ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 42 คำเชิญ
บทที่ 42 คำเชิญ
ทั้งสองคนสบตากันท่ามกลางหมู่คน
ซูเฉินจ้องกู่ชิงลั่วตาลอย ราวกับหลุดไปในความฝันอันงดงาม
สีหน้ากู่ชิงลั่วอ่อนลงชั่วครู่หนึ่ง แต่ไม่นานนางก็หลุดออกจากภวังค์นั้นแล้วส่งยิ้มบางให้ซูเฉิน
จากนั้นนางก็หันหลบสายตาเขาไป
ความรู้สึกสูญเสียพลันก่อเกิดขึ้นในใจเด็กหนุ่ม
หากแต่ซูเฉินยังไม่เสียกำลังใจง่ายดายเช่นนั้น
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรก และย่อมไม่ใช่ครั้งสุดท้ายเช่นกัน
ช่วงเวลา 4 ปีที่ผ่านมา ซูเฉินและกู่ชิงลั่วพบหน้ากันหลายต่อหลายครั้ง
ส่วนมากพวกเขาจะทำเพียงส่งยิ้มให้กันแล้วเดินผ่านกันไปเท่านั้น
“นี่ หลิงเอ้อร์ !” เสียงหนึ่งดังขึ้น ดึงซูเฉินหลุดออกจากภวังค์
ชายหนุ่ม 2-3 คนเดินตรงมายังพวกเขา โบกมือทักทายจินหลิงเอ้อร์
ซูเฉินจำคนหนึ่งได้
อสูรโลหิตจงติ่ง
เขาอยู่ในชุดคลุมสีแดงจัดปักลายเมฆขาว ที่เอวคือโซ่ดำที่ยาวไปถึงแขนซ้าย สวมรองเท้าสายเสือดาวเมฆ ผมรวบขึ้นเป็นหางม้าสั้นลวก ๆ บนหัวประดับด้วยอัญมณีสีแดง คิ้วหนาคม นัยน์ตามีเสน่ห์ยิ่ง สายตาเฉียบคมดั่งเหยี่ยว หากแต่ที่น่าสะดุดตาที่สุดคือผิวขาวซีดของเขา มันขาวซีดมากจนมองแล้วราวกับเขาเป็นคนขาดสารอาหาร
คนด้านข้างเขาสูงมาก อยู่ในชุดผ้าคลุมสีเขียวแก่คลุมถึงไหล่ ภายใต้ผ้าคลุมคือชุดคลุมผ้าแพรยาวลายปักและกางเกงผ้าแพรปัก รองเท้าทำจากหนังกวาง บนหัวสวมหมวกผ้าสักกะหลาดสีเขียวเข้ม ท่าทางหยิ่งยโสไม่แยแสผู้ใด บนหลังสะพายคันธนูที่ดูเรียบง่ายแต่มีรูปร่างประหลาดสะดุดตาไว้คันหนึ่ง ตัวธนูทำจากเถาวัลย์พันเกี่ยวจากต้นไม้โบราณ ส่วนบนสุดของคันธนูเป็นปีศาจสาวผมยาว ผมของนางพลิ้วยาวไกล กลายเป็นสายธนู
และเป็นธนูคันนี้เขาจึงได้ชื่อนั้นมา
คันศรไม้จางเซิ่งอัน
ซูเฉินได้ยินชื่ออีกฝ่ายอยู่บ้าง แต่เวลา 4 ปีของเขาในสถาบันนั้น เขาไม่ได้สนิทสนมกับจางเซิ่งอันมากนัก เคยได้เห็นเพียงไกล ๆ เท่านั้น
คนที่เรียกจินหลิงเอ้อร์คือจางเซิ่งอัน
เมื่อเดินเข้ามาใกล้จินหลิงเอ้อร์ จางเซิ่งอันก็หัวเราะ “เหตุใดจึงเพิ่งมาเล่า ? ทุกคนรอเจ้าอยู่ครู่หนึ่งแล้ว”
“ข้าไปตามซูเฉินก็เลยมาสายไปหน่อย” จินหลิงเอ้อร์ตอบ
จางเซิ่งอันเหลือบมองซูเฉิน
เขาจะไม่รู้จักซูเฉินได้อย่างไร ?
