ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 22 ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด
บทที่ 22 ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด
ตามแผนเดิมของฉือไคฮวง เขาต้องการที่จะใช้ตัวอ่อนแห่งความเศร้านี้เพื่อแสดงให้ซูเฉินได้เห็นว่าเขาไม่ใช่พวกอาจารย์ที่สอนแบบง่าย ๆ สบาย ๆ
แต่เนื่องจากซูเฉินได้ผ่านการทดสอบนี้ไปโดยเหนือความคาดหมายของชายชรา ดังนั้นเขาจึงปล่อยให้เด็กหนุ่มทดสอบต่อไป
คลื่นลูกที่ 2 เป็นสัตว์อสูรระดับต่ำคู่หนึ่งที่พุ่งตรงเข้าใส่เขาอย่างไม่ลังเล ซูเฉินสามารถจัดการกับพวกมันได้อย่างง่ายดายด้วยตาข่ายลมพิสุทธิ์
คลื่นลูกที่ 3 คือหุ่นเชิดปีศาจต้นกำเนิดซึ่งซูเฉินก็ได้จัดการระเบิดมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยด้วยไหเหล้าระเบิดได้ของเขา
อย่างไรก็ตามในคลื่นลูกที่ 4 ในที่สุดซูเฉินก็ได้เจอกับสิ่งที่เขาไม่สามารถเอาชนะได้ อีกฝ่ายเป็นคนผิวคล้ำ ถือมีด นอกจากนี้ผิวหนังของมันยังถูกปกคลุมด้วยเกล็ดและหนามอย่างหนาแน่น และมันยังเคลื่อนไหวได้เร็วมากอีกด้วย มันไม่แยแสต่อระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉินที่พุ่งเข้าใส่เลยแม้แต่น้อย การโจมตีด้วยมีดของมันแต่ละครั้งยิ่งดุร้ายมากและแข็งแกร่งขึ้นเรื่อย ๆ
ฉือไคฮวงแอบสั่งให้คนของเขายั้งมือเอาไว้อยู่บ้าง มิฉะนั้นซูเฉินก็อาจจะพ่ายแพ้ไปแล้ว
ถึงกระนั้นชายชราก็ยังคงก็รู้สึกประหลาดใจและตกใจอย่างมาก
เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของซูเฉินไม่ได้สูงมากนัก แต่ความสามารถในการปรับตัวของเขานั้นเหนือเกินความคาดหมาย มันจึงเป็นเรื่องที่น่าประหลาดใจมากที่ซูเฉินสามารถรอดจากคลื่นการทดสอบมาได้ถึง 3 ครั้ง
หลังจากการทดสอบสิ้นสุดลงห้องโถงขนาดใหญ่ก็เลือนหายไป ซูเฉินพบว่าตัวเองกำลังยืนอยู่ในห้องๆหนึ่งโดยที่มีฉือไคฮวงยืนอยู่ข้าง ๆ เขา
“วิชาโบราณอาร์คาน่า ทักษะต้นกำเนิดประเภทกับดักที่สร้างขึ้นเอง และยาที่ใช้สำหรับโจมตี เจ้าศึกษามาได้ค่อนข้างหลากหลายจริง ๆ ” ฉือไคฮวงกล่าว
ซูเฉินตอบว่า “ศิษย์คนนี้โชคดี ได้มีโอกาสรับความรู้มากมายเกี่ยวกับวิชาโบราณอาร์คาน่ามา”
“โอ้ ? ถ้าเช่นนั้นเจ้าคิดว่า ระหว่างวิชาโบราณอาร์คาน่าหรือทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย อันไหนแข็งแกร่งกว่ากัน ?”
