ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 35 ลวงจิต
บทที่ 35 ลวงจิต
ซูเฉินนั่งอยู่บนที่นั่งหลักในห้องโถงใหญ่ เบื้องล่างคือชาย 5 คนสวมชุดข้ารับใช้
คนหน้าสุดคือชายแก่ในชุดหัวหน้าพ่อบ้านสีเขียวเข้ม เขาเรียกตนเองว่าอวี๋เหวิน เป็นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลอวี๋ อีก 4 คนคือหัวหน้าพ่อบ้านจากตระกูลฉาง ตระกูลไป๋ ตระกูลจาง และตระกูลหลิวตามลำดับ
ที่หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 มาพบซูเฉินต้องเป็นเรื่องคุณชายของพวกเขาเป็นแน่
เรื่องที่ไป๋โอวไปหาเรื่องซูเฉินนั้นไม่ใช่ความลับ อย่างน้อยคนเหล่านี้ก็รู้เรื่องราว หลังจากไป๋โอวและคนอื่น ๆ หายตัวไป หลังจากสอบถามเล็กน้อยก็รู้ในทันทีว่าซูเฉินเกี่ยวพันกับเรื่องนี้แน่นอน ดังนั้นจึงมาหาถึงหน้าประตูเช่นนี้
หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลไป๋ “ซูเฉิน อย่าเสียเวลาพูดคุยอีกเลย ท่านรู้ดีว่าวันนี้เรามาเพราะเรื่องใด นำคนมาแล้วเราจะปล่อยเรื่องนี้ไป ไม่เช่นนั้นท่านต้องได้รับบทลงโทษแน่ !”
ซูเฉินไม่แม้แต่จะกะพริบตา เขาจ้องใบชาในกานิ่ง จากนั้นค่อย ๆ เอ่ย “เจ้ากล่าวว่าอย่าเสียเวลาพูดคุย แต่พวกเจ้ากลับมาแสดงอำนาจต่อหน้าข้า เอ่ยเช่นนั้นแล้วได้อันใดขึ้นมา ? พวกเจ้าคิดว่าคุณชายเช่นข้าได้ยินคำเจ้าแล้วจะกลัวจนตัวสั่นหรือ ?”
ทุกคนเงียบไปในพลัน
ซูเฉินลักพาตัวคุณชายจากตระกูลทั้ง 5 ไปย่อมไม่เกรงกลัวผลที่ตามมา ดังนั้นพยายามข่มขู่เขาไปก็ไร้ผล
หากแต่เหล่าตระกูลสายเลือดชั้นสูงนั้นเคยชินกับการอยู่เหนือกว่า กระทั่งข้ารับใช้ยังมีความคิดเช่นนี้ หากยามเอ่ยคำไม่อาจเผยอำนาจอยู่เหนือกว่าออกมาก็จะไม่เอ่ยวาจาใดออกมาเลย
ดังนั้นหลังจากถูกซูเฉินตอกกลับไปเช่นนั้น หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลฉางก็พยายามแก้สถานการณ์ “หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลไป๋เพียงใจร้อนไปหน่อย ที่พวกข้าจะพูดคือระหว่างเราไร้ความเป็นศัตรูต่อกันย่อมเป็นเรื่องดีกว่า คุณชายจากตระกูลพวกข้าไม่รู้เรื่องราว ล่วงเกินคุณชายซูเข้า ในเมื่อคุณชายซูสั่งสอนพวกเขาแล้ว ช่วยเมตตาปล่อยพวกเขาออกมาได้หรือไม่ ?”
ซูเฉินหัวเราะเสียงเยาะ “เจ้าพูดไร้สาระจบหรือยัง ?”
