ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 167 การโจมตีฉับพลัน
บทที่ 167 การโจมตีฉับพลัน
“ระวัง !”
ไม่รู้ว่าเป็นเสียงใครที่ร้องเตือนขึ้น พริบตาหลังจากนั้นการโจมตีก็ถูกซัดเข้ามา
พวกเขาไม่อาจมองเห็นสิ่งใดแต่ก็ไม่สำคัญนัก หากสามารถซัดการโจมตีออกไปรอบข้างได้ก็นับว่าดีมากแล้ว
คลื่นพลังต้นกำเนิดพุ่งออกไปราวกับคลื่นน้ำรุนแรง พริบตานั้นเสียงกรีดร้องของสัตว์อสูรก็ดังขึ้นฟ้า ไม่มีใครรู้ว่ามีอสูรร้ายจำนวนเท่าไรที่บุกเข้ามาทางพวกเขา
แต่ฟังจากเสียงแล้วดูไม่น้อยเลย
ตอนนั้นเอง คำร้องเตือนของอวิ๋นเป้าก็ไร้ค่า เป็นเพราะมีอสูรร้ายอยู่ทุกที่
หวังโต้วซานพลันเปลี่ยนสีหน้า “บัดซบ อสูรร้ายพวกนี้มันอะไรกัน ? หรือมันจะร่วมมือกับค่ายกลต้นกำเนิดหรือ ?”
“ข้าก็ไม่รู้ !” เว่ยหยางร้องบอก “ไม่น่าจะเป็นเช่นนั้นได้ !”
“ช่างเรื่องเป็นไปได้ไม่ได้เถอะ ตอนนี้เราต้องใส่ใจการต่อสู้ตรงหน้า ! ปกป้องลั่วอวี่ จ้าวซิน และคนอื่น ๆ!” ซูเฉินคำราม
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงลูกแล้วลูกเล่าก่อร่างขึ้น
แม้จะมองไม่เห็นสิ่งใด แต่ประสาทการรับเสียงของเขาแม่นยำนัก สามารถรู้ได้ว่าเหล่าอสูรร้ายรวมตัวกันอยู่ตรงจุดไหนมากที่สุด เขาสะบัดมือคราหนึ่ง เหยี่ยวเพลิงก็ทะยานสูงหายออกไปจากหมอกหนา ก่อนจะปะทะเข้ากับบางอย่าง ส่งผลให้เกิดเสียงร้องด้วยความเจ็บปวดเคล้าความโกรธเกรี้ยว
เมื่อทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตแล้ว พละกำลังของเขาก็เพิ่มขึ้นสูง รวมทั้งความรุนแรงของระเบิดเหยี่ยวเพลิงด้วย เขาสามารถปล่อยระเบิดเหยี่ยวเพลิงฉบับปรับปรุงได้หลายครั้ง อีกทั้งความรุนแรงของมันยังไม่แผ่วลงแม้แต่น้อย สังหารอสูรร้ายจำนวนมากที่ใช้หมอกพรางตัว
หากแต่อึดใจต่อมา เขาก็ได้ยินเสียงร้องหานหลินเสียดังจากข้างตน “อ๊าก !”
ซูเฉินจับตำแหน่งจากเสียงหานหลินเสียในพลันแล้วรุดเข้าไปทางนาง ก่อนพบว่าอสูรในชุดเกราะกำลังตะครุบร่างนางไว้ ทำให้ไม่มีเวลามาคิดว่ามันเป็นตัวอะไร จัดแจงส่งหมัดหนึ่งออกไปในพริบตา
สว่านทะลวงเกราะ !
