ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 183 ยอมจำนน
บทที่ 183 ยอมจำนน
ในขณะที่ผีเยวี๋ยนหงและหลงเท่อเอ่อร์กำลังต่อสู้กันอย่างดุเดือด ซูเฉินก็กำลังพาสุนัขเดินเล่น
ถูกต้อง เขากำลังพาสุนัขเดินเล่นอยู่ !
แผ่นหินกักวิญญาณลอยไปลอยมาอยู่กลางอากาศ เสียงตะโกนกรีดร้องของผ้าเท่อลั่วเค่อดังไม่หยุดราวกับกำลังถูกเหวี่ยงไปมาใกล้จะร่วงจากผาสูง อสูรเกล็ดม่วงเองก็ไล่แผ่นหินกักวิญญาณมาไม่หยุด มันวิ่งไปมาราวกับสุนัขที่ถูกผูกเชือกจูง
อสูรเกล็ดม่วงก็ไม่ได้ไร้ปัญญา หากแต่คำสั่งที่สลักไว้ในสายเลือดกลับทำให้มันไร้ทางเลือก
ในขณะที่อสูรเกล็ดม่วงไร้ทางเลือกอื่นใด แต่ผ้าเท่อลั่วเค่อยังเหลือทางเลือกอยู่
ผ้าเท่อลั่วเค่อที่ไม่ต้องการถูกโยนไปมาอีกต่อไปร้องขึ้นด้วยความโกรธ “พอแล้ว ! หยุดได้แล้ว !”
สิ้นเสียง คลื่นพลังจิตไร้รูปร่างก็ถูกส่งเข้าล้อมร่างอสูรเกล็ดม่วงและซูเฉิน
หาแต่อสูรเกล็ดม่วงกลับร้องคำรามขึ้นด้วยความโกรธ ทำให้ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่อาจควบคุมจิตใจมันได้
เขาไม่เคยเชี่ยวชาญด้านหารควบคุมสิ่งมีชีวิตอื่น เขาเพิ่งจะเริ่มศึกษาวิชานี้ยามที่ตนกลายเป็นวิญญาณและไม่สามารถแตะต้องวัตถุใดได้แล้วเท่านั้น แต่เพราะเขาไร้พื้นฐานและไม่อาจอ่านตำราใดได้อีก ดังนั้นเขาจึงไม่อาจศึกษาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้ ทำได้เพียงใช้ความรู้ที่ตนเคยมีเท่านั้น ทำให้การฝึกวิชาเป็นไปได้อย่างล่าช้า ที่ก่อนหน้านี้เขาสามารถคุมอสูรเกล็ดม่วงได้เป็นเพราะมันไม่เคยรับมือกับวิชาเช่นนี้มาก่อนจึงไม่ทันระวังตัว และครั้งนี้ก็เป็นครั้งที่สอง ดังนั้นผลลัพธ์ย่อมออกมาต่างกัน
ส่วนพลังจิตที่ส่งไปหมายจะคุมจิตซูเฉินยิ่งไม่ต้องกล่าว มนุษย์มีสติปัญญาและพลังจิตสูงกว่าอสูรกาย หากอสูรกายสามารถป้องกันการโจมตีจิตได้ ชายหนุ่มก็ย่อมทำได้เช่นกัน
การโจมตีจิตของผ้าเท่อลั่วเค่อไม่อาจใช้ได้ผลกับซูเฉินและสัตว์อสูร ทำให้ซูเฉินมีจังหวะ
ในตอนที่อสูรเกล็ดม่วงกำลังต้านการโจมตีจิตอยู่นั่นเอง ชายหนุ่มก็ได้ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตา ส่งอสูรเกล็ดม่วงตกลงสู่ห้วงมายาที่เขาสร้างขึ้นทันที
ซูเฉินใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตายามจำเป็นเท่านั้น ทว่ามักจะใช้วิชาได้สำเร็จทุกครั้ง แต่อย่างไรเขาก็อยากเลี่ยงวิชาตีกลับให้ได้มากที่สุด
อสูรเกล็ดม่วงชะงักค้างอยู่กับที่ ส่วนหลงเท่อเอ่อร์ถูกผีเยวี๋ยนหงฉีกร่างจนแยกออกเป็นสองส่วน ทำให้การต่อสู้สิ้นสุดลงในที่สุด
ซูเฉินกุมท้องตนพลางลุกขึ้นยืน ใบหน้าซีดขาว “ลั่วอวี่ ยังเหลือเวลาอีกเท่าไร ?”