“วิชาโบราณอาร์คาน่าเน้นความรู้ความเข้าใจในขณะที่ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยนั้นเน้นประสบการณ์ความชำนาญ ทั้ง 2 ต่างก็มีข้อดีในตัวเอง อย่างไรก็ตามในแง่ของการประยุกต์ใช้พลังต้นกำเนิด ข้าคิดว่าวิชาโบราณอาร์คาน่าดีกว่า”
“อย่างงั้นหรือ ? เจ้าคิดว่าทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยใช้พลังต้นกำเนิดได้ไม่มีดีพองั้นหรือ ?” ฉือไคฮวงหัวเราะเยาะ
ซูเฉินรู้ดีว่าคำตอบของเขายังไม่ใช่ที่พอใจของอาจารย์ของเขา แต่เขาพยักหน้าและพูดว่า “ใช่”
ฉือไคฮวงส่งเสียงเหอะในลำคอ “เจ้ากบก้นบ่อ”
ขณะที่ชายชราบ่น เขาพลันสะบัดแขนเสื้อของเขา จากนั้นซูเฉินก็พบว่าห้องที่ตนอยู่ พลันได้เปลี่ยนกลายไปเป็นท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวที่ไม่มีที่สิ้นสุด
เด็กหนุ่มยืนอยู่ภายใต้ท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขามองดูท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวระยิบระยับ ราวกับมีบางสิ่งบางอย่างกระตุ้นและดึงดูดพลังปราณในร่างกายของเขา ทำให้ซูเฉินรู้สึกว่าพลังต้นกำเนิดในร่างกายของตนกำลังเริ่มพลุ่งพล่านขึ้น
“นี่คือ … ” ซูเฉินโพล่งถามออกไปด้วยความประหลาดใจ
“นี่คือค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด มันนับเป็นความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของข้าในช่วง 50 ปีที่เฝ้าศึกษาค้นคว้าอยู่ในสถาบันมังกรซ่อนเร้นแห่งนี้” ฉือไคฮวงตอบ
“ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด ? ยันต์พลังต้นกำเนิด ? แสงนั้นไม่ใช่แสงดาวหรอกหรือ ?” ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะถามขึ้น
“แน่นอนว่าไม่ใช่” ชายชราเชิดหน้าขึ้นและตอบด้วยความภาคภูมิใจ
“ข้าพากเพียรกลั่นกรองและสร้างดาวทุกดวงบน ‘ท้องฟ้า’ ที่เจ้าเห็นได้นี้ แต่ละดวงต่างก็สอดคล้องกับส่วนหนึ่งส่วนใดของร่างกายมนุษย์ จุดยันต์พลังต้นกำเนิดเหล่านี้มีทั้งหมด 8,932 จุด สอดคล้องกับจุดพลังต้นกำเนิดในร่างกายทั้ง 8,932 จุด พวกมันต่างมีผลลัพธ์และอิทธิพลต่อพลังต้นกำเนิดแตกต่างกันไป”
“ข้าใช้เวลา 50 ปีในการค้นหายันต์ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อาจกล่าวได้ว่าทุกตำแหน่งและประเภทของจุดพลังต้นกำเนิดที่เป็นไปได้ทั้งหมดในร่างกายมนุษย์ล้วนอยู่ในนั้นแล้ว ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยทุกประเภทไม่มีทางจะดำรงอยู่ได้หากปราศจากจุดเหล่านี้”
“จุดยันต์พลังต้นกำเนิด 8,932 จุดหมายถึงการผสมผสานและการเปลี่ยนแปลงที่มากมายไม่มีที่สิ้นสุด ซูเฉิน เจ้าลองบอกข้าสิว่าการผสมผสานที่เป็นไปได้มากมายนี้ ในแง่ของการใช้พลังต้นกำเนิดที่ว่านั่นวิชาโบราณอาร์คาน่าสามารถเปรียบเทียบได้จริงหรือ ?”
ในขณะที่พูดน้ำเสียงของชายชราเต็มเปี่ยมไปด้วยความมั่นใจ
ซูเฉินตกตะลึง
จุดยันต์พลังต้นกำเนิดกว่า 8,900 จุด !