คนผู้นี้ติดสิบอันดับในการสอบของมณฑลสามเทือกเขาทั้งที่ไร้สายเลือด อีกทั้งยังได้อันดับที่ 5 เมื่อครั้งนั้นความสามารถของเขาเหนือกว่าใครอื่น
หากแต่เลห์กลสกปรกก็เป็นได้เพียงเล่ห์กล หลังจากเข้ามายังสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว ซูเฉินก็เริ่มจืดจางลง
เขาไม่ได้มีความสำเร็จอันใดที่โดดเด่นอีก ไม่แม้แต่กระทั่งเข้าร่วมการแข่งขันสิ้นปี สูญเสียฐานะหน่ออ่อนแห่งสถาบันมังกรซ่อนเร้นตั้งแต่สิ้นปีแรก
สิ่งเดียวใน 4 ปีที่ผ่านมาที่อาจเรียกว่าโดดเด่นได้บ้างคือการที่เขาสามารถโน้มน้าวให้แมงป่องพายุลมมาเป็นอาจารย์ส่วนตัวได้ สามารถโน้มน้าวคนอย่างฉือไคฮวงได้นั้นเป็นที่น่าประทับใจยิ่งนัก แต่สุดท้ายก็ไม่ได้มีความหมายใดอีก
ก็เป็นเพียงเรื่องอาจารย์ส่วนตัว ความสำเร็จของอาจารย์ส่วนตัวไม่นับเป็นความสำเร็จของตนเอง
มีเพียงความสำเร็จของตนเองจึงจะมีความหมาย
การได้เป็นศิษย์ของอาจารย์ส่วนตัวที่ไม่ค่อยรับศิษย์เช่นเขาไม่ได้เพิ่มความแข็งแกร่งให้ซูเฉิน เห็นได้ชัดว่าเป็นเช่นนี้ ด้วย 3 ปีที่ผ่านมาเขาเก็บตัวเงียบเชียบมาโดยตลอด
เจ้าหมอนี่จืดจางเหี่ยวเฉาลงไปแล้ว
ดาวตก สุดท้ายก็เป็นเพียงดาวตก
จางเซิ่งอันเริ่มไร้ความสนใจ จากนั้นหันไปทางหวังโต้วซานและอวิ๋นเป้า คนหนึ่งเขาเคยเอาชนะมาแล้ว ส่วนอีกคนหนึ่งเป็นคนธรรมดาไร้สายเลือด
เขาหันไปทางจินหลิงเอ้อร์ “หลิงเอ้อร์ เจ้าได้คิดเรื่องข้อเสนอของข้าหรือยัง ?”
จินหลิงเอ้อร์กำลังส่ายร่างตามจังหวะดนตรี เมื่อได้ยินคำถามของจางเซิ่งอัน นัยน์ตากลมโตก็ส่องเป็นประกาย
จางเซิ่งอันพยักหน้า
“ข้าไม่ปฏิเสธ แต่ข้าต้องการพาสหายอีก 2 คนไปด้วย”
“พวกเขาหรือ ?” จางเซิ่งอันขมวดคิ้วมองซูเฉินและหวังโต้วซาน
ซูเฉินไม่รู้ว่าคนทั้งคู่คุยอันใดกัน ดังนั้นจึงสับสนเล็กน้อย หันไปถามหวังโต้วซาน “เกิดอะไรขึ้นที่หุบเขาพันเถ้าหรือ ?”