“อย่างมากอีกหนึ่งก้านธูปก่อนที่นี่จะสลายลง” จี้ลั่วอวี่ตอบ
“เช่นนั้นจะรออะไรอยู่อีก ? รีบเก็บของไปให้ได้มากที่สุด !” ซูเฉินออกคำสั่งทันที
“รับทราบ !” จี้ลั่วอวี่และเยว่หลงซาพยักหน้า จากนั้นก็เริ่มซัดพลังใส่ห้องทดลองเพื่อหาสมบัติราวกับเป็นพายุลูกใหญ่
ตอนนี้พวกเขาไม่คำนึงถึงมูลค่าของสิ่งของอีกต่อไป หากดูไม่แย่มากก็จะกวาดเข้าแหวนต้นกำเนิดจนหมด ไว้ค่อยเปิดดูคราหลัง กระทั่งอวี๋เมิ่งหนานและต้วนเจียงซานก็ไม่ใส่ใจบาดแผลบนร่าง พากันค้นสมบัติภายในต่อ
หากแต่ซูเฉินยืนนิ่งอยู่เช่นนั้น ในมือถือแผ่นหินไว้แล้วจ้องไปยังผ้าเท่อลั่วเค่อ
“บอกมาสิว่าข้าควรจะจัดการท่านอย่างไรดี ?” เขาหัวเราะเสียงเย็นออกมา
“อย่าฆ่าข้าเลย !” ผ้าเท่อลั่วเค่อเริ่มร้องตะโกน “ข้ายอมกลายเป็นทาสผู้ภักดีของเจ้า ! ข้าเคยเป็นหนึ่งในปรมาจารย์อาร์คาน่าแนวหน้า มีความรู้มากมายนัก ข้าสอนทุกสิ่งอย่างให้เจ้าได้ เจ้ากำลังศึกษาวิชาโบราณอาร์คาน่าไม่ใช่หรือ ? วิชาหนวดอากาศ ? นั่นมันวิชาขยะอันใดกัน ? ข้าสอนวิชาที่โดดเด่นกว่ามันให้เจ้าได้อีกมากมาย !”
“ฟังดูดีไม่น้อย แต่โชคไม่ดีที่ของทุกอย่างต้องส่งมอบให้พวกระดับสูงหมด หากท่านจะมาเป็นทาสข้า ข้าคงไม่อาจอธิบายให้พวกเขาฟังได้” ซูเฉินเอ่ยเสียงเรียบ
ผ้าเท่อลั่วเค่อชะงักค้างไป
ซูเฉินเอ่ย “ทำลายแผ่นหินไปเสียน่าจะง่ายกว่า”
ผ้าเท่อลั่วเค่อได้ยินแล้วก็ตกใจร้องขึ้น “เจ้าซ่อนข้าไว้ก็ได้……”
อีกฝ่ายยังไม่ทันได้พูดจบประโยค ซูเฉินก็เอ่ยเสียงต่ำขึ้น “หุบปากเสีย ท่านคิดจะให้ข้าขายดินแดนตนเองหรือ ?”
