ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 40 ฝันร้าย
บทที่ 40 ฝันร้าย
ยามลืมตาตื่นขึ้นอีกครั้ง ซูเฉินก็พบว่าด้านนอกฟ้าสว่างแล้ว
ช่างเป็นค่ำคืนฝันหวานนัก !
ตอนอยู่ในแดนฝัน เด็กหนุ่มไม่อาจหาคำตอบที่ต้องการได้ มีคนเลือกเดินบนเส้นทางเดียวกันกับเขาน้อยเกินไป ดังนั้นเขาจึงต้องหาคำตอบด้วยตนเองเท่านั้น
หลังจากกลับมามือเปล่า ซูเฉินก็ได้ฝึกบ่มเพาะพลังในแดนฝันไปเล็กน้อย ทั้งยังตามศึกษาวิชาต่าง ๆ ที่เขาไม่ได้ใส่ใจ โดยเฉพาะวิชากระสุนพลังต้นกำเนิดและวิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายที่เขาเรียนรู้มันมานานแล้ว แต่กลับไม่มีเวลาใช้จนชำนาญ
และหากเขาสามารถใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกายจนเชี่ยวชาญได้เร็วกว่านี้ ไม่แน่ว่าการผ่านห้องที่หกเมื่อครานั้นอาจไม่ต้องใช้กำลังถึงขนาดนั้นก็เป็นได้
แต่ซูเฉินย่อมไม่ใส่ใจเรื่องที่ผ่านไปแล้วมากนัก ทว่าถึงจะเป็นเช่นนั้น หากแต่ทุกบทเรียนที่เขาได้รับมานั้นมันก็มีค่านัก
การฝึกวิชาโบราณอาร์คาน่าของซูเฉินทั้งคืนทำให้เขาเชี่ยวชาญวิชามากขึ้นอีกขั้นหนึ่ง แดนฝันช่างเป็นสถานที่ที่เหมาะแก่การวิชาโบราณอาร์คาน่าอย่างแท้จริง ทั้งยังเหมาะกับการทำการทดลองและคำนวนมากมาย ทำให้เขามีเวลามากกว่าเดิมถึง 2 เท่า
ต่อไปนี้ ตอนกลางวันซูเฉินจะเข้าชั้นเรียนและฝึกทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัย ตอนกลางคืนเขาจะไปยังแดนฝันเพื่อฝึกวิชาโบราณอาร์คาน่า
เวลาครึ่งเดือนผ่านพ้นไป หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 ก็รวบรวมถึงจำนวนจนได้
หินพลังต้นกำเนิด 250,000 ก้อนนั้นทำให้ซูเฉินอารมณ์ดีขึ้นมาก
เขาสามารถนำมันไปซื้อวัตถุดิบมากมายได้อีกครา
แต่การส่งคืนตัวทดลองนั้น อย่างไรก็ยังมีความไม่ยินยอมเจืออยู่ …ถึงเขาจะทดลองทุกสิ่งอย่างที่คิดได้กับร่างกายของคนทั้งหมดไปแล้วก็ตาม
ฉือไคฮวงนั้นกังวลว่าซูเฉินจะหลงระเริงไปกับการทดลงในมนุษย์จนเสียสติกลายเป็นคนชั่วร้ายไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงตัดสินใจใช้ชีวิตอย่างสงบสุขเงียบเชียบอยู่ระยะหนึ่งเพื่อแสดงให้ฉือไคฮวงเห็นว่าเขาไม่ได้หมกมุ่น
และก็มีเพียงเหตุผลนี้เท่านั้นที่ทำให้ซูเฉินยอมปล่อยตัวทดลองสุดรักสุดหวงของตนไปได้
เขากำหนดจุดทำการแลกเปลี่ยนไว้ที่ป่าขนาดเล็กบนเขาอินทรีโรย และในเมื่อซูเฉินจับคนมาจากข้างนอก เช่นนั้นการแลกคนก็ไม่อาจทำในหอได้
หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 มาสาย แต่เมื่อพวกเขาเดินทางมาถึงยังสถานที่ที่ตกลงกันไว้ ก็พลันพบกับไป๋โอวและคนอื่น ๆ นั่งมึนอยู่บนแผ่นหินแล้ว
เดิมทีพวกพ่อบ้านคิดว่าไป๋โอวและคนอื่น ๆ เมื่อเห็นพวกเขาจะตื่นเต้นยินดี ก่นด่าว่าเหตุใดจึงมาช่วยช้านัก แต่แปลกที่นายน้อยทั้ง 5 กลับไร้ปฏิกิริยาใด
นัยน์ตาของนายน้อยทั้งหลายดูสับสนและไร้ความสดใส ไม่มีความยินดีแม้แต่น้อยเมื่อเห็นหัวหน้าพ่อบ้านของตน ทั้งหมดเงยหน้าขึ้นมองไปทางอื่นไม่มองไปทางพ่อบ้านสักคน
“นายน้อย !”
หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 ร้องตะโกนก่อนพุ่งตัวเข้าไป แต่ละคนจับแขนนายน้อยของตนไว้
“นายน้อย เกิดอะไรขึ้นขอรับ ?” หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลอวี๋กอดอวี๋เจินไว้ก่อนร้องขึ้น
ทางด้านอวี๋เจิน เขาเหลือบมองอีกฝ่ายด้วยสายตาไร้อารมณ์ ก่อนจะนั่งหน้านิ่งต่อไป
อีก 4 คนก็มีสภาพไม่ต่างกัน
หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลอวี๋ตะโกนขึ้นด้วยความโกรธ “ซูเฉิน ออกมาเดี๋ยวนี้ ! เจ้าทำอะไรนายน้อยของพวกข้า ?”
“อย่าตื่นตกใจไป พวกเขาเพียงได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยเท่านั้นจึงมีท่าทางไม่ใส่ใจสิ่งใดเช่นนั้น ผ่านไปสัก 2-3 วันน่าจะกลับมาเป็นปกติ” ซูเฉินปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าพร้อมรอยยิ้มบาง ในมือถือสร้อยเล็กเส้นหนึ่ง
บรรดาหัวหน้าพ่อบ้านต่างตวัดสายตาน่ากลัวมาทางซูเฉิน ก่อนที่หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลไป๋เอ่ยเสียงต่ำ “ซูเฉิน พวกข้าต้องรู้ให้ได้ว่าเจ้าทำอะไรกับนายน้อยของพวกข้าบ้าง สักวันหนึ่งสิ่งที่เจ้าทำกับนายน้อยของพวกข้าต้องย้อนกลับไปหาเจ้าแน่นอน !”
“จะเริ่มการเจรจากันเช่นนี้หรือ ?” ซูเฉินตอบไม่ใส่ใจ “ข้ารับใช้กับเจ้านาย นิสัยย่อมไม่ต่าง”
“แล้วอย่างไร ? คิดจะชิงตัวคนไปอีกครั้งหรืออย่างไร ?” หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลจางคำรามขึ้น
แท้จริงแล้ว หัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลสายเลือดชั้นสูงทั้งหมดมีขั้นพลังค่อนข้างสูงทีเดียว แต่ละคนอยู่ด่านก่อเกิดลมปราณ ทั้งยังปลุกสายเลือดตนขึ้นมาได้แล้ว ซูเฉินคนเดียวย่อมประประมือไม่ไหวแน่ และแม้นายน้อยทั้ง 5 จะไม่อาจเคลื่อนกายได้ แต่เหล่าหัวหน้าพ่อบ้าน ต่างมั่นใจว่าพวกตนจะสามารถเอาชนะเด็กหนุ่มได้
เหตุที่พวกเขามาสายก็เพราะมัวแต่สำรวจพื้นที่โดยรอบเพื่อป้องกันไม่ให้ซูเฉินซ่อนกลลวงใดไว้อีก เมื่อวางใจแล้วว่าไร้กับดักจึงได้ปรากฏตัวขึ้น
ไอสังหารในใจพลันพุ่งสูงขึ้นเมื่อทั้งห้ามองซูเฉิน เริ่มใช้สายตาส่งสัญญาณให้แต่ละคนเตรียมตัว
ซูเฉินตอบเสียงสบาย “พวกเจ้ากำลังตราหน้าข้าเป็นคนชั่ว ! ข้าจะชิงตัวสหายร่วมสถานศึกษาไปจากตระกูลเขาได้อย่างไรกัน ? ข้าบอกพวกเจ้าไปแล้ว ระหว่างเดินทางพวกเขาได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่นานก็จะหายดี หากไม่เชื่อ ก็ดูเอาเองสิ……”
เขายกสร้อยเส้นเล็กในมือขึ้น
คนทุกคนมองตรงไปยังสร้อยเส้นนั้น ตัวสร้อยเป็นรูปดาวหกแฉก มันแกว่งไปซ้ายขวากลับไปกลับมาอย่างช้า ๆ
