ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 170 สองกลุ่มเข้าปะทะ (1)
บทที่ 170 สองกลุ่มเข้าปะทะ (1)
“เตรียมต่อสู้ !”
สิ้นคำสั่งเฮ่ออวิ๋นตง ทุกคนก็รีบจัดท่าต่อสู้ในทันที
บรรยากาศสบาย ๆ ผ่อนคลายเมื่อครู่แปรเปลี่ยนเป็นกดดัน มีความกังวลเจือเข้ามาในพลัน
“อ๊ากกก !”
เสียงคำรามลั่นที่เต็มไปด้วยความโกรธเกรี้ยวของเผ่าคนเถื่อนดังขึ้น
พวกเขาไม่เสียเวลาพูดคุยหรือต่อรองใด ทันทีที่ทั้งสองฝั่งสบตากัน การต่อสู้ก็เริ่มขึ้นในทันใด
เผ่าคนเถื่อนพุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างบ้าคลั่ง อักขระบนร่างเริ่มส่องแสงสว่างยามมุ่งหน้าเข้ามา
ตู้ม !
เมื่อเผ่าคนเถื่อน 2-3 คนแรกมาถึง ก็มีคลื่นพลังหนึ่งซัดออกไปพร้อมกับเสียงดังตู้ม
คลื่นพลังต้นกำเนิดระลอกแล้วระลอกเล่าซัดออกไป เกิดเป็นแรงดันมหาศาลที่พุ่งออกไปอย่างไม่อาจมีสิ่งใดกั้นขวางได้
เสียงตะโกนโห่ร้องบ้าคลั่งส่งผลให้พื้นดินสะเทือน พริบตาจากนั้น เผ่าคนเถื่อนนับไม่ถ้วนที่ทั่วร่างเต็มไปด้วยอักขระก็พุ่งออกมาจากป่า เริ่มลงมือโจมตีเหล่ามนุษย์ไม่ยั้งมือ
ไม่มีการตั้งกระบวนทัพหรือกลยุทธใดทั้งสิ้น การโจมตีของเผ่าคนเถื่อนเป็นเช่นนี้ บ้าคลั่ง ตรงไปตรงมา ทรงพลัง และป่าเถื่อน
พวกเขาแข็งแกร่งมากกระทั่งระหว่างที่พุ่งเข้ามาก่อเกิดเป็นลมพายุไล่หลัง พุ่งเข้ามาราวกับคลื่นแห่งความตาย แม้จะมีเพียงสิบกว่าคน แต่แรงกดดันที่แผ่ออกจากร่างพวกเขานั้นคล้ายกับทหารทั้งกองพัน
“อยู่ในความสงบ ! ไม่ต้องตกใจ ! แถวหน้าป้องกัน ! แถวหลังโจมตี !” เฮ่ออวิ๋นตงตะโกนจนเสียงแหบพร่า
เฮ่ออวิ๋นตง เฟิงอี้กู่ ผีเยวี๋ยนหง เย่ฉีมิ่ง ต้วนเจียงซาน หวังเสวียนอัน ถังหมิง อวิ๋นเป้า ฝาแฝดแซ่เสิ่นรวมกันตั้งเป็นแถวหน้าที่แกร่งดั่งเหล็กกล้า พวกเขามีหน้าที่ป้องกันเต็มที่ รับมือกับการพุ่งโจมตีของเผ่าคนเถื่อน
เดิมทีหวังโต้วซานควรจะร่วมเป็นแนวหน้าด้วย แต่เขาเสียไขมันไปมาก ดังนั้นความสามารถในการป้องกันจึงลดลง ไม่เหมาะจะอยู่แนวหน้าอีก และแม้ซูเฉินจะทรงพลังถึงเพียงไหน แต่ก็ไม่เชี่ยวชาญการต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นเขากับอวิ๋นเป้าจึงสลับหน้าที่กัน
ในเวลาเดียวกันนั้น ซูเฉิน กู่ชิงลั่ว จีหานเยี่ยน เหอนิ่วหลิว และคนอื่น ๆ ก็เริ่มปล่อยการโจมตีใส่เผ่าคนเถื่อนเช่นกัน
