ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 181 แผ่นหินกักวิญญาณ
บทที่ 181 แผ่นหินกักวิญญาณ
เมื่อหมอกมืดค่อย ๆ คืบคลานเข้ามา บรรยากาศเย็นเฉียบก็เริ่มบังเกิด กระทั่งยังมีเสียงหัวเราะประหลาดดังอยู่รอบกาย คล้ายกับมีบางอย่างตะคุ่กายมอยู่ท่ามกลางหมอกดำเหล่านี้
“หลอกไม่ได้ ตอนนี้เลยคิดจะใช้กำลังหรือ ?” ซูเฉินหัวเราะเย็นชาออกมาแล้วมองไปรอบ ๆ
“พ่อหนุ่ม อย่างที่เจ้าว่า แม้ข้าจะเป็นเพียงวิญญาณ แต่ก็ยังใช้วิชาอาร์คาน่าบางอย่างได้ ข้าเป็นถึงอดีตปรมาจารย์อาร์คาน่า พวกเจ้าไม่อาจเทียบพลังข้าได้ ดังนั้นหากยังไม่อยากตายก็รีบปล่อยข้าออกไปแต่โดยดีเถอะ……” ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยเสียงเหี้ยม
ทุกคนพลันตกใจกับท่าทางที่แปรเปลี่ยนเป็นดุร้ายของอีกฝ่าย ต่างเตรียมตัวออกท่าป้องกันตนเต็มที่
หากแต่ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็นออกมา “ปรมาจารย์อาร์คาน่า ? ตอนท่านมีชีวิตอยู่ก็คงใช่ แต่ท่านตายไปแล้ว ยังเหลือกำลังอยู่เท่าไรกัน ? ท่านพอเถอะ ผ้าเท่อลั่วเค่อ วิชาที่ท่านยังใช้ได้ก็มีเพียงวิชาจิตเล็กน้อยเท่านั้น เพราะท่านไม่อาจจับต้องวัตถุได้อีกต่อไป ร่างวิญญาณของท่านจึงทำได้เพียงเท่านั้น”
ผ้าเท่อลั่วเค่อชะงักไป
เป็นวิชามายา ?
เมื่อครู่เป็นเพียงวิชามายาหรือ ?
ทุกคนจึงมอบรอบกายตนให้ถี่ถ้วน พบว่าหมอกดำเหล่านี้ดูชั่วร้ายและหนาแน่นนัก หากแต่ก็ไม่มีการโจมตีใดซัดเข้ามาเลย
ผ้าเท่อลั่วเค่อคำรามลั่น “แม้ข้าจะมีเพียงวิชาจิตก็ยังสามารถควบคุมพวกเจ้าได้อีกมาก เจ้าทำให้ข้าโกรธเกรี้ยวเกินพอแล้ว กระทั่งวิญญาณพวกเจ้าข้าก็ทำลายทิ้งได้ ทำให้กลายเป็นไอ้โง่คนหนึ่งได้ !”
“ถูกต้องแล้ว !” ซูเฉินพยักหน้าจริงจัง “วิชาจิตทำเช่นนั้นได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านมีวิชาเช่นนั้น หากท่านทำได้จริง อสูรเกล็ดม่วงหลังกำแพงนั่นก็คงไม่นั่งบื้ออยู่เช่นนั้นกระมัง มันก็คงพุ่งเข้ามา ปล่อยท่านออกจากแผ่นหินนี่ไปนานแล้ว อีกทั้งยังตรงเข้ากำจัดพวกเราให้สิ้นซาก อย่างไรท่านก็ไม่ใช่ปรมาจารย์วิชามายา ท่านทำเช่นนั้นไม่ได้หรอก !”
ผ้าเท่อลั่วเค่อตะโกนขึ้น “เจ้าคิดเช่นนั้นหรือ ? ร่างวิญญาณข้าอาจจะไม่ใช่ปรมาจารย์วิชามายา แต่เจ้าคิดว่า 3 หมื่น 6 พันปีที่ข้าหลับไปข้าไม่ทำอันใดเลยหรือ ? ไม่เลย ! หมื่นปีก่อนข้าอาจจะไม่อาจทำสิ่งใดได้ แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเพียงแต่ไม่อยากลงมือควบคุมอสูรกายนั่นเพราะสิงที่ต้องจ่ายไปมันหนักหนานัก ถึงตอนนี้ข้าจะออกจากแผ่นหินนี่ไปได้ แต่ข้าก็ไร้ร่างให้สิงสู่……”
น้ำเสียงเขาพลันเบาลง
ซูเฉินเอ่ยอย่างเย็นชา “ท่านเข้าใจแล้วใช่หรือไม่ ? ให้ข้าเดาประโยคที่ท่านกำลังจะเอ่ย…… ท่านคิดจะเอ่ยว่าแม้จะออกจากแผ่นหินนั่นได้ แต่หากไม่มีร่างให้สิง ท่านก็ต้องตายอยู่ดีใช่หรือไม่ ?”
