้นซูเฉินและคนอื่น ๆ จึงไม่รีบรุดหน้าเข้าไป
ด้วยการฝ่าเข้าไปในเขตหวงห้ามจำต้องใช้กำลังคนทั้งหมดเพื่อทำให้ภารกิจสำเร็จเสร็จสิ้น !
เพราะเหตุนี้ แม้จะยังหาทุกคนไม่พบแต่ก็ส่งกลุ่มย่อยออกไปหาทรัพยากรแล้ว ไม่เพียงแต่สามารถออกตามหาคนอื่น ๆ ได้ แต่ยังสามารถจัดการภารกิจที่ง่ายที่สุดก่อนจะต้องรับมือกับเรื่องยาก
แผนที่ซากโบราณนั้นร่างมาสำเร็จแล้วในระดับหนึ่ง จ้าวซินที่เป็นคนวาดแผนที่จนสมบูรณ์เดินทางกลับมายังเขาหินได้สักระยะหนึ่งแล้ว
จ้าวซินทุ่มกำลังในการทำแผนที่จนเสร็จ ดังนั้นแผนที่ที่ออกมาจึงมีรายละเอียดมาก คล้ายกับมองพื้นที่บนภูเขาจากมุมสูง
ดูจากแผนที่แล้ว บนภูเขามีปราสาททรงวงแหวนขนาดใหญ่ตั้งอยู่บนยอด แต่เป็นเพราะมีพื้นที่ยื่นออกมาจากยอดเขาจึงดูราวกับเป็นปราสาทที่ลอยอยู่กลางอากาศ
และตอนที่กล่าวว่าเขตหวงห้ามนั้น เฮ่ออวิ๋นตงหมายถึงภูเขาทั้งลูก
เฮ่ออวิ๋นตงเคยพยายามจะเข้าปราสาทนั่นมาก่อน แต่ในกลุ่มไม่มีใครเชี่ยวชาญด้านค่ายกลพลังต้นกำเนิดเลย แต่ละย่างก้าวจึงอันตรายยิ่ง ทำให้สุดท้ายมุ่งหน้าเข้าไปได้ไม่เท่าไรก็ต้องถอยออกมา
แต่อย่างไรการเดินทางในครั้งนี้ก็มาเพื่อสำรวจเส้นทางเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเดินทางมาเพื่อทำภารกิจใหญ่ใดให้สำเร็จ
และเมื่อกลุ่มย่อยที่ทำการสำรวจเริ่มบอกเล่าข้อมูลต่าง ๆ ที่เก็บและค้นหามาได้จากปราสาท ศิษย์ที่เชี่ยวชาญด้านค่ายกลพลังต้นกำเนิดก็เริ่มจดบันทึกสิ่งต่าง ๆ ลงไปเพื่อจะได้ทำการเตรียมพร้อมรับมือกับค่ายกล
ตอนนี้เกือบทุกคนมารวมตัวกันแล้ว ดังนั้นจึงทำการตรวจสอบภูเขาสูงขั้นต้นจนสำเร็จ ขั้นต่อไปจะได้เริ่มวางแผนเพื่อทำการเดินทางสู่ภูเขาสูงลูกนั้น
หากแต่ซูเฉินพลันถามขึ้น “ใช่แล้ว พวกเจ้าเจอเผ่าคนเถื่อนบนเขาลูกนั้นหรือไม่ ?”