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงของซูเฉิน ดาราเยือกแข็งของกู่ชิงลั่ว และหมัดหิมะขาวสกุณาเหมันต์ของจีหานเยี่ยนถูกปลดปล่อยออกมาพร้อมกัน พลังซัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทักษะต้นกำเนิดนับไม่ถ้วนพุ่งออกไปพร้อมกับแสงวาบจ้า บรรยากาศโดยรอบเต็มไปด้วยเสียงแห่งความตายและการทำลายล้าง
เลือดเริ่มสาดกระเซ็น
ท่ามกลางความโกลาหลมีโลหิตพุ่งกระฉูดกระเซ็นไปจนทั่ว
บ้างมาจากเผ่าคนเถื่อน บ้างมาจากเผ่ามนุษย์
ไร้ซึ่งความค่อยเป็นค่อยไปหรือเป็นไปทีละขั้นตอน การต่อสู้นั้นข้าสู่จุดเดือดตั้งแต่เพิ่งจะเริ่มขึ้น แต่ละคนเผยการโจมตีบ้าคลั่งในพลัน หมายจะเอาชนะศัตรูโดยเร็วที่สุด
เสียงคำรามบ้าคลั่งจากเผ่าคนเถื่อนดังไปจนทั่ว ตามมาด้วยพลังโจมตีดุดันที่ถูกซัดออกไป
ในตอนนี้ เป็นซูเฉินที่เผยการโจมตีออกมาได้เฉียบคมที่สุด ยามเผชิญหน้ากับเผ่าคนเถื่อน ชายหนุ่มไม่ออมแรงแม้แต่น้อย เขาใช้วิชาที่แกร่งที่สุดที่มีในทันที ระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงปรากฏขึ้น พลังมหาศาลหลั่งไหลออกมาจากเหยี่ยวเพลิง จากนั้นซัดมันเข้าใส่เผ่าคนเถื่อน แม้ครั้งนี้จะไม่สามารถสังหารศัตรูสามคนได้ในคราเดียว แต่ก็สามารถแผดเผาเผ่าคนเถื่อนผู้นั้นจนกลายเป็นเถ้าถ่านได้ในพริบตา เมื่อปะทะร่างศัตรูแล้วพลังมหาศาลก็ระเบิดออก กระจายไปทั่วทิศทาง ส่งให้ทุกคนตกใจ อดหันมามองซูเฉินด้วยความหวั่นเกรงไม่ได้
แต่แม้การโจมตีจากเผ่ามนุษย์จะแกร่งกล้าถึงเพียงไหน ทว่าร่างกายอันแข็งแกร่งของเผ่าคนเถื่อนก็เริ่มสำแดงพลังออกมาต้านทานบ้างแล้ว
เผ่าคนเถื่อนร่างสูงดูดุดันมากเป็นพิเศษคนหนึ่งเงยหน้าขึ้นส่งเสียงหอนดังก้อง ก่อนจะพุ่งตัวมาข้างหน้า อักขระบนร่างเริ่มเปล่งแสงสว่างจ้า เผยกลิ่นอายดุดันกำจายออกจากร่าง ทักษะต้นกำเนิดนับไม่ถ้วนถูกซัดเข้าปะทะร่างเขา หากแต่มีเพียงแสงสว่างเกิดขึ้นยามมันปะทะร่างเพียงเท่านั้น เขาเคลื่อนกายดั่งขุนเขาที่ไม่อาจมีผู้ใดหยุดยั้ง ไม่ใส่ใจการโจมตีที่ซัดมาทางตนแม้แต่น้อย จนกระทั่งซูเฉินซัดระเบิดพญาเหยี่ยวเพลิงเข้าใส่
ระเบิดเหยี่ยวเพลิงเหินขึ้นฟ้าเป็นเส้นแสงสีสวยงาม จากนั้นพุ่งเข้าปะทะร่างคนเถื่อนร่างยักษ์
ตู้ม !