แม้น้ำเสียงจะอ่อนลงมาก แต่ยังคงความหมายดังเดิม หากข้าต้องการคน เจ้าต้องนำคนมาให้ข้า ไม่มีความจริงใจแม้แต่น้อย
เมื่อเห็นว่าใช้วิธีทั้งขู่ทั้งปลอบไม่ได้ผล หัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้าก็เหลือบมองกันไปมา
สุดท้ายเป็นหัวหน้าพ่อบ้านตระกูลจางเอ่ยขึ้น “หากคุณชายซูยอมปล่อยคุณชายของพวกเราไป ตระกูลจางยินดีจ่ายหินพลังต้นกำเนิดหนึ่งพันก้อนเป็นค่าน้ำใจ”
ใบหน้าเย็นชาของซูเฉินเริ่มคลายลงเล็กน้อย “ในที่สุดก็มีคนพูดรู้เรื่องเสียที แต่กลับเป็นจำนวนที่ยังไม่ควรเอ่ยขึ้น”
หรือก็คือเขากำลังบอกว่าตระกูลจางขี้เหนี้ยวเกินไปนั่นเอง
เพลิงแห่งความโกรธเผาผลาญอยู่ภายในใจหัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้า แต่พวกเขาก็ทำได้เพียงยืนก้มหัวอดทนต่อไป
หัวหน้าพ่อบ้านหลิวถาม “เช่นนั้นคุณชายซูคิดเท่าไหร่ ?”
ซูเฉินเหลือบมองเขา ก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “ข้าต้องขอกล่าวบางอย่างให้ชัดเจนเสียก่อน ข้าไม่เคยลักพาตัวคุณชายจากตระกูลทั้ง 5 ของพวกเจ้า และข้าไม่มีทางกักตัวคนไว้เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ข้าเป็นศิษย์ร่วมสถาบันกับคุณชายทั้งหลาย ดังนั้นจึงต้องช่วยเหลือกัน ในเมื่อสหายศิษย์หายตัวไป ข้าจึงควรออกตามหา ถูกต้องหรือไม่ ?”
คนทั้งห้าก่นด่าเขาอยู่ในใจ ซูเฉินผู้นี้คือคนที่สร้างรูปปั้นยกยอตนเองขึ้นได้แม้ตนจะกระทำการชั่วช้าอันใดก็ตามแต่
หากแต่เรื่องเช่นนี้ไม่แปลก ใต้หล้ายังไม่ไร้กฎเกณฑ์ ไม่ว่าจะสามารถใช้ควบคุมคนได้หรือไม่ เรื่องบางอย่างก็ไม่ควรเอ่ยออกมา ดังนั้นซูเฉินจึงไม่ยอมปริปากบอก คุณชายทั้งหลายอยู่ในกำมือเขา ดังนั้นจึงอ้างได้ว่าให้เขา ‘ช่วยออกตามหา’ คุณชายทั้งหลาย
“อย่างที่สอง การหาคนเป็นเรื่องลำบาก จำต้องมีค่าใช้จ่าย คุณชายทั้งห้าเป็นผู้มีขั้นพลังด่านก่อเกิดลมปราณ จะมีใครรู้ว่าพวกเขาท่องเที่ยวไปถึงที่ใด ? การตามหาตัวย่อมต้องใช้ทั้งความพยายามและเวลา ข้ามองว่าพวกเขาแต่ละคนมีค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 5 หมื่นก้อน”
“ท่านว่าอย่างไรนะ ?” ทั้ง 5 คนตะโกนขึ้นมาพร้อมกัน
หินพลังต้นกำเนิด 50,000 ก้อนนับเป็นการปล้นกันกลางวันแสก ๆ !
หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลฉางเอ่ยเสียงเย็นชา “คุณชายซูไม่กลัวว่าตนจะล่วงเกินตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้ง 5 ตระกูลหรือ ?”
“หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลฉางคงจะพูดผิดไปแล้วกระมัง !” ซูเฉินทำทีเป็นร้องขึ้นด้วยความตกใจ “ข้าไม่เคยลักพาตัวคุณชายตระกูลเจ้า ข้าจะใช้เงินจำนวนนี้ในการช่วยออกตามหาคุณชายของพวกเจ้าต่างหาก หรือเจ้าจะเลือกเชื่อว่าพวกเขาอยู่กับข้าก็ได้ ข้าขอเชิญให้พวกเจ้าเข้ามาค้นหอพลังต้นกำเนิดของอาจารย์ข้าได้ตามสะดวก”
คนทั้งห้ามองหน้ากันไปมาไม่พูดจา
ต้องใช้คนมากเท่าไหร่ในการค้นหอพลังต้นกำเนิดของฉือไคฮวง ?
