ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 45 เดินทางสู่หุบเขา
บทที่ 45 เดินทางสู่หุบเขา
หลังออกจากห้องโถงกลั่นร้อยวิชาแล้ว ซูเฉินก็พาอวิ๋นเป้าและกังเหยียนเดินทางไปยังจุดนัดพบที่ตกลงกันไว้
พวกเขามาก่อนเวลาเล็กน้อย ดังนั้นจึงยังไม่มีใครแม้สักคน
หลังจากรอไม่นาน เจิ้งเซี่ย ตู้ฉิง และคนอื่น ๆ ก็มา
ซูเฉินเริ่มแนะนำตัวเมื่อทุกคนเดินทางมาถึง “กังเหยียนคือข้ารับใช้ของข้า ข้าจะนำเขาเดินทางไปด้วย แต่แน่นอนว่าเขากับข้านับว่าไปด้วยกัน”
เมื่อได้ยินว่ามีกังเหยียนมาเป็นกำลังเพิ่มโดยไม่เสียอันใด ทุกคนก็พึงพอใจ พากันต้อนรับกังเหยียนอย่างอบอุ่น
เจิ้งเซี่ยยังกังวลอยู่เล็กน้อย เขาเอ่ยถามขึ้นว่า “เขาแข็งแกร่งหรือไม่ ? หากเกิดอันตรายขึ้น ข้าเกรงว่า……”
“ไม่ต้องห่วง พวกเจ้าไม่ต้องเปลืองแรงคอยดูแลเขาหรอก” ซูเฉินตอบ
เจิ้งเซี่ยพยักหน้ารับในที่สุด
ที่ด้านข้าง ซุนจี้จู่เอ่ยถามขึ้น “เหตุใดหวังโต้วซานจึงยังไม่มาเล่า ?”
“ข้าว่าเขาคงกำลังมา” อวิ๋นเป้าพูดขึ้น “รออีกหน่อยเถอะ”
ไม่นานร่างกลมของหวังโต้วซานก็ปรากฏขึ้นในขอบเขตสายตา กำลังวิ่งมาทางพวกเขา
เขาวิ่งมาพร้อมร้องตะโกนไปด้วย “ขอโทษด้วย ข้าสายอีกแล้ว !”
สภาพร่างของเขาชี้ให้เห็นชัดว่าเพิ่งตื่นนอน ทำให้คนที่เห็นถึงกับพูดไม่ออก
เจิ้งเซี่ยถอนหายใจเบา ๆ กับตนเอง แค่นำซูเฉินไปด้วยเขาก็กังวลมากแล้ว แต่ตอนนี้ดูท่าคนจากตระกูลสายเลือดชั้นสูงผู้นี้ก็ไม่ได้แข็งแกร่งนักเช่นกัน
ไม่ว่าใครก็ดูไร้ประโยชน์ทั้งนั้น !
แม้ในใจจะรู้สึกเสียใจ แต่เรื่องราวก็ตัดสินใจไปแล้ว เขาทำได้เพียงย่นคิ้วแล้วฝืนทนต่อไปเท่านั้น
ในที่สุดคน 8 คนก็รวมตัวกันออกเดินทางไปยังหุบเขาพันเถ้า
ก่อนออกเดินทาง ซูเฉินก็ได้หยิบขวดยาออกมาขวดหนึ่ง
“อะไรหรือ ?” ตู้ฉิงถามด้วยความสงสัย
ซูเฉินตอบ “ยาไล่แมลง บนเขามีแมลงมาก หากมีเจ้านี่ก็ไม่ต้องกลัวโดนกัด”
“เยี่ยมเลย” ตู้ฉิงเอื้อมมือมาจะคว้าขวด
“ขวดละ 10 หินพลังต้นกำเนิด” ซูเฉินเอ่ยขึ้น
ตู้ฉิงชักมือกลับทันที นางเบิกตากว้างมองเขา “หินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนหรือ ? เจ้าจะปล้นกันหรือไร ?”