ท่ามกลางแรงระเบิดยามวิชาปะทะร่าง เงาร่างของคนเถื่อนร่างยักษ์ก็ดูจะซวนเซไปเล็กน้อย เขาก้มหน้าลงมองอกตนเอง พบว่ามีรูขนาดใหญ่บังเกิดขึ้น หากแต่พริบตาต่อมา รูกลวงนั้นก็เริ่มปิดลง บาดแผลสมานตัว เขาหันมาส่งเสียงคำรามใส่ซูเฉิน จากนั้นพุ่งเข้ามาอีกครา
“ระวังด้วย มันเป็นนักรบอารามที่เชี่ยวชาญด้านการป้องกัน !” เฮ่ออวิ๋นตงร้องบอก
คนเถื่อนร่างยักษ์พุ่งเข้ามาคล้ายวัวกระทิง ในตอนที่กำลังจะเข้าปะทะกับซูเฉินนั่นเอง เฟิงอี้กู่ก็สกัดเขาไว้
หมัดของคนเถื่อนร่างยักษ์ปะทะเข้ากับเกราะเต่าทมิฬของเฟิงอี้กู่ กระทั่งเฟิงอี้กู่ที่มีพลังป้องกันสูงส่งยังไม่อาจต้านแรงโจมตีนั้นได้หมด ต้องถอยออกไปหลายก้าว ส่วนเกราะเต่าทมิฬก็แตกออกเป็นเสี่ยง ๆ
“บัดซบ ไม่เพียงมันมีพลังป้องกันสูง แต่พลังโจมตีก็ไม่น้อยหน้าไปกว่ากันเลย !” เฟิงอี้กู่ร้องตะโกนขึ้น จากนั้นก่อร่างเกราะเต่าทมิฬขึ้นอีก
ฝาแฝดแซ่เสิ่นพุ่งเข้ามาขนาบข้างคนเถื่อนผู้นั้น หมัดสี่หมัดกระหน่ำเข้าใส่คนเถื่อนร่างยักษ์ในพลัน คนเถื่อนร่างยักษ์เซไปเล็กน้อย ก่อนจะหันหัวกลับมาคำรามลั่นใส่ทั้งสอง อักขระบนร่างยิ่งส่องแสงสว่างกว่าเก่า พลังที่แผ่ออกจากร่างยิ่งบ้าคลั่งมากขึ้น ตู้ม ! ฝาแฝดแซ่เสิ่นถูกหมัดร่างกระเด็นไปทั้งคู่
ตอนนี้มีรูหนึ่งพลันเกิดขึ้นในท่าตั้งรบของเผ่ามนุษย์
ในตอนที่เผ่าคนเถื่อนคลั่งผู้นั้นหมายจะพุ่งเข้าไป เงาร่างของซูเฉินก็ปรากฏขึ้นเสียก่อน
เขาเงื้อแขนขึ้นเหวี่ยงไปในอากาศ
นักรบอารามหัวเราะเสียงดูแคลน ส่งหมัดหนึ่งเข้าไปปะทะ หมัดหนักหนึ่งหมัดเข้าปะทะกับหมัดของชายหนุ่มในพริบตา
“อ๊ากกกก !” เผ่าคนเถื่อนผู้นั้นตะโกนขึ้นด้วยความเจ็บปวด
หมัดดั่งเหล็กที่สามารถทำลายกระทั่งเกราะเต่าทมิฬของเฟิงอี้กู่ได้ เมื่อปะทะเข้ากับสว่านทะลวงเกราะของซูเฉินก็คล้ายกับเป็นเพียงเหล็กที่ถูกค้อนทุบ ทิ้งรอยแผลเหวอะหวะไว้บนแขนอีกฝ่าย
หมัดของซูเฉินยังคงทะลวงต่อ เข้าไปกว่าครึ่งแขนของอีกฝ่าย ก้อนเนื้อโชกเลือดและกระดูกกระจัดกระจายไปทั่ว
หากแต่ซูเฉินเองก็ถอยออกมาหลายก้าว เปล่งเสียงร้องเจ็บปวดออกมา แขนขวาของเขาเปลี่ยนรูปไปเล็กน้อย
ตอนที่ส่งหมัดปะทะเข้าไปในแขนของอีกฝ่าย อย่างไรก็ไม่อาจเลี่ยงการบาดเจ็บได้
