ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 17 โอบล้อมสวรรค์
บทที่ 17 โอบล้อมสวรรค์
“ก็ข้าบอกเจ้าแล้วว่าตาเฒ่านั่นมีปัญหาทางจิต และไม่เคยรับเลยศิษย์สักคนเดียว ไม่ว่าเจ้าจะทำอะไรมันก็ไร้ประโยชน์อยู่ดี”
หวังโต้วซานพูดอย่างไม่อ้อมค้อม ขณะที่เขากำลังคาบใบหญ้าเล่น ทั้ง 2 นั่งอยู่ในศาลาแปดเหลี่ยมหลังหนึ่งในสถาบันมังกรซ่อนเร้น
ซูเฉินนั่งอยู่บนม้านั่งในศาลา เอนหลังพิงเสาศาลามองเห็นทิวทัศน์ของทะเลสาบสุดลูกหูลูกตา “บางทีนั่นอาจเป็นเพราะข้ายังไม่พบจุดอ่อนของเขา มันต้องมีอะไรสักอย่างที่จะทำให้เขาสนใจได้สิ”
“ข้าคิดว่าเขาก็แค่ไม่อยากรับศิษย์ตั้งแต่ต้นเท่านั้นแหละ ! ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นจะมีใครไหนอีกที่ไร้เหตุผลได้มากยิ่งกว่าตาเฒ่านี่ ? ไม่มี ! บอกข้ามาทีสิ เขากล้าเรียกตัวเองว่าอาจารย์ส่วนตัวที่ถูกสาปได้อย่างไรกัน ในเมื่อยังไม่เคยรับศิษย์เลยสักคน ? หากไม่ต้องการเป็นอาจารย์ส่วนตัวแล้วจะมาอยู่ที่สถาบันมังกรซ่อนเร้นเพื่อ !?”
“ใช่แล้ว เหตุใดจึงต้องมาที่สถาบันมังกรซ่อนเร้น หากไม่ต้องการเป็นอาจารย์ส่วนตัว ?” เด็กหนุ่มพึมพำ “ในเมื่อเขามาอยู่ที่นี่ เช่นนั้นก็คงจะไม่ใช่ว่าไม่ต้องการรับลูกศิษย์ … บางทีอาจจะเป็นเพราะตัวข้ายังไม่ดีพอสำหรับเขา”
“ยังไม่ดีพอสำหรับเขา ? หากคนเก่งเช่นเจ้ายังไม่ดีพอแล้วใครหน้าไหน หมาตัวไหนมันจะมาดีพอกันสำหรับตาเฒ่านั้นกัน ?” หวังโต้วซานกล่าวถามอย่างดูถูก “เขาจะรอจนกว่าอัจฉริยะที่ปรากฏตัวทุก ๆ 10,000 ปีเท่านั้น มาขอจึงจะรับศิษย์งั้นหรือ ?”
เมื่อได้ยินอีกฝ่ายกล่าวเช่นนั้น ซูเฉินก็อดไม่ได้ที่จะพูดสิ่งที่คิดออกมาดัง ๆ “สิ่งที่ผู้อาวุโสฉือกำลังไล่ตามคือความฝันที่เผ่าพันธุ์อัจฉริยะจำนวนนับไม่ถ้วนไล่ตามมานับหมื่นปี คงไม่ใช่เรื่องแปลกเลยหากศิษย์ที่เขาต้องการจะเป็นอัจฉริยะที่ไม่เคยมีใครพบเห็นมาก่อน”
“ยังจะมีอารมณ์มาล้อเล่นอีก ?” หวังโต้วซานส่งเสียงฮึดฮัด
เจ้าอ้วนย้ายก้นมานั่งลงตรงข้ามซูเฉิน ใบหญ้าในปากของเขากระเด้งไปมาอย่างหงุดหงิด
“ข้าไม่เข้าใจ ในสถาบันนี้ยังมีอาจารย์ส่วนตัวที่โดดเด่นอีกมากมาย เหตุใดเจ้าถึงได้เอาแต่ยึดติดอยู่กับตาเฒ่าที่หัวรั้นและบ้า ๆ บอ ๆ ผู้นี้กัน ? เจ้าเห็นอะไรในตัวเขางั้นรึ ?”