ผ้าเท่อลั่วเค่อใจสั่นสะท้าน เพิ่งจะเข้าใจว่าซูเฉินไม่ได้อยู่ที่นี่เพียงคนเดียว
เขาหันมองซูเฉินที่กำลังมองอสูรเกล็ดม่วงอยู่
ผ้าเท่อลั่วเค่อมีชีวิตอยู่มาหลายหมื่นปี เหลือบมองซูเฉินที อสูรเกล็ดม่วงที จากนั้นก็พลันมีปฏิกิริยา เขาร้องขึ้น “หากสังหารข้า เจ้าก็จะไม่อาจใช้ข้าข่มขู่อสูรกายนั่นได้อีกหลังจากมันหลุดจากภาพมายาของเจ้าแล้ว”
ซูเฉินชะงักไปเมื่อได้ยินดังนั้น “แต่หากข้าปล่อยท่านไว้ที่นี่มันก็ยังจะโจมตีเราอยู่ดี ทำอย่างไรดีเล่า ?”
“แล้วเจ้าจะทำอะไร ?” ผ้าเท่อลั่วเค่อไม่รู้จะตอบคำถามชายหนุ่มอย่างไร ได้แต่จ้องซูเฉินนิ่งเท่านั้น
ซูเฉินถอนหายใจก่อนเอ่ยขึ้น “เว้นเสียแต่ข้าจะมีวิธีควบคุมท่านได้”
ผ้าเท่อลั่วเค่อพลันเข้าใจความหมายของซูเฉิน “เลือดของเจ้า…… หากเจ้าหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนแผ่นหินแล้วร่ายคาถาที่สลักอยู่บนแผ่นหินนี่ละก็ จากนั้นต่อไปเจ้าจะได้เป็นเจ้าของแผ่นหิน แต่ทว่าเจ้าจะไม่อาจทำลายการเชื่อมต่อในครั้งนี้ลงได้”
“งั้นหรือ” ซูเฉินถอนใจ “ทว่าข้าก็ทำอะไรไม่ได้ เป็นเรื่องคอขาดบาดตายนี่นะ”
เยว่หลงซาได้ยินแล้วก็อดกลอกตามองอีกฝ่ายไม่ได้
สตรีฉลาดเฉลียวเช่นนางจะไม่รู้ทันซูเฉินได้อย่างไร ?
เขาเพียงแต่อยากจะหาเหตุผลสักข้อเพื่อเก็บแผ่นหินกักวิญญาณไว้เองก็เท่านั้น
หากคิดจะลอบนำแผ่นหินกักวิญญาณผ่านการตรวจสอบออกไปคงไม่อาจทำได้ แต่ซูเฉินนั้นนับเป็นสหายกับทุกคน หากขอร้อง คนอื่น ๆ ก็อาจเห็นด้วย ยอมช่วยให้เขาลักลอบนำมันออกไปได้
หากแต่ทำเช่นนั้นจะเป็นการทำให้ผู้อื่นมีอำนาจเหนือกว่าตน
ตอนนี้ทุกคนยังเป็นมิตรกันอยู่ แต่ต่อไปใครจะรู้ได้
ด้วยซูเฉินไม่อยากให้เกิดเรื่องเช่นนั้น ดังนั้นจึงต้องหาข้ออ้างอื่นมาแทน
เคราะห์ดีที่เจ้าอสูรเกล็ดม่วงนี่ใช้เป็นข้ออ้างชั้นดีได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ ซูเฉินก็สามารถเป็นเจ้าของแผ่นหินได้อย่างถูกต้อง
จริง ๆ แล้วนอกจากเยว่หลงซา ก็อาจมีคนอื่น ๆ ที่มองแผนการณ์ของซูเฉินออกก็เป็นได้