ยามเมื่อจ้องมองตามสร้อยคอที่แกว่งไปมาเช่นนั้น คนทั้งห้าต่างรู้สึกว่าจิตใจตนเริ่มเบาขึ้น ทำท่าจะล่องลอยไป
หัวหน้าพ่อบ้านตระกูลอวี๋คือผู้ที่แข็งแกร่งที่สุด เขามีพื้นฐานการบ่มเพาะพลังอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณระดับสูง อีกหนึ่งก้าวจะขึ้นสู่ด่านกลั่นโลหิต อีกทั้งยังมีพลังจิตกล้าแข็ง
เมื่อรู้สึกว่าจิตตนสั่นไหว เขาจึงจับสัมผัสบางอย่างได้ในพลัน รีบร้องตะโกนขึ้นทันที “ไม่ถูกต้อง ! นั่นไม่ใช่สร้อยธรรมดา ! อย่าจ้องมันเด็ดขาด !”
ในตอนที่หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 กำลังดึงสติตนกลับคืนมาอยู่นั่นเอง ก็รู้สึกราวกับถูกของแหลมแทงเข้าที่หลัง
“อ๊าก !”
หัวหน้าพ่อบ้านทั้ง 5 สะดุดล้มไปด้านหน้า โลหิตสด ๆ พุ่งออกมาจากแผลที่หลัง
เมื่อหันกลับไปก็พบกับไป๋โอว อวี๋เจิน ไป๋อี่หง และคนอื่น ๆ ยืนถือดาบ มองพวกเขาด้วยสายตาเยียบเย็น
คนทั้งห้าไม่คิดว่านายน้อยของตนจะหันมาลงมือกันเช่นนี้ แต่เมื่อมองลึกเข้าไปยังนัยน์ตาของเหล่านายน้อยที่กำลังจับดาบแทงร่างพวกเขาอยู่ ก็รู้ได้ว่านายน้อยทั้งหลายกำลังถูกควบคุม เป้าหมายของสร้อยเส้นนั้นไม่ใช่พวกเขา หากแต่เป็นนายน้อยของพวกเขาต่างหาก !
หัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้าตะโกนขึ้นพร้อมกัน “ซูเฉิน เจ้ามันชั่วช้า !”
ซูเฉินเหลือบมองพวกเขาสายตาเย็นชา “เจ้าเป็นผู้กำหนดชะตาตนเอง”
หากหัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้าไม่คิดวางแผนฆ่าเขา ซูเฉินก็คงไม่ต้องใช้วิธีนี้
แต่ในเมื่อพวกมันมีจิตคิดสังหารคน เด็กหนุ่มจึงไม่อาจนั่งรอให้เรื่องเกิดได้
กลยุทธ์ต่าง ๆ ที่ซูเฉินตระเตรียมมา จะใช้หรือไม่ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของอีกฝ่าย หากเป็นไปได้ซูเฉินก็ไม่ต้องการให้ออกมาเป็นเช่นนี้
ซูเฉินยังคงแกว่งสร้อยไปมาช้า ๆ พร้อมกล่าวขึ้น “กำจัดฝันร้ายในใจของพวกเจ้าทิ้งเสีย”
นี่คือวิชาลวงเสน่ห์ที่จินหลิงเอ้อร์สอนให้เขา แต่ก็ไม่ใช่วิชาที่แข็งแกร่งเท่าทักษะต้นกำเนิดจากสายเลือดของตระกูลจิน อย่างแรกคือเขาต้องคอยส่งแรงควบคุมอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ทั้งยังต้องมีสิ่งของพิเศษที่ใช้ในการควบคุมด้วย
แม้จะไม่เหมาะกับการต่อสู้เท่าไรนัก แต่ซูเฉินก็พอใจ
ด้วยสร้อยเส้นเล็กของซูเฉิน ไป๋โอวและคนอื่น ๆ จึงพุ่งเข้าโจมตีหัวหน้าพ่อบ้านของตน
เมื่อคนโจมตีเป็นเจ้านาย พ่อบ้านทั้งห้าจึงไม่กล้าตอบกลับ พวกเขาทำได้เพียงกระโดดหลบและร้องตะโกนเสียงดังเท่านั้น “ซูเฉิน หากเจ้ากล้าสังหารพวกข้า ทางตระกูลย่อมไม่ปล่อยเจ้าไว้ !”