“ไม่ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องตะโกนออกมา
“ดังนั้นท่านจึงต้องเจาะจงให้พวกข้าเป็นผู้ปลดปล่อยท่าน” ซูเฉินเอ่ยเสียงต่ำ “ไม่เพียงท่านจะสามารถเป็นอิสระได้ แต่เพราะแผ่นหินนั่นเป็นที่กักขังและยังเป็นชีวิตของท่านด้วย หากไร้แผ่นหินกักวิญญาณนั่นแล้ว วิญญาณของท่านก็จะสลายหายไป ดังนั้นหลบหนีออกมาไม่พอ ต้องหาร่างที่เหมาะสมด้วย ข้าไม่รู้ว่าท่านจะสามารถควบคุมอสูรกายนั่นได้จริงหรือไม่ แต่ถึงจะทำได้ ท่านก็คงไม่อยากกลายเป็นสัตว์อสูร ดังนั้นท่านจึงเลือกนอนหลับและรอมาจนถึงตอนนี้”
“ไม่…… ไม่……” ผ้าเท่อลั่วเค่อคำราม “ข้าเพียงอยากเป็นอิสระเท่านั้น สิ่งที่เจ้าพูดไม่ใช่ความจริง !”
“ท่านเพียงต้องการร่างใหม่เท่านั้น” ซูเฉินเอ่ย “ร่างที่ใหม่กว่า แข็งแรงกว่าเดิม”
จี้ลั่วอวี่ตัวสั่นเมื่อคิดถึงสิ่งที่อาจเกิดขึ้น หากตนยอมทำตามที่ผ้าเท่อลั่วเค่อบอกด้วยการปลดปล่อยวิญญาณของปรมาจารย์อาร์คาน่าผู้นี้ออกไป อีกฝ่ายคงจะสิงสู่ในร่างเขาเป็นแน่ ดังนั้นเมื่อเข้าใจเรื่องราวทั้งหมดดีแล้วจึงอดตัวสั่นไม่ได้ “เจ้ามันปีศาจ !”
“บัดซบ ! เจ้าทำข้าโมโหนัก ! คราวนี้เจ้าจะต้องชดใช้ที่ล่วงเกินข้า !” ผ้าเท่อลั่วเค่อคำรามเสียงเกรี้ยวโกรธ
เสียงกรีดบาดแก้วหูพลันดังขึ้นเคล้าเสียงคำรามของอีกฝ่าย เสียงกรีดนั่นทะลุทะลวงเข้าไปในหัว ทุกคนจึงยกมือกุมหัวตนก่อนจะร้องด้วยความเจ็บปวดออกมา
ผ้าเท่อลั่วเค่อเอ่ยไว้ไม่ผิด แม้จะสามารถใช้ได้เพียงวิชาจิต แต่ก็ยังสังหารคงได้ ซึ่งผ้าเท่อลั่วเค่อก็ย่อมมีวิชาเช่นนั้นซ่อนอยู่แน่
แต่เมื่อเขาปล่อยเสียงบาดจิตนั่นออกมา ซูเฉินก็พุ่งเข้าไปจับแผ่นหินเอ่ยขึ้น “หากไม่หุบปากข้าจะทำลายมันเสีย !”
ทั้งเสียงคำรามและเสียงกรีดดังลั่งพลันสงบลงทันที
ผ้าเท่อลั่วเค่อเหลือบมองซูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตาตน “เจ้า…… เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”
ใช่แล้ว ผ้าเท่อลั่วเค่อต้องการหลุดพ้นจากแผ่นหินกักวิญญาณ แต่เขาก็ไม่ได้บอกว่าหากทำลายมันลงก็จะจบเรื่อง วิญญาณเขาผูกพันกับแผ่นหินนั่น หากมันถูกทำลาย วิญญาณเขาก็จะถูกทำลายไปด้วย มีเพียงแต่ต้องนำแผ่นหินไปใส่ในกลไกที่ผนังเท่านั้นวิญญาณเขาจึงจะออกจากแผ่นหินและเป็นอิสระอย่างแท้จริงได้
สำหรับคนอื่น ๆ อาจมองว่าผ้าเท่อลั่วเค่ออยากจะออกจากแผ่นหินนี่ใจจะขาด ดังนั้นจึงมองว่าแผ่นหินนี่เป็นดั่งโซ่ตรวน เป็นที่กักขัง ไม่คิดว่าจะใช้มันข่มขู่ผ้าเท่อลั่วเค่อได้
แต่ซูเฉินสามารถมองเห็นจุดอ่อนสำคัญของผ้าเท่อลั่วเค่อออก
เขาหัวเราะ “ก็ท่านเพิ่งจะบอกวิธีปลดปล่อยท่านไปไม่ใช่หรือ ? หากมีวิธีที่ง่ายกว่านั้น เหตุใดไม่ใช้วิธีนั้นแทนเล่า ? เป็นเพราะทำแบบนั้นไม่ใช่วิธีการปลดปล่อยที่แท้จริงต่างหาก”
ผ้าเท่อลั่วเค่อร่างสั่นสะท้าน
ถูกต้องแล้ว หากทำลายแผ่นหินลงแล้วเขาจะสามารถเป็นอิสระได้ เหตุใดเขาจึงต้องลงมือซับซ้อน ล่อลวงจี้ลั่วอวี่ให้เป็นฝ่ายลงมือทำแทนเขากัน ?
