ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 32 เนินเมฆาแดง (3)
บทที่ 32 เนินเมฆาแดง (3)
สายเลือดจิตวิญญาณอัสนีบาตตระกูลไป๋นั้นมาจากวิญญาณอัสนีคำรามเงียบ
วิญญาณอัสนีคำรามเงียบ ตามตำนานของทวีปต้นกำเนิดแล้วคือ 1 ในสัตว์อสูร 36 ตนที่มีหน้าที่ควบคุมสายฟ้าและเสียงฟ้าคำราม ที่รู้จักกันในนาม อัสนีบาตทั้ง 36
วิญญาณอัสนีคำรามเงียบนั้นน่ากลัวยิ่งนัก ด้วยเพราะการโจมตีประเภทสายฟ้าของมันมีอานุภาพทำลายล้างสูงมาก หากฝึกวิชาระเบิดอัสนีคำรามเงียบจนถึงขีดสุดจะสามารถสั่งให้สายฟ้าฟาดลงบนร่างคู่ต่อสู้ได้ ร่างอีกฝ่ายจะระเบิดจากภายใน
ดังนั้นวิญญาณอัสนีคำรามเงียบจึงไม่ได้น่ากลัวตรงพลังทำลาย หากแต่น่ากลัวตรงความสามารถที่ราวกับจะสามารถทะลวงเข้าสู่ร่างมนุษย์ได้ทุกซอกทุกมุม
ไป๋โอวซัดดาบอัสนีบาตออกไปครั้งแล้วครั้งเล่า ใช้วงเวียนหยกในมือไม่หยุดหย่อน เสียงร้องดังก้องช่วยเสริมดาบอัสนีบาตและวิชาระเบิดอัสนีคำรามเงียบให้มีพลังน่าเกรงขามมากขึ้น เสียงฟ้าคำรามนั้นทรงพลังและดุดันจนผู้ที่อยู่ตรงจุดนั้นทั้งหมดต่างรู้สึกว่าจิตใจตนสับสน
แม้วิชาระเบิดอัสนีคำรามเงียบของเขาจะยังไม่สามารถระเบิดร่างใครจากภายในได้ แต่ก็มีพลังมากพอจะสามารถส่งผลถึงจิตใจคน ใครที่ถูกวิชานี้ซัดเข้าร่างจะรู้สึกคลื่นเหียนวิงเวียนจนอยากอาเจียน
ผู้ที่ประมืออยู่กับเขาคือเยี่ยเม่ย หากกล่าวถึงด้านความแข็งแกร่ง ทั้งสองต่างอยู่ในด่านก่อเกิดลมปราณ เยี่ยเม่ยนั้นไร้สายเลือด แต่ก็เป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่มีประสบการณ์ เข้าสู่ด่านก่อเกิดลมปราณมาแล้วหลายปี ไป๋โอวนั้นมีสายเลือด หากแต่เพิ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดได้ไม่เกินหนึ่งปี ดังนั้นพื้นฐานการบ่มเพาะพลังจึงด้อยกว่า ดังนั้นนับว่าทั้งสองคนมีพลังพอ ๆ กัน แต่เมื่อเวลาผ่านไปเรื่อย จุดได้เปรียบของไป๋โอวที่เป็นคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงก็เริ่มเผยออกมา และเยี่ยเม่ยเองก็เริ่มสูญเสียความเยือกเย็นที่เคยมี
ทันใดนั้น ไป๋โอวก็ซัดระเบิดอัสนีออกไปอีก แม้เยี่ยเม่ยจะสกัดมันไว้ได้ แต่ก็ถูกพลังส่งกระเด็นถอยไปไกล อีกทั้งแรงระเบิดยังทำให้นางมึนงงไปเล็กน้อย
นางจึงอดตะโกนออกมาไม่ได้ “ซูเฉิน เหตุใดจึงเอาแต่นั่งมองเล่า ? ออกมาช่วยข้า !”
ซูเฉินจ้องไป๋โอวตาไม่กะพริบ “ดาบอัสนีบาตของเขาดูจะแตกต่างจากของข้าอยู่เล็กน้อย ข้าต้องใช้เวลาวิเคราะห์อีกสักหน่อย เจ้าสู้กับเขาต่อไปไม่ต้องรีบร้อนเถอะ”
เยี่ยเม่ยเดือดดาลยิ่งนัก “ข้าจะไม่ไหวแล้วนะ !”