ซูเฉินตอบเสียงเครียด “จะปรุงยาต้องใช้เงิน ปกติยาชนิดนี้ข้างนอกขายกันที่ราคาหินพลังต้นกำเนิด 15 ก้อน หากเข้าป่าไปจะยิ่งแพง ไม่แน่ราคาอาจเกิน 20 ดังนั้นขวดละ 10 หินพลังต้นกำเนิดจึงไม่นับว่าแพง แต่หากเจ้าไม่ซื้อก็ไม่เป็นไร”
เหยียนฟู่ซิงคำรามขึ้น “ทุกคนเป็นผู้บ่มเพาะพลัง หากใช้พลังต้นกำเนิดคุ้มร่าง แมลงเพียงไม่กี่ตัวจะสร้างความรำคาญให้ได้อย่างไร ?”
“ใช่แล้ว ! มีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะใช้หินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อนไปกับของแบบนั้น” ซุนจี้จู่เองก็เอ่ยขึ้น
“เช่นนั้นก็แล้วแต่เจ้า ข้าเพียงบอกให้รู้ไว้” ซูเฉินไม่ใส่ใจ เก็บยากลับไป
ซุนจี้จู่ เจิ้งเซี่ย และตู้ฉิงต่างส่ายหน้าปฏิเสธ มีเพียงหวังโต้วซานและอวิ๋นเป้าที่ซื้อไปเท่านั้น
อวิ๋นเป้ารู้ดีว่ายาไล่แมลงมีประโยชน์เพียงไหน อย่างไรมันก็เป็นยาที่เขาแนะนำให้ซูเฉินปรุงดูตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ส่วนหวังโต้วซานซื้อเพราะไว้หน้าซูเฉินและอยากลองใช้ยาดูบ้าง
แต่เมื่อเดินทางเข้ามาในเขา แต่ละคนจึงได้รู้ซึ้งว่าเหล่าแมลงน่ากลัวได้ถึงเพียงไหน
แมลงบนเขาอินทรีโรยนั้นดูท่าจะสามารถบ่มเพาะพลังได้ พวกมันดุร้ายยิ่งนัก กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดที่ฝึกทักษะต้นกำเนิดประเภทก่อร่างยังรู้สึกได้ถึงความเจ็บปวดยามถูกกัด ดังนั้นผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดทั่วไปจึงไม่ต้องกล่าวถึง หากพวกเขาถูกกัดจะมีรอยแดงใหญ่ปรากฏขึ้นมา
นิ้วหักใช้เวลา 1 วันฟื้นตัวจึงหาย แต่รอยแมลงกัดเหล่านี้ผ่านไปครึ่งวันแล้วก็ยังไม่หาย
ดังนั้นจึงต้องสร้างเกราะพลังต้นกำเนิดขึ้นมากันแมลง หากแต่มันก็กินพลังต้นกำเนิดในร่างนัก
ผ่านไปไม่นาน เจิ้งเซี่ยก็เริ่มเปิดปากบ่นไม่หยุด
ตู้ฉิงเป็นคนแรกที่ไม่อาจทนได้อีกต่อไป แมลงบนเขาแห่งนี้ทั้งดุร้ายทั้งแม่นยำ กัดหน้านางคราหนึ่งก็ปรากฏรอยแดงขนาดใหญ่บนใบหน้า
ไม่เพียงแต่รู้สึกเจ็บปวด แต่หน้ายังบวมจนไม่น่ามองอีกด้วย
นางรีบไปซื้อยาจากซูเฉินขวดหนึ่งทันที
เจิ้งเซี่ยเป็นคนที่สอง
เหยียนฟู่ซิงและซุนจี้จู่นั้นอย่างไรก็ไม่อยากเสียหน้า พวกเขาเป็นคนที่บอกว่ามีแต่คนโง่เท่านั้นที่จะซื้อยานี่