เพียงหมัดเดียวก็ระเบิดหัวมันจนแหลกเหลวได้
หลังจากมีขั้นพลังด่านกลั่นโลหิต ซูเฉินก็ใช้ปราณโลหิตในวิชาสว่านทะลวงเกราะลดลงมาก และแม้จะไม่อาจใช้วิชานี้อย่างสบาย ๆ เช่นวิชาอื่น แต่อย่างน้อยก็สามารถใช้วิชาติดต่อกัน 10 ครั้งโดยไร้ปัญหาได้
หลังจากระเบิดหัวอสูรร้ายตัวนั้นไปแล้ว ซูเฉินก็ตะโกนขึ้น “อย่าผลีผลาม ทุกคนรวมกันเป็นวงกลม คนที่มีหมายเลขศิษย์ต่ำกว่า 30 ไปอยู่ตรงกลาง ลงมือเดี๋ยวนี้ !”
“เร็วเข้า ตั้งท่าตั้งรับ ! อย่าปล่อยให้อสูรร้ายเข้าใกล้ได้ !” เฮ่ออวิ๋นตงร้องขึ้น
การฝึกฝนที่ครอบคลุมทุกด้านของพวกเขาได้เห็นประโยชน์ก็คราวนี้ พวกเขาเริ่มหาคนอื่น ๆ ท่ามกลางสายหมอกจากนั้นเกาะกลุ่มกัน ใช้เสียงตะโกนและการมองเห็นที่มีอยู่จำกัดสร้างวงกลมรอบนอก คนที่มีหมายเลขศิษย์ต่ำกว่า 30 ถูกล้อมอยู่ในวงกลม แต่แม้จะได้รับการปกป้องอยู่ภายใน หากเห็นจังหวะโจมตีก็จะปล่อยพลังออกไปช่วยด้วยเช่นกัน
ตอนนี้ไม่อาจรู้ได้ว่ามีอสูรร้ายกี่ตัวในหมอกหนา แต่ยังไม่มีใครล่าถอยหรือหลบหนี แต่กลับเผยความแข็งแกร่งภายในออกมา
“บัดซบ ดูท่าข้าคงจะต้องลงแรงหน่อยแล้ว” ผีเยวี๋ยนหงสบถขึ้น ก่อนจะส่งฝ่ามือหนึ่งลงพื้น “เปิดออก !”
จากนั้นแท่งหินแหลมนับไม่ถ้วนก็ผุดขึ้นจากพื้น
ฉัวะ ! ฉัวะ ! ฉัวะ !
อสูรร้ายถูกหินแหลมเสียบทะลุร่างราวกับเนื้อย่าง เลือดสด ๆ สาดกระเซ็นมาทางเหล่ามนุษย์ทั้งหลาย
ในเวลาเดียวกันนั้นเอง เฮ่ออวิ๋นตงก็ส่งหมัดหนึ่งขึ้นฟ้า
หมัดนั้นระเบิดพลังขึ้นฟ้าไป ส่งเปลวเพลิงกระจายไปทั่วทุกทิศราวกับทะเลเพลิงโหมกระหน่ำ ไม่รู้ว่ามีอสูรร้ายกี่ตัวที่วิ่งเข้าหากองเพลิงนี้ แต่ไม่นานก็ได้กลิ่นคล้ายเนื้อสุกตลบอบอวลไปทั่ว
แต่กระนั้นนั่นก็ยังไม่ใช่การโจมตีที่รุนแรงที่สุด
การโจมตีอันทรงพลังที่สุดมาจากถังหมิง
คนผู้นี้มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร นับเป็นผู้ที่ใส่ใจการต่อสู้ในสายหมอกครั้งนี้น้อยที่สุดแล้ว
เป็นเพราะวิถีการต่อสู้ของเขานั้นใช้ประโยชน์จากสายหมอก
เขาตวัดกลงเล็บคราหนึ่ง หมอกหนาก็เข้ามารวมกันที่ฝ่ามือ กลายเป็นหมอกมังกรขนาดเล็กที่ซัดออกไปแทน มันพุ่งทะยานเข้าใส่อสูรร้าย รัดคอพวกมันจนตายในที่สุด
เรียบง่าย ได้ผล คงความมีประสิทธิภาพ !
