ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 180 ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูร
บทที่ 180 ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูร
ผ้าเท่อลั่วเค่อสีหน้าเปลี่ยนไปในที่สุด
หากแต่ก็ยังหัวดื้อไม่ยอมรับ เอ่ยโต้ออกมาเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าเพียงใช้วิชาจิตเล็กน้อยเท่านั้น ไม่อาจทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บได้จริงหรอก”
ซูเฉินหัวเราะเย็นชา “ท่านอาจจะใช้เพียงวิชาจิต แต่ก็ไม่แน่ว่าอาจจะทำร้ายเราได้ อีกทั้งนอกจากการแปลงร่างและความเชี่ยวชาญในภาษามนุษย์แล้ว ข้ายังรู้ว่าท่านมีวิธีรับมืออยู่อีกวิธีหนึ่ง ท่านกล้าเอ่ยหรือไม่ว่าไม่ใช่”
ผ้าเท่อลั่วเค่อชะงักค้างไป
ต้วนเจียงซานและจี้ลั่วอวี่เหลือบมองซูเฉิน “เขาทำสิ่งใดได้อีกหรือ ?”
“ก็คือเจ้านั่น !” ซูเฉินชี้ไปยังกำแพงที่อยู่ห่างออกไป “ก่อนหน้านี้ข้าบอกไปแล้วว่าสิ่งที่เป็นอมตะและกินไม่รู้จักอิ่มของท่านนั้นเป็นคำลวงทั้งสิ้น เช่นนั้นฝันร้ายของผ้าเท่อลั่วเค่อคืออะไรกันแน่ ? ท่านกล้าพูดหรือไม่ว่ามันไม่ใช่ภาพมายาที่ท่านสร้างขึ้น ?”
เขาพูดจบก็ปล่อยพลังซัดรุนแรงออกไปคราหนึ่ง
หมัดหนึ่งถูกปล่อยออกไปกระแทกกับกำแพล่องหน
ตู้ม !
ท่ามกลางเสียงดังสนั่น ทุกคนค่อย ๆ เห็นภาพตรงหน้าตนจางหายไป
ไม่มีกองรูปร่างประหลาดอีกต่อไป แต่เบื้องหลังผนังกลับถูกแทนที่ด้วยห้องหนึ่งที่เต็มไปด้วยอักขระค่ายกลพลังต้นกำเนิด รูปร่างเป็นดาวหกแฉก
ภายในห้องนั้นมีสิ่งมีชีวิตขนาดใหญ่ตัวหนึ่งอยู่
“อสูรเกล็ดม่วง !? จี้ลั่วอวี่ เยว่หลงซาและคนอื่น ๆ ร้องเสียงดัง
เบื้องหลังผนังนั้นคืออสูรเกล็ดม่วง แต่มันมีขนาดใหญ่กว่าและดูดุร้ายกว่าตัวที่พวกเขาพบในป่านัก
มันเป็นอสูรร้ายระดับกลาง
“นี่มัน……” ไม่อาจมีใครเข้าใจได้ว่าเหตุใดจู่ ๆ จึงมีอสูรร้ายปรากฏขึ้นในห้องทดลอง
ซูเฉินจึงเอ่ย “หากข้าคาดเดาไม่ผิด เจ้านี่คือผู้คุมตัวจริงของห้องทดลองแห่งนี้”
ทุกคนชะงักไป
หากเจ้าอสูรร้ายตัวนี้คือผู้คุมตัว เช่นนั้นคนที่ถูกคุมขังก็ต้องเป็นเจ้าของห้องทดลองคนก่อน ผ้าเท่อลั่วเค่อ ?