ยันต์พลังต้นกำเนิดที่ใช้กันทั่วไปของเผ่ามนุษย์ตกอยู่ที่ประมาณ 1,000 เท่านั้น กล่าวคือการผสมผสานและการเปลี่ยนแปลงของยันต์พลังต้นกำเนิดนับพันเหล่านี้ เพียงพอที่จะสร้างคลังขนาดใหญ่ของทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยที่ใช้อยู่ในปัจจุบันได้เลยทีเดียว
ฉือไคฮวงได้ค้นพบและรวบรวมยันต์พลังต้นกำเนิดเกือบ 9,000 เพื่อสร้างค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดสอดคล้องกับทุกจุดบนร่างกาย ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นงานชิ้นใหญ่อย่างยิ่ง
ซูเฉินอดไม่ได้ที่จะอุทานชื่นชมออกมา
แต่ครู่ต่อมาเขาส่ายหัวและพูดว่า “ข้ายอมรับว่าข้าได้ประเมินความสามารถของทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย ในแง่ของการใช้ประโยชน์จากพลังต้นกำเนิดต่ำเกินไป อย่างไรก็ตามยันต์พลังต้นกำเนิดนั้นเป็นส่วนที่พบได้ในร่างกายมนุษย์ ความสามารถในการรองรับพลังของร่างกายนั้นก็ยังคงมีขีดจำกัด ไม่ว่ายันต์พลังต้นกำเนิดจะมีอยู่จำนวนมากมายเพียงใด ทว่าความสามารถสูงสุดของร่างกายมนุษย์ก็ถูกกำหนดไว้อยู่ดี ดังนั้นในแง่ใช้พลังต้นกำเนิดแล้ว วิชาโบราณอาร์คาน่าก็ยังคงเรียกได้ว่าเหนือกว่า”
เมื่อได้ยินเช่นนั้นฉือไคฮวงก็ขมวดคิ้วอย่างครุ่นคิด “ร่างกายมนุษย์เป็นสมบัติในตัวของมันเอง และมีศักยภาพที่ซ่อนอยู่อย่างไร้ขีดจำกัด วิชาโบราณอาร์คาน่าใช้รูปแบบพลังต้นกำเนิดเพื่อปลดปล่อยพลังต้นกำเนิด กล่าวตรง ๆ ก็คือการยืมพลังของสวรรค์และปฐพีเพื่อร่ายเวทย์ นั่นยังไม่ใช่วิธีที่ถูกต้อง”
พูดให้ชัดคือวิชาโบราณอาร์คาน่าและทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยนั้น มีพื้นฐานมาจากแนวคิด 2 ประเภทที่แตกต่างกัน เผ่ามนุษย์มุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างพัฒนาร่างกายและความสามารถ ในขณะที่เผ่าอาร์คาน่ามุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างพัฒนาตัวทักษะวิชา พวกมันก่อตัวขึ้นมาจากความคิด 2 ที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ฉือไคฮวงใฝ่หาคือการพัฒนาความแข็งแกร่งที่แท้จริงของมนุษย์ ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่เขาจะไม่สนใจและดูถูกวิชาโบราณอาร์คาน่า
ซูเฉินต้องการตอบโต้กลับไปว่าเส้นทางที่ถูกต้องก็คือทางใดก็ตามที่สามารถพาพวกเขาบรรลุไปถึงเป้าหมายได้ เนื่องจากพวกเขาวางแผนที่จะก้าวข้ามข้อจำกัดทางสายเลือด สิ่งสำคัญที่สุดคือต้องเปิดใจกว้าง ต่อสิ่งใดก็ตามที่จะเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาค้นคว้าของพวกเขา แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็ปิดปากลง อย่างไรเสียเขาก็เพิ่งจะกลายมาเป็นศิษย์ของฉือไคฮวง บางสิ่งบางอย่างมันก็ยังไม่เหมาะสมที่จะพูดไป ดังนั้นเขาจึงทำได้เพียงแค่รับฟังชายชราอย่างถ่อมตัว
ฉือไคฮวงใช้ค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิดเพื่อทำความเข้าใจความลึกลับของยันต์พลังต้นกำเนิด โดยพื้นฐานแล้วมันก็คือเครื่องคำนวณชนิดหนึ่ง ที่ใช้เพื่อทำความเข้าใจวิธีการใช้พลังต้นกำเนิด