“ถังหมิง เจ้าสามารถดูดหมอกทั้งหมดนี่ หรือพามันไปยังทิศทางอื่นได้หรือไม่ ?” ชีเว่ยเยี่ยนเอ่ยเสียงดัง
“ข้าทำไม่ได้ !” ถังหมิงตอบ “แม้ข้าจะควบคุมหมอกได้ แต่พวกมันก็ดูท่าจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ไม่หยุด ยามข้าดูดพวกมัน พวกหมอกก็มีมาเพิ่มอีกเรื่อย ๆ พยายามดูดซับมันไปก็ไร้ผล !”
“หม่าเซวียน หาทางปิดค่ายกลนี้เสีย มันเป็นค่ายกลมายา น่าจะอยู่ในส่วนที่เจ้าเชี่ยวชาญ !” ซูเฉินตะโกน
หม่าเซวียนตอบเสียงขื่น “ไม่ได้ ! นี่มันหมอกสมุทร ไม่มีผลต่อจิตใจคน เรียกว่าค่ายกลมายาอาจจะมากไปหน่อย”
“ข้าไม่สน เจ้าต้องหาวิธีทำลายมันให้ได้ !” เฮ่ออวิ๋นตงตะโกนเสียงกรรโชก
หากหมอกยังลงหนาอยู่เช่นนี้ ทุกคนต้องตกอยู่ในอันตรายแน่
การได้ปลดปล่อยพลังออกไปโดยไม่ต้องสนใจสิ่งใดเช่นนี้รู้สึกดียิ่ง แต่การกระทำเช่นนี้สิ้นเปลืองพลังเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังไม่ยั่งยืน เมื่อใช้พลังต้นกำเนิดจนหมด ก็ทำได้เพียงใช้กำลังกายในการต่อสู้เท่านั้น
“ข้าพยายามอยู่ !” หม่าเซวียนและเจียงหานเฟิงเริ่มลงมือวางค่ายกล พยายามใช้ค่ายกลใหม่ในการทำให้หมอกสมุทรหยุดลง “พวกท่านต้องรั้งไว้อีกสักหน่อย”
“ให้เป็นหน้าที่ข้า” ซูเฉินหยิบเพลิงอัสนีหลายลูกออกจากแหวนต้นกำเนิด
ซูเฉินสร้างเพลิงอัสนีด้วยส่วนผสมที่เขานำมาเองดังเช่นยาทั้งหลาย แต่มูลค่านั้นลดลงมาก เพราะบางส่วนสามารถนำสิ่งของในชีวิตประจำวันมาใช้แทนได้ เช่น ซูเฉินทำปลอกเหล็กของเพลิงอัสนีจากหม้อและกระทะเหล็กทั้งหลาย
นำของมาใช้แทนเช่นนี้นับมาแยบยลไม่น้อย
เมื่อเทียบกับเพลิงอัสนีในอดีต พลังในปัจจุบันของมันเพิ่มขึ้นมาก ซูเฉินขว้างพวกมันออกไป เกิดระเบิดรุนแรงขึ้นหลายครั้งด้วยกัน
กลิ่นเนื้อไหม้ในอากาศยิ่งเข้มข้นขึ้น
แต่ถึงกระนั้นอสูรร้ายก็ยังรุดหน้าเข้ามาไม่หยุด พวกมันอาจไม่แข็งแกร่งมากนัก ส่วนมากเป็นอสูรร้ายระดับต่ำ แต่มันดูบ้าคลั่งผิดปกติ พุ่งออกมาจากหมอกหนาราวกับนักฆ่า เมื่อเข้าใกล้เหยื่อก็อ้าปากสีแดงสดหมายจะฉีกกระชากเนื้ออีกฝ่ายทันที
“เร็วเข้า ! เราจะรั้งไว้ไม่ไหวแล้ว !”