เหตุการณ์ผันเปลี่ยนไปจนเกินกว่าทุกคนจะทำความเข้าใจได้
อสูรร้ายตัวนี้คล้ายกับถูกทักษะต้นกำเนิดบางอย่างควบคุม มันยืนอยู่ตรงนั้น ไม่ขยับกายดูแปลกตายิ่ง หากแต่กลิ่นอายดุดันที่แผ่ออกจากร่างก็ยังทำให้คนมองสัมผัสได้ว่ามันเป็นอสูรร้ายระดับกลาง
“เจ้าจะบอกว่าเรื่องทุกอย่างที่เราเจอจนถึงตอนนี้เป็นฝีมือเจ้าอสูรร้ายนี่น่ะหรือ ?” ต้วนเจียงซานถามด้วยความไม่อยากเชื่อ
“เจ้าจำเรื่องที่เรากังขาเมื่อก่อนหน้าได้หรือไม่ ? หากมีคนคอยควบคุมค่ายกลพลังต้นกำเนิดอยู่ก็ดูสมเหตุสมผลแล้ว แต่เหตุใดเหล่าอสูรร้ายจึงร่วมมือกับค่ายกลพลังต้นกำเนิดและเข้าโจมตีเราอย่างไม่หยุดหย่อนเล่า ?” ซูเฉินพูดขึ้น “ครานี้เจ้ารู้คำตอบแล้ว สำหรับอสูรร้าย การควบคุมอสูรร้ายที่อยู่บนเขาแห่งนี้นั้นไม่ใช่เรื่องยาก”
“แล้วมันควบคุมค่ายกลพลังต้นกำเนิดได้อย่างไร ?” จี้ลั่วอวี่ถามขึ้น
“ก็ต้องควบคุมผ่านกลไกควบคุมกลางอย่างไรเล่า ตอนนี้เรายืนอยู่ในคุกเล็ก ๆ ห้องหนึ่งในห้องทดลองแห่งนี้เท่านั้น ส่วนอสูรร้ายตัวนั้นอยู่ในห้องควบคุม ไม่เช่นนั้นหากห้องทดลองกับห้องกลไกควบคุมกลางอยู่รวมกันจะฟังดูไร้เหตุผลไปสักหน่อย”
“อสูรร้ายจะควบคุมกลไกควบคุมกลางได้อย่างไรกัน ?” อวี๋เมิ่งหนานสับสนมึนงง “มันทำได้ถึงขนาดนี้เลยหรือ ?”
“แสดงว่ามันได้รับการฝึกมาแล้ว พวกเจ้าอย่าลืมว่าอสูรร้ายเองก็มีสติปัญญา หากได้รับการสั่งสอนมันก็สามารถสื่อสารกับมนุษย์ได้ ดังนั้นจะสอนให้มันบังคับกลไกเช่นนั้นไม่ใช่เรื่องยาก”
“แล้วใครเป็นคนสอนมันกัน ? คนพวกนั้นหนีไปนานแล้ว เจ้านี่คงจะไม่ใช่อสูรร้ายเมื่อ 3 หมื่น 6 พันปีก่อนกระมัง !” เยว่หลงซาโพล่งขึ้น
“ย่อมไม่ใช่ มันสืบต่อกันทางสายเลือดต่างหาก หากเจ้าใส่ภารกิจบางอย่างลงในสายเลือดของมันแล้วให้มันสืบสายเลือดต่อไปแล้ว อสูรเกล็ดม่วงและลูกหลานของมันก็จะทำหน้าที่เป็นผู้คุมคุกแห่งนี้ต่อไปเอง”
“เป็นไปไม่ได้หรอก !” ต้วนเจียงซานตะลึงไป “ความรู้และคำสั่งจะสามารถ่ายทอดผ่านสายเลือดได้อย่างไร ? อาณาจักรอาร์คาน่าไม่มีวิชาเช่นนั้น”
“แต่ผ้าเท่อลั่วเค่อทำได้ เพราะจุดประสงค์หลักของห้องทดลองนี้ไม่ใช่เพื่อค้นหาความเป็นอมตะ แต่เป็นเพื่อทำการส่งต่อข้อมูลต่างหาก เช่นนี้แล้ว ยามเมื่อชาวอาร์คาน่าเกิดมา พวกเขาก็จะได้รับความรู้ต่าง ๆ ในทันที ไม่จำเป็นต้องเสียเวลาศึกษายาวนานอีก ซึ่งช่วยลดระยะเวลาได้มาก…… ข้าพูดได้ถูกต้องหรือไม่ ท่านปรมาจารย์ผ้าเท่อลั่วเค่อ ?”