หากแต่มันเป็นเพียงแผ่นหินกักวิญญาณแผ่นหนึ่งเท่านั้น ความรู้ของผ้าเท่อลั่วเค่อนับว่าล้ำค่ามากสำหรับซูเฉิน แต่กับคนอื่นนั้นไร้ค่าใด สำหรับคนอย่างผีเยวี๋ยนหงแล้ว หากสั่งให้เขาไปอ่านตำรา คงอ่านไปได้ยังไม่ถึงครึ่งเล่มก็คงผล็อยหลับไปก่อนแล้ว
อีกทั้งความสัมพันธ์ของซูเฉินและคนอื่น ๆ ในกลุ่มนั้นแน่นแฟ้นมาก หากต้องช่วยซูเฉินโดยตรงอาจจะขลุกขลักบ้าง แต่เรื่องทำทีมองเมินเรื่องเช่นนี้ไปนั้นไม่ยากแม้แต่น้อย อีกทั้งทำเช่นนี้ก็จะได้ใจซูเฉิน แค่ทำเป็นไม่รู้อะไรแล้วทำให้อีกฝ่ายชอบใจได้ เรื่องเช่นนี้ทุกคนเต็มใจทำ
ซูเฉินเองก็เช่นกัน แม้คนอื่นจะรู้เรื่อง หากแต่เขาก็สามารถอ้างได้ว่าเป็นการตัดสินใจภายใต้ภาวะจำยอม เขาไร้ทางเลือกอื่น จำต้องทำสัญญาเป็นเจ้าของกับแผ่นหินนี้ ถึงตอนนั้นก็สามารถอธิบายตนเองได้ไม่ยาก
ดังนั้นซูเฉินจึงหยดเลือดหยดหนึ่งลงบนแผ่นหินกักวิญญาณและเริ่มร่ายคาถาที่สลักไว้บนแผ่นหินนั้น แท้จริงแล้วคาถานี้ก็คือรูปแบบพลังต้นกำเนิดที่มีลักษณะพิเศษนั่นเอง
เมื่อร่ายจบ แผ่นหินกักวิญญาณก็รู้ว่าใครเป็นนายมัน กลายเป็นของซูเฉินโดยสมบูรณ์ แม้อยากทิ้งไปก็ไม่อาจทำได้แล้ว
หลังจากครอบครองแผ่นหินกักวิญญาณได้แล้ว อสูรเกล็ดม่วงเองก็เริ่มตื่นจากห่วงฝันเช่นกัน
น่าแปลกที่มันไม่พุ่งเข้าโจมตีซูเฉิน แต่กลับจ้องเขาเขม็งแทน
ซูเฉินมองอสูรเกล็ดม่วงก่อนเอ่ยเสียงทุ้ม “ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เชื่อข้า แต่ข้าอยากให้เจ้ารู้ว่าสิ่งที่เจ้าเห็นในความฝันนั้นเป็นจริงทุกประการ”
แม้อสูรกายตัวนี้จะไม่อาจเข้าใจภาษามนุษย์ แต่มันก็สามารถเข้าใจความหมายที่ซูเฉินจะสื่อได้
“โบร๋วววว !” มันแหงนหน้าขึ้นแล้วส่งเสียงหอนดังกังวาล
สิ้นเสียงของมัน เสียงร้องของอสูรกายอีกตัวก็ดังมาจากที่ไกลตอบกลับมา
มันเป็นเสียงอสูรเกล็ดม่วงตัวน้อยร้องตอบบิดาของมัน
เมื่อได้ยินเสียงร้องตอบกลับแล้ว อสูรเกล็ดม่วงก็ส่งเสียงเศร้าใจออกมา จ้องซูเฉินด้วยความโกรธ
ซูเฉินเอ่ยขึ้น “ข้าขออภัยด้วยที่สังหารคู่ของเจ้า แต่หากเจ้าเต็มใจ ข้าสามารถพาลูกของเจ้าออกไปจากที่นี่ได้ หน้าที่ของอสูรเกล็ดม่วงจบลงแล้ว ลูกของเจ้า จากนี้ต่อไปจะได้เป็นอิสระ”