ซูเฉินไม่เสียเวลาเปิดปากพูด เพลิงปักษาปรากฏขึ้นบนฝ่ามือ หากแต่เขาไม่ได้เล็งมันไปยังไป๋โอว แต่เล็งไปทางไป๋อี่หงที่กำลังต่อสู้ติดพันอยู่กับกังเหยียน
ไป๋อี่หงนับได้ว่าเป็นคนที่ฝีมือด้อยที่สุดในหมู่คนทั้งห้า แม้จะมีประวัติตระกูลที่น่าประทับใจ แต่เขามีนิสัยชอบเกี้ยวพานารี ไม่ชอบการฝึกปรือฝีมือบ่มเพาะพลัง ดังนั้นจึงมีพลังเพียงธรรมดาเท่านั้น กระทั่งกังเหยียนยังสามารถรับมือเขาได้
เพลิงปักษาของซูเฉินถูกส่งไปยังไป๋อี่หง ยามมันระเบิดไป๋อี่หงก็หมดสติไปในทันที
“ไปช่วยเยี่ยเม่ย” ซูเฉินเอ่ยขึ้น
กังเหยียนรีบพุ่งเข้าไป ใช้ร่างใหญ่โตของตนกั้นการโจมตีให้เยี่ยเม่ย ระเบิดอัสนีของไป๋โอวซัดเข้าร่างปะทะเข้าร่างเขาอย่างจัง หากแต่บนร่างไร้ร่องรอยบาดเจ็บ มีเพียงอาการมึนงงเล็กน้อยเท่านั้น เยี่ยเม่ยฉวยโอกาสโจมตี บีบให้ไป๋โอวต้องทิ้งอาวุธเพื่อป้องกันตนเอง
เมื่อการต่อสู้กลายเป็น 2 ต่อ 1 สถานการณ์ไม่มั่นคงเมื่อครู่จึงสงบลง
ที่อีกด้านหนึ่ง เยียนหั่ว ถงลู่ อาหลุน และชิงไป๋กำลังพัวพันอยู่ในการต่อสู้สี่ต่อสาม แต่กลับไม่อาจสยบศัตรูได้
ยิ่งกับชายหนุ่มสกุลอวี๋ ดาบเงินในมือเขาร่ายรำไปมาในอากาศ ส่งคลื่นดาบออกมาทั่วทุกทิศ แม้จะดูเบาบางแต่ก็สามารถตัดผ่านใจคนได้ อาหลุนและชิงไป๋ถูกปราณดาบเหล่านี้ทะลวงเข้าร่างมาแล้วสองสามครั้ง ยามปราณดาบทะลวงเข้าร่าง ใบหน้าทั้งสองก็ซีดลงในพลัน
หากไม่ใช่เพราะเยียนหั่วและถงลู่ควบคุมบริเวณโดยรอบไว้ เพียงแค่ 2 คนยังไม่อาจรับมือชายหนุ่มสกุลอวี๋ได้
ทว่าทั้ง 4 คนก็ยังไม่อาจพลิกสถานการณ์ให้ได้เปรียบ แม้จะมีจำนวนคนมากกว่าและมีคนขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตถึง 2 คนก็ตาม
ได้แต่ยอมรับว่าอัจฉริยะแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นประมาทไม่ได้
อาจเป็นเพราะความประหลาดใจทั้งหลายมลายหายไปจนสิ้น กระทั่งหลิวหัวและจางจ้งเยว่ที่ก่อนหน้านี้คิดหนีก็เริ่มดึงจิตวิญญาณการต่อสู้ของตนกลับคืนมาได้
จางจ้งเยว่หัวเราะ “ขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตอะไรกัน ? สุดท้ายก็มีฝีมือธรรมดาไม่ใช่หรือ ? อวี๋เจิน จัดการพวกมันด้วยกันกับข้าเถอะ !”
“เจ้าโง่หรือเปล่า ?” ชื่อเต็มของชายหนุ่มสกุลอวี๋คืออวี๋เจิน เขาด่าจางจ้งเยว่ “เจ้าไม่เห็นหรือว่าซูเฉินยังไม่ลงมือเลย ? ศัตรูยังไม่ทันได้เผยพลังที่แท้จริง เจ้าคิดจะจัดการพวกเขาอย่างไรกัน ?”
เขาพูดจบก็หันไปมองซูเฉิน “ซูเฉิน เจ้าเห็นแล้วว่าพวกข้ารับมือไม่ง่าย หากต้องการสังหารพวกข้า เจ้าเองก็ต้องจ่ายหนักหน่อย !”
“ข้าไม่ได้บอกจะสังหารพวกเจ้าเสียหน่อย” ซูเฉินหัวเราะ “ข้าเพียงต้องการจับพวกเจ้ามาทำการทดลองเล็ก ๆ น้อย ๆ เท่านั้น”
อวี๋เจินกัดฟันแน่น “อย่าให้ต้องถึงกับปลาตายตาข่ายขาดเล่า” (1)
เด็กหนุ่มส่ายหัว “ตาข่ายไม่ขาดหรอก หากเจ้ามีฝีมือก็คงทำไปแล้ว เพราะทำไม่ได้ ก่อนหน้านี้เจ้าเลยคิดจะต่อรองไม่ใช่หรือไง ?”