“อืม … ” ซูเฉินครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วตอบมาว่า “มี 2 เหตุผล หนึ่งเพราะข้าเคารพเขา”
“ข้าเคารพเขา ไม่ใช่เพียงเพราะว่าเขากล้าดุด่าข้าราวกับข้าเป็นสุนัข แต่เป็นคำพูดที่สามารถเปลี่ยนแปลงใจคนได้ และยังเป็นเพราะหัวใจที่โอบล้อมสวรรค์ของเขา … ถึงจะรู้ว่ามันยากที่จะเป็นไปได้ แต่ก็ยังคงเดินหน้าต่อไป แค่นี้มันก็เพียงพอแล้วที่จะได้รับความเคารพและชื่นชม”
หวังโต้วซานพยักหน้า “เอาล่ะ นั้นนับเป็น 1 เหตุผล แม้ว่ามันจะฟังดูงี่เง่าไปเสียหน่อย แต่คำพูดเก่า ๆ ที่ว่า ‘โลกขับเคลื่อนด้วยคนเขลา’ ก็ดูจะเข้าเค้าอยู่ แล้วเหตุผลประการที่ 2 คืออะไร ?”
“เหตุผลประการที่ 2 คือข้าต้องการที่จะเดินตามรอยเท้าของเขา ไล่ตามความฝันที่เผ่าพันธุ์มนุษย์เราพยายามที่จะไขว่คว้ามานับหมื่นปี ในบรรดาอาจารย์ส่วนตัวทั้งหมดมีเพียงผู้อาวุโสฉือคนเดียวที่มุ่งมั่นเพื่อเป้าหมายที่ว่านี้ คนที่ข้าควรจะไปหาหากไม่ใช่เขาเช่นนั้นแล้วจะเป็นใครที่ไหนกันเล่า ?”
หวังโต้วซานตบหน้าผากของตัวเอง “คุณพระคุณเจ้า เจ้าก็บ้าพอ ๆ กับตาเฒ่านั้นเลยจริง ๆ ! ซูเฉิน นี่เจ้ายังไม่เข้าใจหรือ ?”
เขาจ้องมองไปที่ซูเฉินอย่างจริงจังและพูดออกมาทีละคำอย่างชัดเจน “มันเป็นไปไม่ได้ เจ้าไม่มีทางทำมันได้หรอก !”
“เป็นไปไม่ได้ ?” ซูเฉินจ้องกลับไปยังหวังโต้วซาน
หวังโต้วซานพยักหน้ายืนยันหนักแน่น “กว่าหลายหมื่นปีที่ผ่านมา มีคนที่มีความสามารถจากเผ่าพันธุ์อัจฉริยะนับกี่คนกันแล้วที่ไล่ตามความฝันนี้ ? แต่สุดท้ายก็ยังไม่มีใครทำได้สำเร็จสักคน หรือถึงแม้ว่ามันจะสำเร็จขึ้นมาจริง ๆ แต่สายเลือดก็เป็นวิธีที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการควบคุมพลังต้นกำเนิดอยู่แล้ว เหตุใดจึงยังต้องไปแสวงหาวิธีอื่นกัน ?”
“นั่นเพราะข้าไม่มีสายเลือด” ซูเฉินตอบ “และคนอีกมากมายก็ไม่มีสายเลือดเช่นเดียวกัน”
หวังโต้วซานชะงักค้าง
“นอกจากนี้สายเลือดเองก็ไม่มีพลังมากพอ” ซูเฉินกล่าวเสริม
“ในท้ายที่สุดแล้ว ศัตรูของเผ่าพันธุ์อัจฉริยะทั้งหมดก็ยังคงเป็นเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรและจะมีเพียงพวกมันเท่านั้น แต่พลังแห่งสายเลือดเหล่านี้ก็มีต้นกำเนิดมาจากเผ่าพันธุ์สัตว์อสูรอยู่ดี ! แล้วเจ้าใช้พลังของศัตรูเองเอาชนะศัตรูลงได้อย่างไร ?”