เฟิงอี้กู่ซัดร่างอสูรร้ายตัวหนึ่งที่กำลังเงื้อหมัดเข้าหาเขา จากนั้นส่งลูกเตะใส่ตัวที่หมายจะโจมตีขา แต่อสูรร้ายอีกตัวกระโจนเข้ากัดแขน แม้เฟิงอี้กู่จะบี้กะโหลกมันแหลกในพริบตา แต่บาดแผลบนแขนก็เริ่มมีเลือดไหลซึมออกมาไม่หยุด
“รั้งไว้อีกนิด !” เจียงหานเฟิงตะโกน จากนั้นก็เร่งมือสร้างค่ายกลโดยไว
ฟ้าว !
อสูรร้ายตัวหนึ่งกระโจนข้ามหัวทุกคน พุ่งตรงไปยังเจียงหานเฟิง
ขณะนั้นเจียงหานเฟิงใส่ใจเพียงค่ายกลตรงหน้า ไม่รู้แม้แต่น้อยว่ามีอสูรกำลังกระโจนอยู่เหนือหัวตน แต่ถึงตอนนั้นก็สายเกินไปเสียแล้ว
กลงเล็บอสูรกำลังจะทะลวงดวงตาเจียงหานเฟิง ส่วนเจียงหานเฟิงทำได้เพียงมองภาพนั้นด้วยความตกตะลึง
เป็นตอนนั้นเองที่อสูรร้ายตัวนั้นพลันชะงักค้างอยู่กลางอากาศ
จากนั้นร่างของอสูรร้ายตัวนั้นก็ถูกโยนเคลื่อนไปด้านข้าง เป็นซูเฉินยืนอยู่ด้านหลังมัน
จากนั้นก็บิดคออสูรร้ายดังกร๊อบแล้วเอ่ยขึ้น “ทำหน้าที่เจ้าต่อไป”
“ได้ !” เจียงหานเฟิงหลุดออกจากภวังค์ความตกใจ จากนั้นลงมือทำงานตรงหน้าต่อ
ซูเฉินโยนมันออกไป จากนั้นหันไปมองทางกลุ่มหมอกหนา นัยน์ตาเปล่งกระแสเยียบเย็นออกมา เขารู้ดีว่าหากไม่ลงมือทำบางอย่างพวกเขาก็ไม่อาจออกไปอย่างปลอดภัยได้
ดังนั้นเขาจึงยืดมือขวาออกแล้วเหยี่ยวเพลิงขนาดมหึมาก็ผุดขึ้นในมือ
เหยี่ยวเพลิงลูกนี้มีขนาดใหญ่กว่าเหยี่ยวเพลิงที่เขาเคยใช้มาก่อน พลังต้นกำเนิดที่ทั้งดุเดือดที่เข้มข้นไหลเวียนอยู่ทั่วร่างของเขา คลื่นพลังจากเปลวเพลิงขับไล่หมอกที่กระจายอยู่รอบตัว ดังนั้นเงาร่างของซูเฉินจึงปรากฏให้ทุกคนเห็นโดยพลัน
พญาเหยี่ยวเพลิงลูกนี้มีขนาดใหญ่มาก ส่องสว่างโดดเด่นจนดึงความสนใจจากทุกสายตา ไม่ว่าจะมนุษย์หรือสัตว์อสูร เปลวเพลิงพุ่งทะยาน คล้ายกับจะเปาผลาญไปถึงผืนฟ้ากว้างใหญ่
ซูเฉินซัดพญาเหยี่ยวเพลิงออกไปก่อนตะโกน “ไปเลย !”