อวี๋เจินพูดไม่ออก
ในตอนนี้ฝ่ายพวกเขามีกำลังคนน้อยกว่า แต่ยังสามารถยื้อการต่อสู้ที่มีผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตถึงสองคนและด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูงอีกสองคนได้ ความสามารถของพวกเขาเหนือคนธรรมดา
หากแต่เช่นนี้ก็ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะเอาชนะคนทั้งหมดได้ อย่างมากก็ทำได้เพียงยื้อการต่อสู้ออกไปให้นานหน่อยเท่านั้น
เรื่องการกลับสถานการณ์นั้นไม่อาจเป็นไปได้
ถงลู่หัวดราะ “ข้าต้องขอยอมรับว่าถูกเด็กอย่างเจ้ากดดันถึงขั้นนี้ ข้าก็รู้สึกอับอายอยู่บ้าง ได้เวลาปิดฉากแล้ว !”
พูดแล้วเขาก็เงื้อมือขึ้น เถาวัลย์มากมายพากันบิดตัวพุ่งขึ้นมากลางอากาศ ก่อนจะเปลี่ยนทิศทางพุ่งเข้าใส่กลุ่มของอวี๋เจิน
เยียนหั่วก็คำรามออกมาก่อนปล่อยเพลิงปักษาออกมาเช่นกัน
เพลิงปักษานี้แตกต่างจากระเบิดเพลิงปักษาของซูเฉิน มันมีขนาดใหญ่กว่า อีกทั้งยังว่องไวกว่า มันมีจงอยปากและนัยน์ตาที่เต็มไปด้วยจิตวิญญาณราวกับมันมีชีวิต
เมื่อมันปรากฏขึ้นมาก็ส่งเสียงร้องสะท้านจิต จากนั้นบินพุ่งเข้าใส่หลิวหัว และตอนที่มันสยายปีกทั้งสองข้างที่กลางอากาศ คลื่นพลังไฟก็พลันเต้นระริกกระจายไปทั่วพื้นที่ จงอยปากราวตะขอคมเฉือนผ่านเนื้อหลิวหัว ส่งผลให้เขาร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด
มันคือว่าวครวญเพลิงของเยียนหั่ว ผู้เชี่ยวชาญด่านกลั่นโลหิตสามารถกลั่นสสารต้นกำเนิดได้แล้ว ดังนั้นเพลิงปักษาของเขาจึงทรงพลังกว่าของซูเฉิน สามารถพุ่งเข้าโจมตีและขยับได้เอง
หลังจากเข้าโจมตีเป้าหมายไม่หยุด ว่าวครวญเพลิงก็กลายเป็นสะเด็ดไฟก่อนจะสลายหายไป ซูเฉินเห็นแล้วอิจฉายิ่งนัก
หากระเบิดเพลิงปักษาของเขามีพลังถึงขั้นนี้คงจะดียิ่งนัก แต่ทว่ามันก็จะกินพลังต้นกำเนิดเป็นอย่างมากเช่นกัน ดังนั้นถ้ามีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังไม่มากพอย่อมไม่อาจใช้วิชาได้
เยียนหั่วและถงลู่กสำแดงกำลังที่แท้จริงของตนออกมา ในที่สุดคนทั้งสามก็ไม่อาจต้านทานไว้ได้อีกต่อไป
หลิวหัวคือคนแรกที่ล้มลง ต่อด้วยจางจ้งเยว่
อวี๋เจินคือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดในหมู่พวกเขา จะจับตัวเขาต้องใช้เวลามากกว่าคนอื่นหน่อย
เภาวัลย์มากมายพุ่งออกมายึดร่างคนทั้งสามไว้ ในเวลาเดียวกันนั้นไป๋โอวก็ถูกเยี่ยเม่ยและกังเหยียนรวมพลังโจมตี ส่งให้เขาร่นถอยออกมา
ซูเฉินไม่คิดอยากมองวิเคราะห์ไป๋โอวอีกต่อไป ดังนั้นจึงใช้ระเบิดเพลิงปักษาจบการต่อสู้ในพริบตา
ตอนนี้ทุกคนถูกจับตัวไว้หมดแล้ว
จางจ้งเยว่เดือดดาลเป็นพิเศษ “ซูเฉิน เจ้ามีดีอะไรจึงสามารถจ้างคนมาช่วยต่อสู้ได้ ? หากเจ้ามีมือก็มาต่อสู้เองสิ”
คำตอบที่ได้รับคือลูกเตะอันหนักหน่วงของกังเหยียน
หลิวหัวเอ่ยขึ้น “ซูเฉิน เจ้ารู้ใช่ไหมว่าเจ้ากำลังทำอะไรอยู่ ? เจ้าล่วงเกินตระกูลไป๋และตระกูลฉางไปแล้ว ยังคิดจะล่วงเกินตระกูลหลิว ตระกูลจาง และตระกูลอวี๋ด้วยหรือ ?”