เสิ่นอวี้เฉิงตอบ “เจออยู่สองครั้ง แต่ไม่มีมารโลหิต”
เผ่าคนเถื่อนไม่เรียนรู้เรื่องการปรุงยาหรือเรื่องค่ายกลพลังต้นกำเนิด แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาไม่อาจรับมือกับสองสิ่งนี้ได้
ยังมีคนในเผ่าคนเถื่อนที่รู้จักกันในนามมารโลหิต คนเหล่านี้เชี่ยวชาญในการรับมือกับค่ายกลพลังต้นกำเนิด ผ่านโทมเทมรอยสลักบนร่างที่ทำให้มีพลังมหาศาลใช้ต้านค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้ ทั้งยังสามารถรบกวนการทำงานของค่ายกลได้ หากแต่มารโลหิตมักพึ่งพาเพียงความแข็งแกร่งทางร่างกายเพื่อทำลายค่ายกลพลังต้นกำเนิด ดังนั้นการทำลายแต่ละครั้งจึงได้รับบาดเจ็บหนัก ด้วยการทำลายค่ายกลพลังต้นกำเนิดทั้งหลายจะทำให้ตนเองบาดเจ็บ และหากมีบาดแผลเช่นนี้ต่อไปเรื่อยก็อาจตายได้
หรือก็คือพวกเขาไม่รู้จักวิธีวางค่ายกล แต่รู้จักวิธีทำลายมัน นับเป็นเผ่าที่เกิดมาเพื่อการทำลายล้างโดยแท้
แต่เผ่าคนเถื่อนกลับมีวิธีที่เรียบง่ายยิ่งนักวิธีหนึ่ง นั่นคือการทำตามพวกมนุษย์
หลังจากทำการต่อสู้กันมานานนับพันปี เผ่าคนเถื่อนที่เป็นชนเผ่านักล่าก็เริ่มพัฒนาวิธีรับมือกับข้อบกพร่องและจุดอ่อนของตนเอง สำหรับพวกเขาแล้ว มนุษย์นั้นเป็นทั้งศัตรูคู่อาฆาตและเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้ประโยชน์ได้
ดังนั้นจึงไม่มีใครแปลกใจที่เผ่าคนเถื่อนไม่นำมารโลหิตมาด้วย
“ที่เจอทั้ง 2 ครั้งนั่นเป็นสถานที่เดียวกันหรือไม่ ?” ซูเฉินถาม
“ไม่” เสิ่นอวี้เฉิงตอบพลางส่ายหัว
ใน 2 ครั้งที่พวกเขาพบเผ่าคนเถื่อน ครั้งหนึ่งคือบนเขา ตอนนั้นอีกฝ่ายกำลังพยายามทำลายค่ายกลพลังต้นกำเนิด แต่ดูแล้วไม่มีใครสามารถฝ่ามันเข้าไปได้ ดังนั้นเสิ่นอวี้เฉิงจึงมั่นใจว่าอีกฝ่ายไม่ได้นำมารโลหิตมา อีกครั้งหนึ่งคือที่ชายแดนภูเขา พวกเขาพบกับเผ่าคนเถื่อน 3 คนโดยบังเอิญ อีกฝ่ายพุ่งเข้ามาหมายจะต่อสู้ แต่เฮ่ออวิ๋นตงและคนอื่น ๆ ไม่คิดสู้จึงรีบล่าถอยออกมาในทันที
ซูเฉินครุ่นคิดชั่วครู่หนึ่ง “เผ่าคนเถื่อนอาจจะยังมารวมตัวกันไม่หมด”
“เจ้ามั่นใจหรือ ?” ทุกคนรู้สึกราวกับมีความฮึกเหิมเพิ่มมากขึ้น
รวมกลุ่มแล้วกับยังไม่รวมกลุ่ม สองอย่างนี้แตกต่างกันยิ่งนัก
ซูเฉินดึงกระดาษแผ่นหนึ่งออกมา มันเต็มไปด้วยข้อมูลการพบเจอเผ่าคนเถื่อนในหลายวันที่ผ่านมา
ซูเฉินเอ่ย “ดูนี่ เมื่อ 3 วันก่อนชิงลั่วและคนอื่น ๆ พบกับเผ่าคนเถื่อน 2 คนใกล้ป่าแห่งนี้ ก่อนที่ 2 วันต่อมา เผ่าคนเถื่อนอีก 3 คนก็จะปรากฏตัวขึ้นตรงนั้นเช่นกัน การเข้าไปยังสถานที่ที่ไม่เหลือทรัพยากรแล้วหมายความว่าพวกเขายังไม่ได้รับข้อมูลเส้นทางจากคนอื่น ๆ หรือก็คือมีเผ่าคนเถื่อน 5 คนปรากฏขึ้นในแถบนี้ติดต่อกัน แต่ปรากฏตัวขึ้นใน 3 สถานที่ จึงดูท่าจะยังแยกกลุ่มต่อสู้กันอยู่ ยังไม่ได้รวมกันเป็นกลุ่มใหญ่”