ซูเฉินยิ้มเยาะ “เจ้าจำผิดแล้วกระมัง ! คนสังหารเจ้าไม่ใช่ข้า แต่เป็นนายน้อยพวกเจ้าต่างหาก ถึงข้าจะเป็นคนลงมือแล้วอย่างไร ? เจ้าก็เป็นเพียงสุนัขตัวหนึ่งที่อาศัยอยู่ในตระกูล ข้าไม่อาจลงมือสังหารนายน้อยของตระกูลชั้นสูงได้ แต่กับสุนัขพวกนี้ข้าลงมือได้ เชื่อข้าเถอะ ถึงพวกเจ้าตายไปพวกเขาก็ไม่ทำอันใด สำหรับตระกูลแล้ว ขอเพียงนายน้อยไม่เป็นไรก็นับว่าเพียงพอ”
คนทั้งห้าได้ยินดังนั้นจึงรู้สึกหวาดกลัวขึ้นมาทันที
พวกเขาโดนการลอบโจมตีเมื่อครู่ บาดเจ็บหนักกันทุกคน หัวหน้าพ่อบ้านทั้งห้าไม่อาจต้านทานการโจมตีอันหนักหน่วงจากนายน้อยทั้งห้าได้ ไม่นานก็ล้มลงทีละคนจนหมด
เมื่อคนสุดท้ายล้มลง ไป๋โอวและคนอื่น ๆ ก็หยุดมือ มองเหม่อยืนนิ่งอยู่เช่นนั้นราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น
ซูเฉินเดินเข้าไปหาพวกเขา เอ่ยคำพูดกับสร้อยคอที่แกว่งไปมาในมือเสียงเบา “ฝันร้ายถูกกำจัดไปแล้ว เรื่องจบลงแล้ว พวกเจ้ากลับไปยังสถาบันมังกรซ่อนเร้นและใช้ชีวิตต่อไปได้ จำไว้ว่าระหว่างเราไร้ความแค้นใดต่อกัน เรื่องในอดีตคือสิ่งที่พวกเจ้าไม่อยากเอ่ยถึง ปล่อยให้ความทรงจำที่ไม่น่านึกถึงเหล่านั้นฝังลึกลงไปในจิตใจเจ้าเสีย”
“หากมีผู้ใดฝืนทำให้พวกเจ้าจำเรื่องราวในตอนนั้นได้ พยายามฟื้นคืนฝันร้ายในใจพวกเจ้า ฝันร้ายนั่นจะกลืนกินทั้งร่างของเจ้า ผลักเจ้าจมลงสู่ห้วงความมืดมิดอันไร้ที่สิ้นสุด หากไม่อยากให้เรื่องเช่นนั้นเกิดขึ้น…… ก็ต่อสู้เสีย สังหารทุกคนที่พยายามฟื้นฝันร้ายของพวกเจ้าทิ้ง”
“สังหารทุกคนที่พยายามฟื้นฝันร้ายของพวกเราทิ้ง” คนทั้งห้าตอบรับพร้อมกัน
ซูเฉินพยักหน้า “เอาล่ะ กลับไปได้แล้ว”
วิชาลวงเสน่ห์ไม่อาจใช้คุมจิตคนระยะยาวได้ ดังนั้นเมื่อเวลาผ่านไป การควบคุมก็จะค่อย ๆ อ่อนกำลังลง หากแต่ความหวาดกลัวที่ซูเฉินสลักไว้ในจิตใจพวกเขานั้นไม่จางหายไปง่าย ๆ ดังนั้นคนทั้งห้าก็คงไม่คิดอยากเป็นศัตรูกับซูเฉินอีกต่อไปแล้ว