ซูเฉินหัวเราะเสียงเย็น “ท่านแสร้งทำท่าทีดุร้าย หากแต่ไม่ได้แข็งแกร่งมากมาย ไม่ว่าจะมีวิชาหรือกลลวงใดก็ไม่อาจปกปิดจุดอ่อนสำคัญได้ ต่อไปท่านฟังคำข้าให้ดีจะดีกว่า”
ซูเฉินพูดแล้วก็ถือแผ่นหินไว้
“ไม่ !” ผ้าเท่อลั่วเค่อร้องเสียงหลงออกมา “อย่าทำเช่นนั้น !”
สิ้นเสียงนั้นก็บังเกิดเสียง ปึ่ง! ดังสนั่น
กำแพงด้านข้างห้องทดลองพลันถล่มลงมา
อสูรเกล็ดม่วงพุ่งเข้ามาเงื้อกรงเล็บใส่ซูเฉิน
เป็นผ้าเท่อลั่วเค่อที่ปลดภาพมายาที่ขังอสูรเกล็ดม่วงลง ทำให้มันพุ่งเข้ามาตามสัญชาตญาณเมื่อเห็นว่ามีคนอยู่ใกล้แผ่นหินกักวิญญาณของผ้าเท่อลั่วเค่อ
ซูเฉินดึงแผ่นหินมาไว้ใกล้ตัว วางมันไว้ตรงหน้าเขาคล้ายกับจะใช้มันเป็นโล่
น่าตะลึงนักที่อสูรเกล็ดม่วงยอมหยุดการเคลื่อนไหวลงจริง ๆ
“เป็นเช่นนี้เองหรือ ?” ซูเฉินยิ้มน้อย ๆ “ภารกิจของเจ้าคือการเฝ้า ไม่ใช่ทำลาย ถูกต้องหรือไม่ ?”
อสูรเกล็ดม่วงจ้องมองมาที่เขาแล้วคำรามต่ำเป็นเชิงเตือน
แม้อสูรกายจะสามารถพูดภาษามนุษย์ได้ แต่ก็จำเป็นต้องมีคนสอนมันก่อน และหากไม่ได้รับการสั่งสอนที่สมควรหรือมีตัวอย่างให้เลียนแบบตามแล้ว งั้นแล้วก็คงไม่สามารถสื่อสารได้
เขามองอสูรเกล็ดม่วงที่ส่งเสียงขู่เขาอย่างดุร้ายแต่ก็ไม่ขยับกาย แล้วจึงมั่นใจว่ามันหยุดเพราะไม่ต้องการทำลายแผ่นหิน ทำให้ชายหนุ่มคลี่ยิ้มขึ้นและเอ่ยว่า “ข้าจะปล่อยมันไว้เช่นนี้ก็ได้ แต่ขอเจ้าอย่าสร้างปัญหาให้พวกข้าเลย เช่นนั้นได้หรือไม่ ?”
แม้มันจะไม่เข้าใจภาษามนุษย์ แต่อสูรเกล็ดม่วงก็ยังมีสติปัญญา มันเข้าใจสิ่งที่ซูเฉินจะสื่อในพลัน ดังนั้นหลังจากคำรามใส่ซูเฉินอีกสองสามครา มันก็ถอยห่างออกไป
“ดีมาก”
ซูเฉินหัวเราะแล้ววางแผ่นหินไปที่เดิม ทันใดนั้นจี้ลั่วอวี่ก็จะโกนขึ้น “ศิษย์พี่ซูระวัง !!”
ที่ด้านหลังซูเฉิน เงาร่างของคนผู้หนึ่งพลันปรากฏ พุ่งเข้าใส่ซูเฉินราวกับสายฟ้าแลบก่อนจะซัดการโจมตีดุดันสายหนึ่งใส่หลังชายหนุ่ม
ตานปา !