“อ้อ พวกเขาวางแผนจะไปฝึกตนที่หุบเขาพันเถ้าน่ะ” หวังโต้วซานตอบ
หุบเขาพันเถ้าคือหุบเขาที่ตั้งอยู่ทางตอนเหนือของเขาอินทรีโรย ที่นั่นมีพลังต้นกำเนิดอุดมสมบูรณ์นัก ด้วยที่นั่นมีทั้งดอกไม้และสมุนไพรพลังวิญญาณอยู่มากมาย แต่จำนวนอสูรร้ายก็มีสูงมากเช่นกัน นับเป็นพื้นที่ที่อันตรายที่สุดในเขาอินทรีโรยที่เหมาะให้เหล่าศิษย์จากสถาบันมาทำการฝึกตนยิ่งนัก
ทุก ๆ ปีจะมีศิษย์จำนวนมากเดินทางไปยังหุบเขาแห่งนี้เพื่อเก็บสมุนไพรวิญญาณและล่าอสูรร้าย
ฝ่ายแรกหวังเงินตรา ส่วนฝ่ายหลังหวังฝึกฝนตกเอง
ศิษย์หลาย ๆ คนเชื่อว่าหากสามารถเข้าและออกจากหุบเขาพันเถ้าได้อย่างปลอดภัยจะนับเป็นความสำเร็จอย่างหนึ่ง
หากแต่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมีกฎเคร่งครัด ข้อแรกคือศิษย์สถาบันมังกรซ่อนเร้นจำต้องร่ำเรียนศึกษาอยู่ในสถาบันเป็นเวลา 4 ปีจึงจะได้รับอนุญาตให้เดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้าได้
ข้อสองคือผู้ที่เคยเดินทางยังหุบเขาแล้วไม่อาจนำเรื่องราวมาบอกคนที่ยังไม่เคยย่างเท้าเข้าไปก่อนมากไปได้ ศิษย์ทั้งหลายจำต้องทำความเข้าใจและประสบพบเจอสิ่งต่าง ๆ ด้วยสายตาตนเองเท่านั้น
ข้อสามคือหากจับกลุ่มกันเข้าไปต้องมีคนน้อยกว่า 7 คน นำข้ารับใช้เข้าไปได้ไม่เกิน 3 คน
และสุดท้ายคือขั้นพลังต้องไม่สูงกว่าด่านกลั่นโลหิต
หรือก็คือทางสถาบันตั้งจุดต่ำสุดและจุดสูงสุดในการเข้าหุบเขาแห่งนี้ไว้
ดังนั้นซูเฉินจึงไม่เคยได้ย่างเท้าเข้าไปยังหุบเขาพันเถ้ามาก่อน
หลังจากการประลองสิ้นปีเสร็จสิ้นลง พวกเขาจะได้รับสิทธิ์ในการเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้า ผู้ที่ต้องการสร้างชื่อให้ตนเองเริ่มออกหาสหายร่วมเดินทางแล้ว ในขณะเดียวกันก็พยายามเพิ่มอันดับในสถาบันมังกรซ่อนเร้นของตน โดยอันดับในสถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นส่วนหนึ่งก็มาจากการเข้าไปยังหุบเขาพันเถ้านี่เอง
ชื่อเสียงที่ได้จากการประลองกันบนลานประลองนั้นมีจำกัด ผู้คนมักมองการเอาชีวิตรอดในสถานการณ์เป็นตายว่ามีความสามารถมากกว่า
จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ คือหนึ่งในเหล่าศิษย์ที่คิดจะเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้า
แม้ฝีมือจินหลิงเอ้อร์บนลานประลองจะไม่นับว่าน่าประทับใจมาก แต่วิชาของนางไม่ใช่ว่าใช้ได้ผลเพียงกับมนุษย์ ทว่ายังสามารถใช้กับอสูรร้ายได้ด้วย หากพวกเขาเดินทางไปพร้อมกับจินหลิงเอ้อร์แล้วช่วยนางคุมจิตอสูรร้ายระดับกลางหรือระดับสูงมาสักตัว กำลังของกลุ่มต้องเพิ่มสูงขึ้นมากแน่ ดังนั้นจางเซิ่งอันจึงคิดชักชวนจินหลิงเอ้อร์ให้ร่วมเดินทางไปด้วย