เขาไม่อาจใช้ภาษามนุษย์ที่ซับซ้อนสื่อความหมายให้อสูรกายเกล็ดม่วงเข้าใจได้ แต่เขาก็มีวิธีอื่นให้เลือกใช้เช่นกัน
พริบตาต่อมา ซูเฉินก็ใช้วิชาสรรพสิ่งลวงตาอีกครั้ง สร้างภาพเสมือนหลังจากที่ซากโบราณล่มสลายลงให้มันดู
เช่นนี้เป็นการเสี่ยงอยู่มาก อสูรเกล็ดม่วงรู้ดีว่ามันติดอยู่ในแดนฝัน หากมันต้องการก็สามารถทำลายแล้วออกไปได้
แต่มันไม่ทำ
มันยืนมองภาพมายาที่ซูเฉินแสดงให้มันเห็นว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้นบ้างนิ่ง ๆ
มันรู้ว่าภาพเหล่านี้คือสัญญาที่ซูเฉินคิดจะทำกับมัน
ภายในแดนฝันนั้น มันกำลังจ้องมองซูเฉินและคนอื่น ๆ เดินจากไป หญิงสาวคนหนึ่งพาอสูรเกล็ดม่วงตัวน้อยไปด้วย ปลดข้อจำกัดที่เคยมีออก คืนอิสรภาพให้กับเจ้าตัวเล็ก
จากนั้นความฝันก็จบลง เมื่ออสูรเกล็ดม่วงตื่นขึ้นมาอีกครั้ง มันก็เห็นอสูรเกล็ดม่วงตัวน้อยยืนอยู่ไม่ห่างจากมันนัก เจ้าตัวน้อยใช้นัยน์ตากลมโตจ้องมองพ่อของมันด้วยความสับสน
อสูรเกล็ดม่วงส่งเสียงร้องอ่อนโยนออกมา
โจวจวินเจียที่เดินตามหลังเจ้าตัวเล็กมาได้ยินแล้วก็พลันเข้าใจ ปล่อยให้อสูรเกล็ดม่วงตัวน้อยเดินเตาะแตะเข้าไป
อสูรเกล็ดม่วงสองตัว ตัวหนึ่งใหญ่ ตัวหนึ่งเล็ก ใช้คอถูกันและกัน ดมกลิ่นอันคุ้นเคยของกันและกัน
ไม่ไกลออกไปนัก ซูเฉินยืนอยู่ข้าง ๆ โจวจวินเจียและกังเฮ่าหลี “พวกเจ้ามาได้เวลาพอดีเชียว”
“ดูแล้วก็ไม่ค่อยจะได้ใช้ประโยชน์เท่าไรนัก…… เดิมทีข้าหวังจะใช้มันพลิกสถานการณ์ด้วยซ้ำ” โจวจวินเจียหัวเราะ
“เตรียมการณ์ไว้ก่อน แต่ก็ไม่ใช่ว่าอาจจะได้ใช้ทุกครั้ง” ซูเฉินตอบ สายตาเหลือบมองอสูรกายสองตัวกอดกันแน่น “เจ้าไม่คิดว่าจบเช่นนี้ก็ดีมากแล้วงั้นหรือ ?”
“อืม…… ก็ดีมากแล้ว” โจวจวินเจียหัวเราะ
“โชคไม่ดีที่ช่วงเวลาสงบสุขเช่นนี้เป็นเพียงชั่วคราวเท่านั้น” ซูเฉินถอนหายใจ ก่อนจะหันไปถาม “ลั่วอวี่ เหลือเวลาอีกเท่าไร ?”
จี้ลั่วอวี่ยักไหล่ก่อนตอบ “มันเริ่มแล้ว”
ทันใดนั้นก็บังเกิดเสียงคล้ายบางสิ่งบางอย่างปริแตก ตามมาด้วยเสียงคล้ายก้อนหินถูกโยนลงบ่อน้ำนิ่ง พื้นที่พลังงานสูญเริ่มสั่นสะเทือนไม่หยุด
ซากโบราณแห่งนี้เริ่มทลายลงแล้ว