“อาทิเช่นสายเลือดกระเรียนหิมะของเจ้า หวังโต้วซาน ถึงแม้ว่าเจ้าจะปลุกสายเลือดให้ตื่นขึ้นได้จนถึงจุดสูงสุดจาก 5 ใน 10 เจ้าคิดว่ามันจะสามารถเทียบเคียงกับราชันย์กระเรียนหิมะที่แท้จริงได้งั้นหรือ ? ไม่ ไม่มีทางเลย ! เจ้าไม่สามารถที่จะก้าวข้ามเกินขีดจำกัดของกระเรียนหิมะไปได้เลย สายเลือดช่วยให้เจ้าแข็งแรง แต่ในทางกลับกันมันก็เป็นสิ่งที่คอยจำกัดขีดความสามารถของตัวเจ้าเองด้วย !”
หลังได้ฟังจนจบหวังโต้วซานก็อ้าปากกว้าง เขาอยากจะเถียงแต่ไม่สามารถหาคำพูดมาตอบกลับได้เลย
นี่คือความจริง ความจริงที่ทุกคนรับรู้และเข้าใจกันเป็นอย่างดี
แม้บางทีการทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อฝึกฝนอย่างหนัก จะช่วยสามารถเพิ่มความแข็งแกร่งของพวกเขาให้เหนือกว่าสายเลือดอื่นที่อยู่ในระดับเดียวกันได้ก็จริง แต่ข้อจำกัดของโดยธรรมชาติของสายเลือด ก็ได้จำกัดขีดความสามารถของพวกเขาเอาไว้ พวกเขาจะไม่มีทางที่จะสามารถก้าวข้ามเกินไปกว่าขีดจำกัดนี้
นี่เป็นสาเหตุที่เผ่ามนุษย์ไร้ซึ่งอำนาจ แม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในจุดสูงสุดของความแข็งแกร่งก็ตามที ไม่มีเผ่าพันธุ์อัจฉริยะใดที่สามารถก้าวข้ามไปอยู่เหนือกว่าเผ่าสัตว์อสูรได้เลย
มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะป้องกันการจู่โจมจากอสูรดึกดำบรรพ์ ยิ่งเป็นเทพอสูรบรรพกาลที่ซึ่งสามารถกวาดล้างทั้งอาณาจักรได้เพียงลำพังยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ซูเฉินพูดถูก สายเลือดได้มอบพลังอันยิ่งใหญ่ให้กับเผ่ามนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันมันก็ได้จำกัดศักยภาพและขีดความสามารถของพวกเขาเอาไว้
“ช่างน่าเสียดายที่มันยากเกินไป มันเป็นความฝันที่เป็นไปไม่ได้เลย” หวังโต้วซานกล่าวพร้อมกับส่ายหัว
“อาจจะ แต่หากมันเป็นไปไม่ได้ แล้วเหตุใดผู้อาวุโสฉือจึงยังคงทำเช่นนั้นต่อไปกัน ? เหตุใดจึงยังมีผู้คนมากมายทุ่มเทเพื่อความฝันนี้ ?”
“นี่ … ” หวังโต้วซานหาคำพูดมาตอบกลับไม่ได้ไปชั่วครู่
“เพราะในโลกนี้ มีผู้คนที่เลือกจะพยายามต่อไปแม้ว่าพวกเขาจะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตามอยู่เสมอ เพื่อประโยชน์ของเผ่าพันธุ์ คนเหล่านี้ไม่เคยเกรงกลัวต่อความยากลำบากแม้จะต้องบุกน้ำลุยไฟ พวกเขาอุทิศตัวเองโดยไร้ซึ่งเสียใจใด ๆ” ซูเฉินตอบคำถามของตัวเอง
หวังโต้วซานตกตะลึง หลังจากนั้นไม่นานความชื่นชมก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา “เมื่อได้ฟังเจ้าพูดเช่นนั้นแล้วมาลองมองดู ตาเฒ่าคนนั้นก็นับเป็นคนที่น่าทึ่งจริง ๆ”
ซูเฉินยิ้ม “น่าเสียดายที่ไม่ค่อยมีใครเข้าใจถึงความน่าทึ่งนี้ของเขา ผู้คนในโลกนี้ให้ความสำคัญกับศักยภาพและพรสวรรค์มากเกินไป มีน้อยคนนักที่จะใส่ใจถึงลักษณะนิสัยและทัศนคติ”
เมื่อเขาได้ตระหนักถึงความหมายเบื้องหลังคำพูดที่ตนเพิ่งกล่าวจบไป จู่ ๆ ทั่วทั้งร่างของซูเฉินก็สั่นสะเทือน ราวกับถูกฟ้าผ่า
ภาพของชายชราปรากฏขึ้นในความคิดของเขา และสะท้อนสิ่งที่อีกฝ่ายเคยพูดกับตัวเขา
“มีผู้กล้ากี่คนที่ยอมอุทิศทั้งชีวิตของตนเพื่อทำให้เผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรือง …”
“หากเจ้าอยากทำการใหญ่ จิตใจเจ้าต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง เจ้าไม่มีทรรศนะเช่นนั้น แต่กลับกล้าคิดว่าตนมีค่าพอ ประกาศว่าจะนำพาเผ่ามนุษย์เจริญรุ่งเรืองอย่างนั้นหรือ ?”