ทำขืนทำเช่นนี้ก็เท่ากับการไม่รู้ว่าคำว่า ‘ตาย’ เขียนอย่างไรแล้ว !
ในเมื่อขู่ไม่ได้ผล เช่นนั้นก็ต้องต่อรอง
ไม่ว่าอย่างไร ซูเฉินก็ไม่เต็มใจลดราคาลงจากหินพลังต้นกำเนิด 50,000 ก้อน เขาอ้างว่าอย่างไรหินพวกนี้ก็ใช้ไปกับคุณชายทั้งห้าอยู่ดี ซึ่งก็ไม่ใช่คำโกหกแต่อย่างใด การทดลองครั้งนี้เขาทุ่มเงินไปมาก ยิ่งในตอนนี้ที่ทำการทดลองหลายอย่างในเวลาเดียวกันยิ่งต้องใช้เงินมาก
ก่อนหน้านี้ในเมืองหลินเป่ย เขาได้เงินมาสองก้อน มูลค่าราวหินพลังต้นกำเนิด 400,000 ก้อน แต่วันต่อมาเขาก็ใช้มันไปราว 100,000 ก้อน รวมทั้งจำนวนที่เขาส่งไปให้ตระกูลซูและหลังจากนำใช้ด้านการบ่มเพาะพลัง เหลือเพียง 300,000 ก้อนเท่านั้น
ใน 300,000 ก้อนนี้ เด็กหนุ่มใช้ไปกว่าครึ่งแล้ว
กระทั่งโชคดีหน่อย ที่เขาได้รับการสนับสนุนจากอารามนิรันดร์ คอยส่งของต่าง ๆ มาให้ทุกเดือน ไม่เช่นนั้นเงินเก็บทั้งหมดของเขาคงหมดไปนานแล้ว
ดังนั้นซูเฉินจึงพยายามหาวิธีหาเงินอย่างรวดเร็ววิธีใหม่ พานเฮ่าคือเหยื่อของวิธีนี้ ไป๋โอวและคนอื่น ๆ ก็เช่นกัน
เหตุใดฉือไคฮวงจึงไม่ทำการทดลองมากนักน่ะหรือ ? ไม่เพียงเขาไร้นัยน์ตาที่สามารถเห็นพลังต้นกำเนิด และก็ไม่ใช่เพราะศีลธรรมอันดีงามในจิตใจหรือเพราะความเคารพที่มีต่อทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย แต่เป็นเพราะเขาไร้เงินตราต่างหาก !
เขามีพลังด่านสู่พิสดาร แต่กลับจมอยู่กับการทดลอง ไม่เคยมองหาเงินเลยสักครั้ง แม้จะมีความสามารถในการหาเงินมาใช้ในแต่ละวันอยู่บ้าง แต่ก็ยังยากจนราวกับหมาข้างถนนตัวหนึ่ง
เป็นเพราะชายชรานั้น ‘มุ่งศึกษา’ จนเกินไป
และการหาเงินก็ไม่ใช่สิ่งที่คน ‘มุ้งศึกษา’ จะทำกัน
ซูเฉินไม่ใช่ศิษย์อย่างที่ฉือไคฮวงต้องการ เขาไม่มุ่งศึกษาจนเกินไป แต่กลับใช้ทุกโอกาสเพื่อทำเงินให้ตนเอง
เจ้าต้องการคนหรือ ? เช่นนั้นก็นำเงินมา !