อีกฝั่งไม่มีจ้าวซินตาเหยี่ยวที่คอยเสาะหาศิษย์คนอื่น ๆ และไม่มีซูเฉินที่เป็นคนจัดการเรื่องการตั้งฐานทัพใหญ่ ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องง่ายที่เผ่าคนเถื่อนจะสามารถทำงานร่วมกันได้ ที่สำคัญคือรวมกลุ่มแล้วอย่างไร ? หากทำการค้นหาทรัพยากรเป็นกลุ่มจะยิ่งทำให้ล่าช้า อีกทั้งตอนนี้พวกเขาก็มีกำลังไม่พอจะฝ่าเข้าไปในห้องทดลองนั่น ยิ่งถ้าหากพบมนุษย์เข้า หากอยากปะทะกันอีกฝ่ายก็ต้องมีใจคิดสู้ ดังนั้นแม้จะมีการรวมกลุ่มกันเป็นบางครั้ง แต่ไม่นานก็แยกย้ายกันไปทำให้เกิดเรื่องเช่นนี้
แต่เรื่องเช่นนี้จะไม่ดำเนินต่อไปนานนัก เมื่อทำการเก็บเกี่ยวทรัพยากรไปจนหมดแล้ว เผ่าคนเถื่อนก็จะหันมาสนใจห้องทดลองอีกครั้ง
และถึงตอนนั้น เผ่าคนเถื่อนจะต้องรวมกลุ่มกันเป็นแน่
พวกเขาส่งกลุ่มย่อยออกไปเก็บทรัพยากรจำนวนมากทุกวัน ดังนั้นซูเฉินจึงเข้าใจสถานการณ์ทรัพยากรในปัจจุบันเป็นอย่างดี ว่าตอนนี้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งหลายในซากโบราณใกล้จะหมดลงเต็มที
“2 วันเป็นอย่างมาก เรามีเวลา 2 วันก่อนที่ทรัพยากรจะถูกเก็บไปจนหมด ถึงตอนนั้นเผ่าคนเถื่อนจะเริ่มตั้งกลุ่มแน่” ซูเฉินเอ่ย “ช่วงเวลา 2 วันนี้คือช่วงเวลาที่เราได้เปรียบ ข้าแนะนำว่าเราไม่จำเป็นต้องรีบร้อนขึ้นภูเขาทางเหนือ อย่างไรมันก็ไม่มีท้าเดินหนีเราไปไหนได้ อีกทั้งยังมีเวลาอีกมากให้เราค้นภูเขาทั้งลูก เป้าหมายในตอนนี้ของเราคือการใช้เวลา 2 วันนี้เพื่อลดความแข็งแกร่งของเผ่าคนเถื่อนลงให้ได้ !”
ตอนนี้ความแตกต่างระหว่างความแข็งแกร่งของสองฝ่ายมีมากเกินไป
เดิมทีช่วงเวลาปั่นป่วนก่อนหน้านี้เป็นประโยชน์ต่อเผ่าคนเถื่อน ยามเหล่าศิษย์ยังกระจัดกระจายไม่รวมตัว เผ่าคนเถื่อนก็จังมีกำลังเหนือกว่า มีแต่ต้องรวมตัวกันเท่านั้นที่เหล่ามนุษย์จะถือไพ่เหนือกว่าได้บ้าง
ซึ่งความพยายามทั้ง 2 ครั้งของซูเฉินก็สังหารเผ่าคนเถื่อนไป 4 คน หนึ่งในนั้นเป็นนักรบอาราม จนช่วยลดข้อเสียเปรียบของฝั่งมนุษย์ลง ทำให้ตอนนี้ทั้งสองฝ่ายมีจุดยืนเทียบเท่ากันแล้ว
สำหรับมนุษย์แล้ว สิ่งนี้คือข้อได้เปรียบจุดใหญ่ เป็นเพราะตอนนี้พวกเขาสามารถรวมกำลังกันเผยจุดได้เปรียบของตนได้อย่างเต็มที่
ด้วยเหตุนี้ ซูเฉินจึงหวังจะใช้ข้อได้เปรียบเรื่องเวลาในการรับมือกับเผ่าคนเถื่อนก่อน
เฮ่ออวิ๋นตงพยักหน้า “ตำราพิชัยสงครามซุนจื่อกล่าวไว้ว่าหากรักษาดินแดนแต่สูญเสียผู้คน สุดท้ายจะเสียไปทั้งสองอย่าง แต่หากรักษาผู้คนยอมเสียดินแดน สักวันก็จะสามารถชิงเอาสิ่งที่เสียไปกลับมาได้ ข้าสนับสนุนข้อเสนอของซูเฉิน อย่างไรห้องทดลองนั่นก็ไม่เคลื่อนย้ายไปไหนอยู่แล้ว ข้าว่าเรารีบจัดการกับเผ่าคนเถื่อนบัดซบพวกนี้ก่อนจะดีกว่า”
ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ย “แต่เวลาเพียง 2 วันเช่นนี้ไม่ง่ายนัก เผ่าคนเถื่อนพวกนั้นไม่ได้โง่มาก ยามต่อสู้ก็มีเล่ห์กลไม่น้อย หากรู้ว่าอย่างไรก็ไม่ชนะจะไม่ลงมือต่อสู้เด็ดขาด หากเราส่งคนไปน้อยเกินไปก็ไม่แน่ว่าจะชนะได้ แต่หากส่งมากไปพวกเขาก็ไม่คิดสู้ อีกทั้งพวกเขายังเคลื่อนกายได้ว่องไวเช่นกัน”
“กระทั่งหมาป่าที่เจ้าเล่ห์ที่สุดยังไม่อาจรอดพ้นเงื้อมือของนักล่ามากประสบการณ์ได้” ซูเฉินกล่าวเสียงสงบ