ผ้าเท่อลั่วเค่อตกตะลึงไป “เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
“ในห้องทดลองที่พวกเราเพิ่งเดินผ่านมา กว่าครึ่งของตัวทดลองนั้นตั้งครรภ์อยู่…… การทำเช่นนั้นไม่คล้ายกับเป็นการใฝ่หาความเป็นอมตะเลยสักนิด เดิมทีข้าก็ไม่รู้ว่าท่านตั้งใจจะศึกษาค้นคว้าเรื่องใดกันแน่ ตอนแรกข้าคิดว่าท่านคงอยากผสานสิ่งมีชีวิตเข้าด้วยกันและสร้างเผ่าใหม่ขึ้นมา แม้จะดูเป็นงานใหญ่แต่แรงจูงใจไม่ได้ยิ่งใหญ่ถึงเพียงนั้น แต่หากท่านจะสร้างเผ่าใหม่ขึ้นจริง ท่านก็นำมันมาใช้งานได้…… อาทิเช่น ท่านสามารถควบคุมความทรงจำมันได้”
ซูเฉินหัวเราะ “สร้างเผ่าใหม่ขึ้นมา สลักความทรงจำบางอย่างลงไปในหัวคนเผ่าใหม่นั่น จากนั้นเปลี่ยนมันให้กลายเป็นทาสของเผ่าอาร์คาน่าเพื่อแทนที่ทาสเผ่ามนุษย์ เผ่าคนเถื่อน เผ่าปักษา และเผ่าอื่น ๆ ที่มีนิสัยไม่ยอมพ่ายแพ้ คราวนี้จึงจะนับว่ามีแรงจูงใจยิ่งใหญ่ ! ต่อไปท่านอาจใช้การทดลองนี้กับเผ่าอาร์คาน่าด้วยกันเองก็เป็นได้ หากลองมองภาพรวมโดยกว้าง ทารกเผ่าอาร์คาน่าจะมีความรู้ตั้งแต่แรกเกิด แต่หากมองอย่างเห็นแก่ตัว ท่านก็สามรถใช้วิธีนี้ควบคุมเผ่าอาร์คาน่าได้อย่างง่ายดาย”
ทุกคนชะงักไปด้วยคำพูดของซูเฉิน
“ข้าบังเอิญมีโอกาสอ่านตำราที่กล่าวถึงช่วงเวลาครั้งที่อาณาจักรอาร์คาน่ายังคงอยู่ ตำรากล่าวว่ามีปรมาจารย์อาร์คาน่า 2-3 คนที่เชี่ยวชาญด้านการควบคุมฝูงสัตว์อสูร จนสามารถครอบครองทวีปได้ระยะเวลาหนึ่งเลยทีเดียว”
ผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินแล้วก็คำรามขึ้น “พวกบัดซบนั่นมันชิงเอาสิ่งประดิษฐ์อันยิ่งใหญ่ของข้าไป !”
สีหน้าท่าทางเป็นมิตรของเขาแปรเปลี่ยนเป็นดุร้าย ท่าทีที่แสร้งทำหายไปจนสิ้น ร่างของเขาขยายใหญ่ขึ้นเรื่อย ๆ จนกระทั่งหัวเกือบถึงเพดาน
“พวกคนทรยศ ! มันขัดคำสั่งของผ้าเท่อลั่วเค่อผู้นี้ ! ข้าจะถลกหนังมัน !”