“กรี๊ซซซ !” พญาเหยี่ยวเพลิงเปล่งเสียงร้องแหลม จากนั้นทะยานขึ้นฟ้าไปแล้วกระพือปีกบิน มันทิ้งรอยเพลิงไปตามทาง ในที่สุดก็ปะทะเข้าร่างอสูรร้าย เปลี่ยนให้อสูรร้ายตัวนั้นกลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา หากแต่พญาเหยี่ยวเพลิงยังคงไม่สลายไป มันกลับพุ่งทะยานต่อไปแล้วซัดอสูรร้ายอีกตัวหนึ่ง สลายร่างมันเป็นผง จากนั้นพุ่งใส่อีกตัว ทว่าครั้งนี้มันไม่ได้ทำให้อสูรร้ายกลายเป็นเถ้าถ่าน หากแต่ระเบิดออกมาพร้อมกับแสงสว่างจ้า ปล่อยคลื่นพลังมหาศาลกระจายออกโดยรอบ สังหารอสูรตัวอื่น ๆ ที่อยู่รอบข้างและส่งร่างพวกมันกระเด็นไป
การโจมตีนี้สังหารอสูรร้ายไปทั้งหมด 3 ตัว อีกทั้งแรงระเบิดยังทำให้อีกหลายตัวได้รับบาดเจ็บ ทำให้ทุกคนที่เห็นภาพได้แต่มองด้วยความตกตะลึง
กระทั่งพวกอสูรร้ายยังชะงักไป หลังจากถูกแรงโจมตีบ้าคลั่งนี้เข้าไป พวกมันก็ไม่กล้ากระโจนเข้ามาอีกชั่วระยะหนึ่ง
“ด่านกลั่นโลหิต !” เฮ่ออวิ๋นตงพึมพำกับตนเอง
เขาไม่คิดว่าหลังจากทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตแล้วซูเฉินจะแข็งแกร่งขึ้นมากถึงเพียงนี้ อีกทั้งยังพัฒนาวิชาที่สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดด่านกลั่นโลหิตหลังจากที่เพิ่งทะลวงผ่านด่านมาได้ไม่นานขึ้นมาได้
แม้เขาจะใช้วิชาเดิมที่ตนมีอยู่แล้วมาสานต่อให้แกร่งขึ้น แต่ก็นับว่าน่าประทับใจไม่น้อย นับว่าซูเฉินเป็นอัจฉริยะรอบด้านอย่างแท้จริง
เมื่อมีวิชาพญาเหยี่ยวเพลิงนี้ก็นับได้ว่าซูเฉินเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังด่านกลั่นโลหิตอย่างเต็มตัวแล้ว
ซูเฉิน……
น่ากลัวเกินไปแล้ว !
ความคิดนี้ผุดขึ้นในใจ
ในเวลาเดียวกันนั้นทุกคนก็มีความคิดหนึ่งที่เหมือนกัน นั่นคือโชคดีที่เขาเป็นมิตร ไม่ใช่ศัตรู
หากแต่ชายหนุ่มกลับไม่ยินดีเท่าไรนัก ระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงยังเป็นวิชาใหม่มาก ดังนั้นจึงยังมีข้อด้อยอยู่นับไม่ถ้วน ยังไม่ดีมากพอ ดังนั้นจึงใช้ได้ในบางสถานการณ์เท่านั้น อาจใช้เป็นท่าเปิดการโจมตีได้ แต่ยังไม่เหมาะจะใช้เป็นการโจมตีต่อเนื่อง
“สำเร็จ !”
เจียงหานเฟิงพลันตะโกนขึ้น
ยามเขาตะโกน แสงสว่างหนึ่งก็สว่างวาบขึ้น ภายใต้แสงสว่างนั้น หมอกหนาทั้งหลายก็ค่อย ๆ จางหายไป ก่อนที่มันจะสลายหายไปจนหมด
เมื่อไร้หมอกช่วยบดบังแล้ว อสูรร้ายทั้งหมดจึงล่าถอยไปในทันที
สถานที่ที่เพิ่งเกิดการปะทะดุเดือดไปเมื่อครู่กลับคืนสู่ความสงบดังเดิม