ตอนที่คิดจะฉวยโอกาสนั้นโจมตีอีกรอบ เส้นพลังสีดำที่ไวดั่งแสงก็พลันซัดเข้าที่ลำคอของเขา
ซูเฉินไม่อาจหลบได้ทันเวลา
เป็นตอนนั้นเองที่ผีเยวี๋ยนหงพุ่งเข้ามาบังการโจมตีนั้นไว้
หอกสั้นเล่มหนึ่งทะลุเข้าร่างผีเยวี๋ยนหง เกือบจะเสียบทะลุร่าง
“เหล่าผี !” เฮ่ออวิ๋นตงตะโกนลั่นแล้วพุ่งเข้าไป ส่งหมัดโลกันตร์คลั่งเข้าที่หลังหัวของเผ่าคนเถื่อน
เผ่าคนเถื่อนผู้นี้ตัวเล็กกว่าคนอื่น ๆ มาก แต่ก็คล่องแคล่วราวภูตผี รุดหน้าถอยกลับอย่างรวดเร็ว ยามที่หมัดโลกันตร์คลั่งของเฮ่ออวิ๋นตงถูกส่งไป เขาก็เลี่ยงออกมาในระยะปลอดภัยแล้ว อีกทั้งยังนำคนเถื่อนร่างยักษ์ผู้นั้นกลับไปอย่างปลอดภัยอีกด้วย
คงจะเป็นนักรบอารามไม่ผิดแน่ เพียงแต่ผู้นี้เชี่ยวชาญด้านความรวดเร็ว
ไม่นานนักรบอารามคนที่สามก็ปรากฏตัวขึ้น ตอนนี้กำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับถังหมิงที่เปิดใช้สายเลือดจักรพรรดิอสูรจนถึงขั้นสุด แท้จริงแล้วพลังของเขาไม่ใช่การควบคุมหมอก แต่เป็นน้ำ ตอนนี้มังกรวารีนับไม่ถ้วนกำลังเวียนว่ายอยู่รอบกายเขาแล้วส่งเสียงคำรามออกมา ทำให้เขาสามารถรับมือกับนักรบอารามด้วยตัวคนเดียวได้ แต่ก็ดูจะเสียสมดุลการต่อสู้ในอีกไม่กี่อึดใจ
“เหล่าผีแข็งใจไว้ !” ซูเฉินลากร่างผีเยวี๋ยนหงมาที่แถวหลัง หยิบยาฟื้นพลังระดับสูงออกมาป้อนให้เขา
ตอนนั้นเอง เฟิงอี้กู่ก็ตะโกนก้อง “รออะไรเล่า ? ดื่มยาแล้วจัดการพวกมันเสีย !”
หลังจากได้วัตถุดิบปรุงยามามากมาย ซูเฉินก็ปรุงยาออกมา 6 ชุด วัตถุดิบที่เขานำติดตัวมาด้วยเพียงพอใช้ปรุงยาอีกชุดหนึ่ง หากไม่นับยาเพิ่มกำลังที่หวังโต้วซานใช้ไปแล้ว ตอนนี้เขามียาทั้งหมด 7 ชุด หากใช้ยาไปหนึ่งชุดจะสามารถเพิ่มกำลังให้ได้ราว 3 เท่า
ซูเฉินเก็บชุดหนึ่งไว้ใช้เอง และมอบหกยา 6 ชุดที่เหลือให้เฮ่ออวิ๋นตง อวิ๋นเป้า ฝาแฝดแซ่เสิ่น เฟิงอี้กู่ และผีเยวี๋ยนหง ด้วยคนทั้งหกนี้คุ้นเคยกับการต่อสู้ระยะประชิด ดังนั้นเมื่อได้ยินเสียงตะโกนบอกเช่นนั้น ผีเยวี๋ยนหงและคนอื่น ๆ อีกห้าคนก็ถอยออกมาพร้อมกัน ดึงยาออกมากระดกดื่มจนหมดในคราเดียว
เมื่อกลืนยาลงไป ทุกคนก็เริ่มมีแสงเรืองสีเลือดเปล่งออกจากร่าง เช่นเดียวกับพละกำลังที่เพิ่มขึ้นอย่างฉับพลันจนส่งผลให้นัยน์ตาคนทั้งหมดแปรเปลี่ยนเป็นสีแดงฉาน
“ตายเสีย !”