จินหลิงเอ้อร์เองก็สนใจข้อเสนอเช่นกัน หากแต่นางสนิทสนมกับหวังโต้วซานและซูเฉิน จึงต้องการพาพวกเขาไปด้วย ซึ่งทางด้านหวังโต้วซานนั้นรู้เรื่องนี้แล้ว แต่ยังไม่เคยคุยกับซูเฉิน
“เป็นเช่นนี้นี่เอง ไปเมื่อไหร่ ?” ซูเฉินถาม
“อีกสัก 2 วัน ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของหัวหน้ากลุ่ม” หวังโต้วซานใช้คางชี้ไปทางจางเซิ่งอันและจงติ่ง บอกให้รู้ว่าสองคนนั้นเป็นคนหาคนร่วมกลุ่ม ดังนั้นจึงเป็นคนตัดสินใจ
หากแต่อสูรโลหิตจงติ่งเป็นคนเงียบขรึม ไม่ค่อยพูดจา ดังนั้นจางเซิ่งอันจึงเป็นผู้ที่ได้ใช้อำนาจตัดสินใจมากที่สุด
จางเซิ่งอันได้ยินคำจินหลิงเอ้อร์แล้วก็ดูลังเล “เรื่องนี้……”
“อะไรนะ ? เจ้าไม่เต็มใจหรือ ?” จินหลิงเอ้อร์เอ่ยถาม
จางเซิ่งอันตอบ “เป็นคำขอที่ยากพอสมควร เจ้าก็รู้ว่าหุบเขาพันเถ้านั้นอันตรายยิ่งนัก เต็มไปด้วยอสูรร้ายระดับกลาง ทั้งยังมีอสูรร้ายระดับสูงอยู่มาก จุดประสงค์ในการเข้าหุบเขาในครั้งนี้ของเราคือการไต่อันดับ หวังโต้วซานกับข้าเคยประมือกันมาก่อนข้าจึงเชื่อฝีมือเขาอยู่บ้าง แต่ซูเฉิน……”
เขาส่ายหัว “เหตุใดจึงต้องนำตัวภาระไปด้วย ?”
ซูเฉินได้ยินดังนั้นก็ขมวดคิ้ว
เขาไม่ใส่ใจเรื่องที่ผู้คนมองดูถูกเขามากนัก อย่างไร 4 ปีที่ผ่านมาเด็กหนุ่มก็ไม่ได้ทำสิ่งใดมากมาย เป็นธรรมดาที่คนจะมองเขาว่าไร้ค่า
หากแต่ดูถูกเขาคือเรื่องหนึ่ง ล่วงเกินเขาต่อหน้าคืออีกเรื่องหนึ่ง
หวังโต้วซานได้ยินจางเซิ่งอันพูดเช่นนั้นก็ไม่พอใจ “ซูเฉินคือคนที่ติด 1 ใน 10 อันดับของการสอบในมณฑลสามเทือกเขา จะนับเป็นตัวภาระได้อย่างไร ?”
จางเซิ่งอันส่ายหัวเบา ๆ อีกครา “นั่นมันเมื่อ 4 ปีก่อน”
เขาพูดไม่ผิด เมื่อครานั้นอาจนับได้ว่าซูเฉินทรงพลัง แต่ก็เป็นเพียงเรื่องในอดีตเท่านั้น
หลายปีที่ผ่านมา ซูเฉินไม่ได้ทำการใดโดดเด่นสะดุดตา ดังนั้นจึงไม่แปลกที่จะถูกคนดูหมิ่นเช่นนี้
จางเซิ่งอัน จงติ่ง และคนอื่น ๆ ต่างรู้สึกเหมือนกันว่าซูเฉินนั้นฝีมือด้อยลง ไม่อาจสำแดงความสามารถโดดเด่นได้ดั่งแต่ก่อน
ไม่แน่ว่าลึก ๆ แล้วหวังโต้วซานและจินหลิงเอ้อร์เองก็คิดเช่นนั้น
ที่ทั้งสองยังยอมคบค้าสมาคมกับเขาเป็นเพราะไม่ต้องการให้สายสัมพันธ์ในอดีตจางหายไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนทั้งคู่ยังคงเชื่อมั่นในความแข็งแกร่งของซูเฉิน
ดังนั้นเมื่อจางเซิ่งอันพูดเช่นนี้ขึ้น กระทั่งหวังโต้วซานก็หาคำพูดโต้ตอบไม่ได้ไปครู่ใหญ่
แต่ในที่สุดก็เอ่ยขึ้น “หากซูเฉินไม่ไป ข้าก็ไม่ไป”
เขาพูดเช่นนี้ทำให้จินหลิงเอ้อร์อยากกล่าวเช่นนี้ออกไปด้วย..