“ไอ้หนูอย่างเจ้าไม่มีค่าพอให้เอ่ยคำว่า ‘ทำให้เผ่ามนุษย์รุ่งเรืองโดดเด่น’ ขึ้นมาให้แปดเปื้อน! เรื่องเช่นนี้จำต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อทำให้สำเร็จ … ”
ทุกประโยคทุกคำสะท้อนอยู่ในใจของซูเฉิน ราวกับเสียงระฆังที่ดังก้องอยู่ในหูของเขา
ความตกใจทำให้ภาพเบื้องหน้าของเขาเริ่มหมุน แขนขาสั่นระรัว
“หืม เจ้าเป็นอะไรไปน่ะ ?” หวังโต้วซานถามขึ้นเมื่อเห็นการแสดงออกที่แปลกประหลาดของอีกฝ่าย
เด็กหนุ่มจ้องมองออกไปยังที่แสนไกลอย่างว่างเปล่าพลางกล่าวพึมพำ “ข้ามันช่างโง่เขลา ข้าควรจะตระหนักเรื่องนี้ได้ตั้งนานแล้ว ข้าคิดว่าหากข้าแสดงความสามารถของตัวเองออกไป ข้าจะได้รับความสนใจและคำชื่นชมจากผู้อาวุโสและหลอกล่อให้เขารับข้าเป็นศิษย์ได้ แต่ข้าคิดผิด คิดผิดไปมาก หากข้าต้องการที่จะเป็นศิษย์ของเขาจริง ๆ มันไม่สำคัญเลยว่าข้าจะมีพรสวรรค์หรือศักยภาพที่โดดเด่น ผู้อาวุโสฉือไม่ได้ต้องการผู้ที่ฉลาดล้ำเลิศ … ”
“ข้าเพียงแค่ต้องมีหัวใจที่โอบล้อมสวรรค์ !”
หวังโต้วซานงงงวย “หัวใจที่โอบล้อมสวรรค์ ?”
“ใช่!” ซูเฉินพยักหน้าด้วยความเชื่อมั่น “ผู้อาวุโสมีเงื่อนไขสำหรับการรับศิษย์อย่างแน่นอน ทว่ามันไม่ได้เกี่ยวกับพรสวรรค์โดยกำเนิด แต่เป็นนิสัยใจคอและความมุ่งมั่นพากเพียร ! ความตั้งใจจริงและความมีวินัยที่ไม่ใช่เพียงแค่การยืนกรานจะปรุงอาหารให้เขาต่อไปเช่นที่เคยทำเรื่อย ๆ แต่เป็นการเดินไปบนเส้นทางที่ไม่อาจมองเห็นอนาคตและไม่มีวันสิ้นสุดจนกว่าชีวิตจะหาไม่ !”
หวังโต้วซานอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง
หลังจากนั้นไม่นานเขาถามว่า “แล้วเจ้าจะผ่านเงื่อนไขนั้นของเขาได้อย่างไร ?”
ซูเฉินส่ายหัว “ข้าไม่รู้”
ในขณะที่หวังโต้วซานกำลังเริ่มรู้สึกผิดหวัง ซูเฉินก็ยิ้ม “ข้าไม่รู้ก็ไม่เห็นจะเป็นอะไร หากเราไม่รู้ … เราก็แค่ต้องถามเขา”