เฟิงอี้กู่เปล่งเสียงคำรามต่ำแล้วพุ่งเข้าไปอย่างดุดัน
เข้าใช้เกราะเต่าทมิฬครอบร่างไว้ขณะพุ่งเข้าใส่คนเถื่อนร่างยักษ์
แม้คนเถื่อนร่างยักษ์จะถูกซูเฉินโจมตีจนบาดเจ็บหนัก แต่ก็ยังคงมีความดุร้ายอย่างเหลือเชื่ออยู่
มันตวัดแขนคราหนึ่ง คลื่นพลังรุนแรงก็แผ่เป็นจังหวะออกจากร่าง จิตสังหารยิ่งเข้มข้นขึ้นจนกระทั่งแทบจะสัมผัสได้
ตู้ม !
คนเถื่อนร่างยักษ์และเฟิงอี้กู่เข้าปะทะกันอีกครั้ง ก่อเกิดเป็นเสียงระเบิดดังสนั่นไปทั่ว
พริบตาต่อมาเฟิงอี้กู่ก็พุ่งเข้าปะทะอีก ใช้เกราะตนเองปะทะเข้ากับร่างอีกฝ่าย ส่งผลให้โลหิตสาดกระเซ็นขึ้นไปในอากาศ
คนเถื่อนร่างยักษ์ผู้นั้นเสียแขนไปข้างหนึ่ง ตอนนี้ไม่อาจป้องกันการโจมตีอันทรงพลังของเฟิงอี้กู่ได้เลย
แต่อีกฝ่ายก็มีใจเด็ดเดี่ยวไม่น้อย เมื่อเห็นว่าไม่อาจป้องกันได้ ดังนั้นจึงไม่คิดป้องกันอีกต่อไป
เขาเอียงตัวเล็กน้อย ใช้แขนข้างที่บาดเจ็บหนักรับการโจมตีของเฟิงอี้กู่ จากนั้นยื่นแขนขวาไปรั้งคอเฟิงอี้กู่ไว้แล้วบีบเข้ามาด้วยกำลังดั่งขุนเขา
เฟิงอี้กู่โจมตีใส่อีกฝ่ายเต็มแรง พลังโจมตีดุดันปะทะร่างคนเถื่อนร่างยักษ์ สะเทือนถึงชั้นกระดูก กระอักเลือดออกมาไม่หยุด หากแต่แขนขวาที่งัดคอเฟิงอี้กู่ไว้อย่างไรก็ไม่คลายออก
เฟิงอี้กู่เริ่มตื่นตกใจ ยังคงปล่อยการโจมตีออกไปอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นเขาก็ใช้มือซ้ายปลดวิชาโล่ออกแล้วเอานิ้วทะลวงดวงตาของอีกฝ่าย ส่งผลให้ตาอีกฝ่ายบอดในพลัน
คนเถื่อนร่างยักษ์เปล่งเสียงร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด แต่แขนข้างนั้นก็ยังไม่ปล่อย
นัยน์ตามันมีเลือดแดงฉานหลั่งไหลออกมาไม่จุด มันเงยหน้าส่งเสียงกู่ร้องดั่งสนั่นออกมา
“ย่าห์ !”
จากนั้นมันก็บิดแขนข้างนั้น หักคอเฟิงอี้กู่ในพลัน
จังหวะเดียวกันนั้น การโจมตีของเฟิงอี้กู่ที่ซัดออกมาก่อนสิ้นใจก็ซัดทะลวงลำคอคนเถื่อนร่างยักษ์ ทำให้คนทั้งคู่ล้มลงสิ้นใจทั้งที่ยังอยู่ในท่านั้น