แต่เมื่อรอยแมลงกัดบนใบหน้าเริ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดทั้งสองคนก็ทนไม่ไหว บากหน้าไปซื้อยาไล่แมลงกับซูเฉิน หากต้องเป็นคนโง่ก็เป็นไปเถอะ
ซูเฉินไม่เอะอะมากมายนัก ทั้งยังหยิบยารักษาแมลงกัดขึ้นมาอีกด้วย
ยาชนิดนี้แพงกว่ายาไล่แมลง มีราคาเป็นหินพลังต้นกำเนิด 30 ก้อน
ทั้งสองได้แต่หยิบเงินออกมาอย่างไร้หนทาง ในใจเจือแววไม่พอใจอยู่เล็กน้อย รู้สึกว่าคนผู้นี้ขี้เหนียวนัก ไม่มีจิตเป็นสหายร่วมกลุ่มเสียเลย ยาไล่แมลงธรรมดายังต้องคิดเงินกับคนในกลุ่มเช่นนี้
มนุษย์ก็เป็นเช่นนี้ หากมีความสัมพันธ์กันก็หวังจะใช้ประโยชน์จากความสัมพันธ์นั้นโดยเห็นว่าเป็นเรื่องถูกต้องดีงาม หากต้องจ่ายเงินซื้อเช่นนี้คนเหล่านั้นย่อมเห็นว่าอีกฝ่ายโลภมากไม่มีความไว้ใจระหว่างกัน
เป็นธรรมดาที่ความใส่ใจ ความพยายามและเงินที่เสียไปนั้นไม่นับ
แต่แน่นอนว่าเรื่องเหล่านี้ไม่สลักสำคัญมากนัก ไม่กระทบต่อความสัมพันธ์ในกลุ่ม
ความต่างระหว่างเดินทางไปคนเดียวกับเดินทางไปเป็นกลุ่มนั้นคือความมีชีวิตชีวา เดินทางไปสนทนาไปกันตลอดทาง
ตู้ฉิงเป็นคนที่ร่าเริงที่สุดในกลุ่ม หญิงสาวมีจิตใจดีทั้งยังสดใสนัก เดี๋ยวไปตรงนั้นตรงนี้ พูดคุยกับทุกคนในกลุ่มตลอดทาง บางครั้งนางก็จะวิ่งนำหน้าไป หรือบางครั้งเห็นดอกไม้ป่าก็จะเด็ดมาประดับผมตนเอง อีกทั้งหากเจอวิวทิวทัศน์งดงามก็จะหยุดมองอยู่นานอีกด้วย
คนทั้งกลุ่มเดี๋ยวเดินเดี๋ยวหยุดเพราะนาง ความเร็วในการเดินทางเป็นไปอย่างล่าช้า
หากแต่ไม่มีใครต่อว่าตู้ฉิง
ซูเฉินและหวังโต้วซานเดินทางครั้งนี้เพื่อหวังมาหาประสบการณ์ ดังนั้นจึงไม่รีบร้อน ส่วนเจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็ดูจะชอบนาง
มีเพียงอวิ๋นเป้าที่ดูไม่ค่อยพอใจนัก
เขาส่ายหัวไปมาอย่างอดไม่ได้ “นี่เราจะมาล่าอสูรร้ายกันจริงหรือไม่ ? เช่นนี้เหมือนกับการออกมาเที่ยวชมทิวทัศน์เสียมากกว่า”
ยามพูดเขาไม่ใส่ใจคุมเสียงตน เหยียนฟู่ซิงและซุนจี้จู่จึงได้ยินคำเขา ก่อนจะเหลือบมองมาทางเขาด้วยความไม่พอใจทันที
ซูเฉินตบไหล่อวิ๋นเป้า “ผ่อนคลายเถอะ เราไม่จำเป็นต้องทำราวกับการเดินทางทุกครั้งต้องเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ได้ นานครั้งออกมาเดินชมทิวทัศน์บ้างก็ดี”