ซูเฉินยิ้มบาง “ข้าไม่สน”
น่าขันนัก ก่อนหน้านี้ตอนที่กลายเป็นศิษย์ของฉือไคฮวง ฉือไคฮวง ก็ได้บอกเขาแล้วว่าทางที่เขาจะเลือกเดินนั้นจะต้องเป็นปรปักษ์กับตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมด
วันใดหากการค้นคว้าของเขาสำเร็จ ตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดต้องคิดร่วมมือกันกำจัดเขาเป็นแน่
ในเมื่อเขารู้เรื่องนี้อยู่เต็มอก เหตุใดจึงต้องกลัวตระกูลสายเลือดชั้นสูงเพียงไม่กี่ตระกูลด้วย ?
กลับกัน ตัวตนของคนพวกนี้ยิ่งทำให้ซูเฉินมุ่งมั่นเดินตามหนทางที่เขาเลือกไว้แล้วมากขึ้นกว่าเดิม
หากสามารถจัดการปัญหาที่ต้นเหตุได้ เผ่ามนุษย์จึงจะสามารถหลบหนีจากการปกครองของตระกูลสายเลือดชั้นสูง และได้รับอิสระกลับคืนมา !
อวี๋เจินรู้ดีว่าสถานการณ์เช่นนี้ควรเอ่ยอย่างไร เขามองซูเฉินก่อนเอ่ยขึ้น “ต้องขออภัยด้วยที่ข้าตกลงกับไป๋โอวออกมาหาเรื่องเจ้า เป็นความผิดของพวกข้าเอง หากเจ้าเต็มใจปล่อยพวกข้าไป ข้าจะลืมเลือนความแค้นและพวกเราจะกลายเป็นสหายกัน อีกทั้งตระกูลอวี๋ของข้ายังเต็มใจติดค้างเจ้า”
หากแต่คำตอบของซูเฉินคือ “กังเหยียน นำผงขัดพลังปราณมาป้อนให้พวกเขา จากนั้นจับมัดให้หมด”
“ซูเฉิน เจ้าหมายจะต่อสู้กันให้ตายไปเลยใช่หรือไม่ ?” ไป๋โอวตะโกนขึ้น “หากพวกข้าตาย ก็อย่าคิดจะรอดพ้นไปได้ง่าย ๆ”
“ข้าบอกไปแล้วว่าข้าไม่สังหารพวกเจ้า ข้าเพียงแต่ต้องการคนสักสองสามคน…… มาช่วยทำการทดลองเสียหน่อย” ซูเฉินยิ้มกว้าง “หลังการทดลองจบลง ข้าย่อมปล่อยพวกเจ้าไป แต่ตอนนี้ หากพวกเจ้ายังไม่หยุดส่งเสียงดัง อย่าหาว่าข้าเสียมารยาท”
เมื่อได้ยินคำเหล่านี้ ทุกคนก็ปิดปากเงียบในพลัน ได้แต่หวังให้การทดลองจบลงโดยไว พวกเขาจะได้หลีกหนีคนผู้นี้ไปให้ไกล
หากแต่ตอนนั้นทั้งหมดไม่รู้ว่าตนต้องเจอกับอะไร
ระหว่างทางกลับ เยี่ยเม่กระซิบถาม “พอการทดลองจบ เจ้าจะปล่อยพวกนั้นไปจริงหรือ ? ถึงพวกมันจะร้องขอชีวิตเจ้าในตอนนี้ เจ้าก็ไม่ควรวางใจ หากมีโอกาสพวกมันย่อมล้างแค้นแน่”
พอถึงตอนนี้กลับจะมาทำตัวมีเหตุผลหรือ ?
เด็กหนุ่มที่ได้ยินดังนั้น พลันยิ้มบางก่อนตอบ “หากจบการทดลองแล้วยังมีใครได้ยินชื่อข้าแล้วไม่สั่นกลัวอีก ก็ปล่อยให้พวกมันกลับมาหาเรื่องข้าได้เลย….. หากเกิดเรื่องเช่นนั้นขึ้นก็นับว่าข้าไร้ความสามารถ รนหาที่ตายเองก็แล้วกัน”
“……”
“……”
“……”
เชิงอรรถ
ปลาตายตาข่ายขาด แปลว่า สู้กันจนตายไปข้าง