จางเซิ่งอันได้ยินดังนั้นก็เอ่ยขึ้น “ครั้งนี้พวกข้ารวบรวมศิษย์ฝีมือดีเพื่อเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้า หลิงเอ้อร์ หากเจ้าเต็มใจมากับพวกข้า พวกข้าจะช่วยเจ้าจับอสูรร้ายระดับสูงและมอบมันให้กับเจ้า เจ้ารู้ดีว่าทำเช่นนั้นสามารถเพิ่มกำลังเจ้าได้มากน้อยเพียงไร”
อสูรร้ายระดับสูงมีกำลังเทียบเท่าผู้ฝึกยุทธ์ขั้นพลังด่านกลั่นโลหิตระดับต่ำ ขั้นพลังของแต่ละคนในตอนนี้ หากต่อสู้กับมันตัวต่อตัวคงไม่อาจจัดการมันได้ แต่หากร่วมมือกันแล้วก็ไม่เป็นปัญหา
หากจินหลิงเอ้อร์สามารถคุมอสูรร้ายระดับสูงได้ นางจะแข็งแกร่งขึ้นมาก ทำให้อันดับในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนเพิ่มสูงขึ้น
มนุษย์แต่ละคนต่างมีความหยิ่งและทระนงตัวอยู่จำนวนหนึ่ง ในการสอบของมณฑลสามเทือกเขา นางติด 1 ใน 10 อันดับ แต่เมื่อเข้ามายังสถาบันมังกรซ่อนเร้นแล้ว แค่พยายามทำให้ชื่อตนเองติดอยู่หนึ่งใน 200 อันดับแรกยังยากยิ่ง เป็นเพราะสิถีการต่อสู้ของนางไม่เหมาะกับการประลองบนลานประลองเช่นนี้ ดังนั้นจินหลิงเอ้อร์จึงถูกเรื่องนี้รบกวนจิตใจมาโดยตลอด
จางเซิ่งอันสัญญามาเช่นนั้น จินหลิงเอ้อร์ก็เริ่มลังเล
ซูเฉินเห็นนางกลืนไม่เข้าคายไม่ออกก็หัวเราะเสียงเบาออกมา “ในเมื่อพวกเขาเชิญเจ้าไปแล้ว เจ้าก็ไปเถอะ ไม่ต้องห่วงพวกข้า”
ได้ยินแล้วจินหลิงเอ้อร์จึงตัดสินใจ “ต้องขอโทษด้วย ข้าจะไปกับพวกเขาก่อน หากมีโอกาสอีกข้าจะบอกพวกเจ้า”
“ไม่มีปัญหา” ซูเฉินตอบพร้อมยิ้มบาง
หวังโต้วซานมองพวกเขาเดินจากไปแล้วคิ้วขมวดแน่น “อสูรร้ายระดับสูงมีค่ามากขนาดไหนกัน ? มีค่าให้ใส่ใจมากขนาดนั้นเลยหรือ ?”
“ช่างเถอะ ทางเดินแต่ละคนย่อมแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องบังคับคนอื่นให้หยุดเดินเพื่อเรานี่” ซูเฉินตอบ
“เจ้านี่ใจกว้างเสียจริง หากข้ารู้ว่าจะเป็นเช่นนี้ข้าอาจจะไปกับพวกนั้นแล้วก็ได้” หวังโต้วซานโกรธขึ้นมา
“ยังมีอีกตั้งหลายกลุ่มไม่ใช่หรือไร เหตุใดจึงต้องไปกับกลุ่มพวกเขาด้วย ?” ซูเฉินตอบเสียงนิ่ง