“ปัญหาคือพวกอสูรร้ายมันไม่ได้คิดเช่นนั้น” อวิ๋นเป้าตอบ
ซูเฉินดึงอวิ๋นเป้ามาใกล้ก่อนเอ่ยเสียงเบา “ข้ารู้ว่าเจ้ามาที่เขาอินทรีโรยบ่อยครั้ง ทำให้ประสบการณ์ของเจ้านั้นสำคัญมาก หากแต่เรานับเป็นแขกของกลุ่มนี้ และคนเป็นแขกย่อมต้องเคารพข้อกำหนดของผู้นำกลุ่ม พวกเราไม่อาจชิงอำนาจจากเขาได้ เจ้าปล่อยวางเรื่องเล็กน้อยไปเถอะ แต่หากมีอันตรายใดก็ให้บอกพวกข้า”
อวิ๋นเป้าพยักหน้า ส่งเสียงตอบรับ
ในขณะเดียวกันนั้นเอง ตู้ฉิงก็วิ่งไปยังใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นางเก็บผลไม้สีแดงมาหลายลูกก่อนจะวิ่งกลับมาด้วยใบหน้าตื่นเต้น “เจ้าดู มีผลไม้ให้กินด้วย”
ในตอนที่นางจะส่งมันให้คนอื่น ๆ อวิ๋นเป้าเหลือบมองผลไม้พวกนั้นคราหนึ่ง จากนั้นโยนพวกมันทิ้งไป
การกระทำเฉียบพลันของเขาทำให้ตู้ฉิงตกใจนัก
ทุกคนต่างส่งสายตาโกรธเคืองมาทางเขา “เจ้าทำอะไรของเจ้า ?”
“ผลไม้พวกนี้มีพิษ” อวิ๋นเป้าตอบเสียงเรียบ จากนั้นก็หันหลังเดินกลับไปอยู่ที่เดิม
มีพิษหรือ ?
แต่ละคนมองหน้ากันแล้วสลับไปมองผลไม้สีแดงบนพื้น พวกเขาไม่อาจหาทางพิสูจน์ได้ว่าอวิ๋นเป้าพูดถูกต้องหรือไม่ แต่พวกเขาไม่มีทางลองกินมันอย่างแน่นอน
“หากเจ้าว่ามีพิษมันก็มีพิษงั้นหรือ ?” ตู้ฉิงถามเสียงไม่พอใจ
อวิ๋นเป้าเมินนาง ท่าทางบ่งบอกว่า “ข้าไม่สนว่าเจ้าจะเชื่อหรือไม่”
หากเป็นซูเฉินบอกกับคนอื่น ๆ ว่าผลไม้เหล่านั้นมีพิษ เขาคงไม่ใช่วิธีเรียบง่ายแต่ดุดันเช่นนั้นแน่
แต่อวิ๋นเป้านั้นแตกต่าง สภาพแวดล้อมที่เขาอยู่หล่อหลอมให้เขาใช้วิธีที่เรียบง่ายรวดเร็วในการแก้ไขปัญหา ไม่ใส่ใจความอดทนของอีกฝ่าย หวังโต้วซานกับซูเฉินเคยชินกับวิธีของเขาแล้ว แต่เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ ไม่เป็นเช่นนั้น
เหยียนฟู่ซิงและคนอื่น ๆ เป็นสมาชิกแรกเริ่ม อย่างไรก็รู้สึกว่าพวกตนมีอำนาจเหนือกว่า ดังนั้นจึงไม่อาจยอมรับท่าทางเช่นนี้ได้
“ช่างเถอะ ไม่ว่าจะมีพิษหรือไม่ อย่าหยิบอะไรที่เติบโตบนเขานี่กินสุ่มเลยดีกว่า” เจิ้งเซี่ยเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น
“ถึงจะมีพิษจริง แต่เขาพูดดี ๆ ไม่ได้หรือ ? หยาบคายราวกับคนเถื่อน” ตู้ฉิงบุ้ยปาก
เจิ้งเซี่ยถอนหายใจ “เจ้าเป็นคนพาเขาเข้ากลุ่มมาไม่ใช่หรือไร ?