ในขณะที่อีกฝ่ายวุ่นวายหาเงินมาไถ่คนอยู่นั้น เขาก็ยังมีโอกาสทำการทดลองทิ้งท้าย เช่นนั้นจะได้ไม่เสียโอกาส
หัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้าไร้ทางเลือก ได้แต่กลับไปคิดหนทางรวบรวมเงิน
หินพลังต้นกำเนิด 50,000 ก้อนไม่ใช่ของจำนวนน้อย แต่ก็ไม่ใช่จำนวนที่ถึงขั้นสามารถทำลายตระกูลสายเลือดชั้นสูงลงได้ หากแต่ในฐานะข้ารับใช้คงรวบรวมของจำนวนนั้นมาได้ยาก อีกทั้งพวกเขายังไม่กล้าไปรายงานต่อตระกูล
หากหัวหน้าตระกูลรู้เข้า อาจจะถูกหนึ่งฝ่ามือสังหารได้
สิ่งสำคัญคือต้องช่วยคุณชายมาให้ได้ก่อน หากช่วยคนได้แล้วจึงสามารถอธิบายสถานการณ์ได้ง่ายยิ่งขึ้น
ก่อนจากไป หัวหน้าพ่อบ้านอวี๋ยังเอ่ยทิ้งความนัยไว้ “พวกเราจะพยายามหาเงินมาให้ท่าน หวังว่าจะไม่มีเรื่องเกิดกับเหล่าคุณชาย”
ซูเฉินเอ่ยเสียงจริงใจ “สวรรค์ย่อมให้รางวัลแก่คนเที่ยงธรรม ข้าเชื่อว่าสหายศิษย์ทั้งห้าคงจะไปสนุกอยู่ที่ใดสักแห่งเป็นแน่ ยังคงอยู่รอดปลอดภัย คงไม่ส่งผลต่อการบ่มเพาะพลังมากนัก”
เมื่อทั้งห้าได้ยินดังนั้นก็รู้สึกโล่งใจ พวกเขาเชื่อว่าซูเฉินต้องการเงิน ไม่ได้ต้องการคน คุณชายของพวกเขาน่าจะยังปลอดภัยดี
เช่นนั้นก็ดี เช่นนั้นก็ดี
พวกเขาจึงกลับไปรวบรวมเงิน รู้สึกสบายใจขึ้นมาก
หลังจากมองพวกเขาจากไป ซูเฉินก็กลับไปยังห้องทดลอง
จางจ้งเยว่กำลังนอนราบอยู่บนโต๊ะ เมื่อเห็นซูเฉินเดินเข้ามา ในนัยน์ตาก็ฉายแววตกใจ แต่ปากเขายังคงบิดเบี้ยว อ้าค้าง ไม่อาจเอ่ยคำใดออกมา ทำได้เพียงส่งเสียงอ้อไม่ได้ศัพท์
ซูเฉินยิ้มมองเขา “ขอแสดงความยินดีด้วย คนตระกูลเจ้าส่งคนมาหาตัวเจ้า ตอนนี้กำลังไปรวบรวมเงินอยู่ อีกไม่นานเจ้าน่าจะได้ออกไป”
จางจ้งเยว่เผยแววยินดีในนัยน์ตา
“โอ้ เจ้ายังดีใจเป็นอีกหรือนี่ ! ดูท่าข้าจะยังกระตุ้นจิตเจ้าไม่มากพอ เจ้ารู้หรือไม่ เรื่องทั้งหมดอาจเป็นเพียงความฝันก็เป็นได้ เจ้าอาจหลอนไปเองเพราะผลของยา เรื่องนี้อาจไม่ได้เป็นความจริง เจ้าอยู่ในกำมือข้า ไม่อาจหลบหนีไปได้ ส่วนคนตระกูลเจ้าเป็นเพียงปีศาจที่พยายามหลอกให้เจ้าเชื่อใจและหลอกใช้ประโยชน์จากเจ้า ดังนั้นเจ้าต้องเข้มแข็งแล้วพยายามปกป้องตนเอง เข้าใจหรือไม่ ?”
ซูเฉินป้อนยาขวดหนึ่งให้ก่อนเอายเสียงเบาต่อ “จำไว้ ทุกอย่างอาจเป็นเพียงฝัน แต่ความทรงจำเกี่ยวกับซูเฉินคือความจริง เขาคือตัวหายนะต่อชีวิตเจ้า ต่อต้านเขาก็เท่ากับต่อต้านชะตา ใครที่บังคับให้เจ้าต่อต้านซูเฉินเป็นเพียงปีศาจ…… คือปีศาจ……”
“ปี…… ปีศาจ……” จางจ้งเยว่พยายามเอ่ยออกมา นัยน์ตาเขากลอกกลับไปด้านหลังเมื่อยาไหลเข้าปากไป
เขาหมดสติไปอีกครั้ง ภายในจิตใจบังเกิดคลื่นขนาดใหญ่ขึ้นอีกครา……
“ถูกต้อง ปีศาจ……” ซูเฉินเอ่ยเสียงนุ่ม นัยน์ตาส่องประกายวาบ