“ท่านไม่ต้องลงมือหรอก พวกเขาตายไปตั้งแต่ 3 หมื่น 6 พันปีที่แล้ว” ซูเฉินเอ่ยเสียงเย็น
เมื่อได้ยินดังนั้นผ้าเท่อลั่วเค่อจึงเริ่มสงบลง
เยว่หลงซาที่เคยอ่านประวัติศาสตร์โบราณอาร์คาน่ามาบ้างเข้าใจเรื่องราวในพลัน “เจ้าหมายถึงผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรหรือ ? ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรเดิมทีเป็นการทดลองที่มาจากห้องทดลองแห่งนี้เองหรือ ?”
ในประวัติศาสตร์โบราณอาร์คาน่านั้น ยังมีอาชีพพิเศษหนึ่งคือผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรมาก่อน
พวกเขามีความสามารถพิเศษที่สามารถควบคุมฝูงสัตว์อสูรขนาดมหึมาได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้เล่ห์กลใด ๆ ทั้งสิ้น
บนทวีปต้นกำเนิดนั้น ทุกสิ่งอย่างเป็นไปตามกฎแห่งการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียม ผู้ที่สามารถควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่นได้ ปกติแล้วยิ่งมีเป้าหมายจำนวนมากก็ยิ่งต้องใช้พลังจำนวนมากเช่นกัน
หากแต่ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรนั้นทำลายขีดจำกัดนี้ลง พวกเขาคล้ายกับจะสามารถควบคุมสัตว์อสูรได้ไม่จำกัด คล้ายกับเป็นแม่ทัพของเหล่าสัตว์อสูร ทุกนายมีกองทัพสัตว์อสูรในการควบคุม ในช่วงที่อาณาจักรกำลังรุ่งเรือง พวกเขาได้ทิ้งประวัติศาสตร์ไว้ให้อาณาจักรอาร์คาน่า ดังนั้นจึงได้รับการบันทึกและกล่าวถึงในตำราประวัติศาสตร์อยู่บ้าง
ซูเฉินพยักหน้า “ถูกต้อง คงจะเป็นดังเจ้าว่า ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรเกิดขึ้นมาเพียงช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ในอาณาจักรอาร์คาน่า มาเพียงชั่วประเดี๋ยว แต่ก็ไม่ได้เก่งกาจจนถึงขีดสุด ปรากฏขึ้นเร็วและหายไปเร็ว หลาย ๆ คนไม่เข้าใจว่าเป็นเพราะเหตุใด แต่ข้าว่ามันมีเหตุผลอยู่ข้อหนึ่ง…… นั่นก็คือวิชาที่พวกเขาใช้ยังไม่สมบูรณ์นัก”
ผ้าเท่อลั่วเค่อชะงักไปครู่หนึ่งก่อนจะพยักหน้า “ถูกต้อง เจ้าพูดได้ถูกต้อง ! สิ่งประดิษฐ์นั่นยังไม่สมบูรณ์ แม้พวกเราจะสามารถสลักความทรงจำลงในสายเลือดได้ ทำให้สืบต่อความทรงจำผ่านสายเลือด แต่สัตว์อสูรตัวนั้นจะมีความแข็งแกร่งจำกัด หลังจากผ่านไประยะหนึ่ง พวกมันก็จะไม่แข็งแกร่งขึ้นอีก