ผ่านไปไม่นาน กลุ่มพิสุทธิ์ก็พบเข้ากับเป้าหมายแรก แพะภูเขาดำเร่ร่อน
แพะภูเขาดำนั้นไม่แข็งแกร่งมาก แต่ก็รับมือได้ยาก สามารถใช้ทักษะต้นกำเนิดได้อย่างน้อย 3 วิชา อีกทั้งยังมีคำสาปที่ทำให้คนแก่เร็วได้
ชั้นเรียนวิชาอสูรร้ายของสถาบันมังกรซ่อนเร้นนั้นมีสอนเรื่องแพะภูเขาดำด้วย
วิธีรับมือกับมันที่ดีที่สุดก็การพุ่งเข้าโจมตีแบบฉับพลัน อย่าให้มันได้ใช้คำสาปซึ่งต้องใช้เวลาร่ายนานนั่น
เมื่อมีความรู้มาก่อนหน้าเช่นนี้ กลุ่มพิสุทธิ์จึงจบการต่อสู้แรกลงได้อย่างง่ายดาย
หลังสังหารแพะภูเขาดำไปแล้ว เจิ้งเซี่ยกลับเห็นว่าซูเฉินและกังเหยียนยังยืนอยู่บนร่างของมัน
คนทั้งคู่ขยับแขนไปมาดูแปลกประหลาดนัก
“ทำอะไรของเจ้า ?” หวังโต้วซานถามเสียงฉงน
ซูเฉินยิ้มตอบ “พวกข้ากำลังแสดงความนับถือมันอยู่ วิญญาณมันจะได้จากไปอย่างสงบสุข”
ตู้ฉิงถามเสียงตะลึง “เจ้าเชื่อเรื่องศาสนาพุทธหรือ ?”
ทวีปต้นกำเนิดนั้นยังมีพระพุทธศาสนาอยู่ แต่แรงกระเพื่อมมีน้อย เทียบกับศาสนาอื่น ๆ แล้วนับเป็นศาสนาที่เรียบง่ายถ่อมตนที่สุด เรื่องการเวียนว่ายตายเกิดไม่ได้มีชื่อเสียงมากนักในดินแดนแห่งนี้ กระทั่งความเชื่อเรื่องพระเจ้าก็มีอยู่เช่นกัน แต่ผู้คนก็ไม่ได้ยกย่องเทิดทูนมากนัก
ยามเมื่อมนุษย์ถือครองพลังที่แกร่งกว่าพระเจ้าไป ความนับถือต่าง ๆ ย่อมลดลงมาก
หากเป็นไปได้พวกเขาก็อยากก้าวขึ้นเป็นพระเจ้าแทนเสียเลย
อย่างไรมนุษย์ก็คล้ายกับเป็นสิ่งมีชีวิตที่หล่นร่วงลงมาจากแดนสวรรค์อยู่แล้ว
ซูเฉินไม่ใส่ใจเรื่องพระพุทธศาสนานัก เขาเพียงต้องการดูดซับจุดแสงพลังต้นกำเนิดที่กำลังล่องลอยอยู่ในอากาศเท่านั้น จึงใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้าง
วิญญาณมันจะได้จากไปอย่างสงบสุขเป็นข้ออ้างที่ดียิ่ง
ดังนั้นเขาจึงเอ่ยตอบไป “ก็ดีกว่าอยู่เฉย ๆ”
“……”
เจิ้งเซี่ยไม่รู้จะเอ่ยคำเช่นไร
เขาไปได้คนประเภทไหนมาร่วมกลุ่มกัน ?
เจ้าอ้วนที่ไม่รู้จักรักษาเวลา คนป่าเถื่อนที่ไม่รู้จักพูดจาให้สุภาพ และตัวตลกที่เห็นเงินสำคัญดั่งชีวิต
เมื่อคิดถึงตรงนี้ เจิ้งเซี่ยก็พลันหมดหวังกับการเดินทางครั้งนี้ไปจนสิ้น