ในบางแง่มันก็คล้ายกันกับกฎแห่งบรูค พวกมันทั้ง 2 ถูกใช้เพื่อทำความเข้าใจการเปลี่ยนแปลงพลังต้นกำเนิด เพียงแค่หนึ่งใช้สำหรับรูปแบบพลังต้นกำเนิด ในขณะที่อีกหนึ่งใช้สำหรับยันต์พลังต้นกำเนิด ทั้ง 2 มีหน้าที่แตกต่างกัน แต่ก็มีความซับซ้อนมากมายไม่ต่างกัน
ไม่ว่าจะเป็นกฎแห่งบรูคหรือค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด ก็ล้วนเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการทำความเข้าใจพลังต้นกำเนิด พวกมันไม่ได้มอบผลลัพธ์ออกมาด้วยตัวมันเอง แต่สามารถใช้พวกมันเพื่อการคำนวณหาผลลัพธ์ที่ต้องการได้
การคิดค้นค่ายกลนี้ออกมาได้นับว่าไม่ใช่ความสำเร็จที่เล็กน้อย ดังนั้นจึงไม่น่าแปลกใจที่ฉือไคฮวงจะรู้สึกภาคภูมิใจ ด้วยค่ายกลนี้การจะสร้างทักษะต้นกำเนิดง่าย ๆ บางอย่างก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป
เดิมทีซูเฉินต้องการที่จะหยิบเอากฎแห่งบรูคออกมาและแสดงให้ชายชราได้เห็นว่า วิชาโบราณอาร์คาน่าเองก็มีสิ่งประดิษฐ์ที่ยอดเยี่ยมดั่งเช่นค่ายกลที่ฉือไคฮวงได้สร้างขึ้นมาเหมือนกัน แต่หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งเขาก็รู้สึกว่ามันคงจะดีกว่าถ้ารอไปอีกสักสองสามวัน ไม่ใช่ว่าซูเฉินไม่เชื่อในความซื่อสัตย์ของอาจารย์ แต่ในฐานะศิษย์ไม่จำเป็นที่เขาจะต้องไปกระเหี้ยนกระหือรือกับทุกเรื่องเช่นนั้น มันดูไม่เหมาะสมเกินไป
ฉือไคฮวงกล่าวว่า “ในฐานะอาจารย์ ข้าควรจะสอนทักษะต้นกำเนิดที่ทรงพลังและคำแนะนำเกี่ยวกับการฝึกฝนแก่เจ้า เพื่อให้เจ้าได้แข็งแกร่งขึ้น ทว่าในเมื่อตัวเจ้ากับข้ากำลังไล่ตามความฝันสูงสุดของเผ่ามนุษย์เช่นเดียวกัน วิธีที่ดีที่สุดในการควบคุมพลังต้นกำเนิด มันก็คงจะดูไม่เข้าท่านักหากจะให้ข้าไปสอนทักษะต้นกำเนิดอะไรให้เจ้า”
“ดังนั้นสิ่งเดียวที่ควรค่าแก่การสอนก็คือค่ายกลยันต์พลังต้นกำเนิด ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าจะได้เรียนรู้ค่ายกลนี้ รวมไปถึงองค์ประกอบ การใช้งานและโครงสร้างของมัน หากเจ้าสามารถเชี่ยวชาญมันได้ เจ้าจะเข้าใจถึงแก่นแท้ของทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยทั้งหมด !”
“ขอรับ ท่านอาจารย์ !” ซูเฉินตอบอย่างเคารพ
สอนให้เขารู้จักวิธีตกปลาย่อมดีกว่าการมอบปลาเพียงตัวเดียวให้แก่เขา
ฉือไคฮวงเป็นคนที่ปฏิบัติตามปรัชญาของตัวเองอย่างเต็มที่ เขาเลือกที่จะส่งมอบความรู้ที่ล้ำค่าที่สุดต่อให้ซูเฉินทันที โดยไม่ได้ตั้งใจที่จะซ่อนหรือปกปิดมันเลยแม้แต่น้อย
ไม่ใช่เพราะชายชราไว้ใจซูเฉิน แต่เป็นเพราะ 2 ใน 4 ประการที่เขาเคยพูดถึงก่อนหน้านี้
เพื่อที่จะช่วยเหลือเผ่าพันธุ์มนุษย์พวกเขาไม่สามารถที่จะซ่อนเทคนิคลับใด ๆ อย่างเห็นแก่ตัวได้
ในอดีตฉือไคฮวงไม่สามารถหาคนที่ยอมรับและสานต่อความฝันของเขาได้ เพราะแม้ว่าชายชราจะให้มอบสิ่งนี้ให้แก่พวกเขา เขาหรือเธออาจไม่ได้มองคุณค่าจริง ๆ ของมัน และเมื่อตอนนี้ฉือไคฮวงได้พบใครบางคนเพื่อสืบทอดมรดกของเขาแล้ว มันก็เป็นธรรมดาที่ชายชราเลือกจะถ่ายทอดทุกสิ่งที่เขามีให้ แม้ว่าในอนาคตซูเฉินจะทรยศเขาไป เขาก็จะไม่รู้สึกเสียใจแม้แต่น้อย
นี่คือทัศนคติของคนที่ผู้ต้องการจะอุทิศทั้งชีวิตเพื่อความฝันอันสูงสุดควรมี