ส่วนคนที่ใช้วิชานี้อวัยวะภายในจะล้มเหลวเนื่องจากมันเปล่งพลังออกมารุนแรงนัก”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง” ซูเฉินเข้าใจมันในที่สุด “ขอข้าทำความเข้าใจเหตุการณ์สักครู่ เพราะท่านกระทำการโหดเหี้ยมภายในห้องทดลองแห่งนี้มานาน กระทั่งสังหารผู้ช่วยตนเองไปคนหนึ่ง คนอื่น ๆ จึงทนไม่ไหวอีกต่อไปและร่วมมือกันโค่นล้มท่าน หากแต่การต่อสู้ครั้งนั้นพวกเขาก็บาดเจ็บหนักนัก หลังจากท่านตายไปก็ถูกขังไว้ในแผ่นหินนี่”
“ส่วนเหล่าผู้ช่วยก็มีเพียงไม่กี่คนที่รอดชีวิตไป พวกเขาใช้วิทยาการที่สร้างขึ้นในห้องทดลองควบคุมฝูงสัตว์อสูร สลักภารกิจลงในสายเลือดของอสูรเหล่านั้นเพื่อให้พวกมันทำตามคำสั่งอย่างเคร่งครัด เป็นตอนนั้นเองที่ผู้ควบคุมวิญญาณสัตว์อสูรถือกำเนิดขึ้นมา หากแต่พวกสัตว์อสูรจะรับฟังคำสั่งจากนายมันเท่านั้น เมื่อเจ้านายตายลงไปพวกมันจึงกระจัดกระจายแยกย้ายหายไป”
“เรื่องราวคงจะเป็นไปเช่นนั้น” ทุกคนต่างเห็นด้วย
“แต่ข้ายังมีอีกคำถามหนึ่ง ข้าไม่เข้าใจว่าเหตุใดพวกเขาจึงไม่สังหารท่านทิ้งเสีย ?” ซูเฉินถามขึ้น
“พวกนั้นยังเก็บข้าไว้เพราะต้องการให้ข้าช่วยพัฒนาวิทยาการนั้นต่ออย่างไร ! พวกมันยังไม่ได้ละทิ้งการทดลองไปแม้แต่นิด !” ผ้าเท่อลั่วเค่อคำราม “แต่ข้าจะปล่อยให้คนทรยศพวกนั้นใช้ประโยชน์จากข้าได้อย่างไร ! ยังดีที่ข้าเหลือกลลับไว้ ข้าใช้พวกมันในการเคลื่อนย้ายห้องทดลองแห่งนี้ให้เข้าไปในพื้นที่พลังงานสูญ ปล่อยให้มันล่องลอยอยู่เช่นนั้น ส่วนข้าก็ตกลงสู่ห้วงนิทราล้ำลึก ข้ายอมรออีกกว่าหมื่นปีเพื่อให้ห้องทดลองของข้าปรากฏขึ้นใหม่หลังจากพลังงานหมดลงดีกว่าจะให้พวกมันมีโอกาสใช้ประโยชน์จากมัน !”
เสียงคำรามของผ้าเท่อลั่วเค่อคลายข้อข้องใจสุดท้ายของซูเฉินลง
“เรื่องราวเป็นเช่นนี้” ซูเฉินพยักหน้า “เช่นนั้นท่านก็ยอมรับแล้วสินะว่ายังเหลือกลลับที่ท่านซ่อนไว้อยู่ ?”
ผ้าเท่อลั่วเค่อเริ่มหัวเราะ “ถูกต้องแล้ว ถึงตอนนี้ปฏิเสธไปจะมีประโยชน์อันใด ? พวกมนุษย์บัดซบอย่างเจ้าฉลาดเป็นกรดนัก เป็นแค่สิ่งมีชีวิตต่ำต้อยแท้ ๆ ข้าให้โอกาสเจ้าแล้ว แต่เจ้าก็ยังจะเลือกเดินมาทางนี้ บัดนี้ ข้า ผ้าเท่อลั่วเค่อผู้ยิ่งใหญ่ จะมอบโอกาสสุดท้ายให้เจ้า ปล่อยข้าออกไปจากคุกนี่เสียเดี๋ยวนี้ ไปเช่นนั้นข้าจะสังหารพวกเจ้าทิ้ง !”
สิ้นคำพูดบ้าคลั่งประโยคนั้น หมอกดำก็ลอยออกมาปกคลุมทั่วทั้งห้องทดลอง ราวกับจู่ ๆ ก็กลายเป็นฉากสยองขวัญไป