ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 52 เพลิงอัสนี
บทที่ 52 เพลิงอัสนี
2 ชั่วยามต่อมา
กลุ่มพิสุทธิ์ได้มารวมตัวกันที่ริมแม่น้ำสายหนึ่งในป่าบนเขาอินทรีโรย
“ดูสิ ข้าจับปลาได้ด้วย !”
เหยียนฟู่ซิงยืนอยู่ริมฝั่งลำธาร ในมือมีปลาท้องโตตัวหนึ่ง เขาดูตื่นเต้นยินดีไม่น้อย
ซูเฉินและเจิ้งเซี่ยกำลังก่อกองไฟเพื่อทำอาหารเย็นกินกัน
โดยมีเจิ้งเซี่ยทำหน้าที่สับฝ่ามือดั่งขวาน ผ่าขอนไม้ที่ตั้งรวมกันอยู่อย่างง่ายดาย
ส่วนซูเฉินก็แบฝ่ามมือ เรียกเปลวเพลิงให้ลุกโชนขึ้น ทำการจุดไฟขึ้นใต้ไม้กองนั้น
หลังจากเหลือบมองปลาท้องโตในมือของเหยียนฟู่ซิงแล้ว เด็กหนุ่มก็พลันเอ่ยขึ้น “เป็นปลาตัวเมีย ตอนนี้เป็นช่วงก่อนฤดูผสมพันธุ์พอดี ตอนผ่าท้องมันก็ระวังหน่อยเล่า ไข่ปลารสชาติอร่อยนัก ไม่ควรให้เสียของ”
“เจ้ารู้ได้อย่างไร ?” ซุนจี้จู่เอ่ยถามจากด้านข้าง ตอนนี้เขากำลังช่วยตู้ฉิงจัดการเนื้อจากเจ้าวานรอยู่
หลังจบเรื่องวานรยักษ์เหล็กกล้าและกลุ่มทะยานฟ้าแล้ว เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ ก็มองซูเฉินด้วยสายตาเปลี่ยนไป ทำให้บรรยากาศในกลุ่มอบอุ่นเป็นมิตรกันมากกว่าเดิม
“ข้าอ่านตำราเยอะ” ซูเฉินตอบ ก่อนจะหยิบเครื่องเทศทั้งหลายออกมาจากแหวนกักเก็บ
“แต่อ่านตำรามากมายไม่ทำให้แข็งแกร่งขึ้นได้หรอกนะ” ตู้ฉิงกำลังพยายามหั่นเนื้อเจ้าวานรอยู่ แม้นางจะเก่งวิชาดาบ แต่กลับไม่สันทัดการใช้มีด เนื้อชิ้นที่นางพยายามเฉือนคล้ายกับเนื้อที่ถูกสุนัขแทะอย่างไรก็อย่างนั้น
กังเหยียนไม่อาจทนมองได้อีกต่อไป สุดท้ายก็แย่งมีดมาจากมือนางก่อนเอ่ยขึ้น “ข้าจัดการมันเอง เจ้าไปหาไม้มาเติมไฟเถอะ”
“ก็ขึ้นอยู่กับว่าเจ้ามองคำว่า ‘ความแข็งแกร่ง’ อย่างไร” ซูเฉินตอบ เอนหลังพิงต้นไม้
“มันหมายความว่าอย่างไรหรือ ?” ทุกคนถามขึ้น
“ความแข็งแกร่งที่แต่ละคนวาดฝันนั้นแตกต่างกัน สำหรับข้า ความแข็งแกร่งนั้นเกี่ยวพันกับทุกสิ่งอย่าง วานรยักษ์เหล็กกล้าแข็งแกร่งหรือไม่ ? มันแกร่งมาก ! หากวัดกันเรื่องกำลังอย่างเดียว ข้าสองคนยังเทียบมันไม่ได้ แต่ข้าก็ยังสังหารมันได้ เพราะเหตุใดเล่า ?”
“เป็นเพราะข้าเองก็มีเครื่องมือต้นกำเนิด มียาต่าง ๆ และหินพลังต้นกำเนิดที่ช่วยฟื้นพลังให้ข้าได้ หากไร้สิ่งของเหล่านี้แล้วข้าก็คงสู้มันไม่ไหว พวกเจ้าลองบอกข้าสิ เช่นนี้นับเป็นความแข็งแกร่งหรือไม่ ? และมันก็เฉกเช่นเดียวกับความรู้ที่ข้ามี ที่มันได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของความแข็งแกร่ง ช่วยให้ข้าแกร่งกล้าขึ้นได้”
ซุนจี้จู่หัวเราะออกมา “เจ้าก็อาจพูดถูก แต่ความแข็งแกร่งเหล่านั้นไม่ได้มาจากตัวเจ้าเอง ข้าอยากได้ความแข็งแกร่งที่เป็นของข้าเองมากกว่า มีเพียงความแกร่งที่แท้จริงเช่นนั้นจึงจะสามารถมีอำนาจเหนือใครได้”
ซูเฉินพ่นลมออกจมูก “อย่าไร้สาระเลย ‘มีเพียงความแกร่งที่แท้จริงเช่นนั้นจึงจะสามารถมีอำนาจเหนือใครได้’ อะไรกัน ? เจ้าจะไปหาความแกร่งเช่นนั้นมาจากไหนได้ ? จางเซิ่งอันนั้นแข็งแกร่ง แต่จีหานเยี่ยนก็ใช้เพียงหนึ่งฝ่ามือซัดเขากระเด็นได้ และแม้นางจะแข็งแกร่งมาก แต่ก็ยังเป็นอันดับที่ 4 ในการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยน”
“มันก็หมายความว่ายังมีคนที่แข็งแกร่งกว่านางอีกถึง 3 คน แล้วเช่นนั้นอันดับที่ 1 ของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนแข็งแกร่งหรือไม่ ? นอกจากนี้ เหนือกว่าเขาก็ยังมีศิษย์ชั้นปีที่ 6 ปีที่ 7 และปีที่ 8 อยู่อีก ซึ่งถ้าแกร่งไปกว่านั้นก็ยังมีเหล่าคนอัจฉริยะที่มีสายเลือดจักรพรรดิอสูร คนเหล่านั้นกล้าพ่นคำว่าความแกร่ง ‘ที่แท้จริง’ ออกมาหรือไม่เล่า ?”
“จงอย่าลืมไป ไม่ว่าเจ้าจะแกร่งมากแค่ไหน แต่ก็ยังมีพลังอยู่ที่ด่านก่อเกิดลมปราณ จึงยังมีคนอีกนับพันนับหมื่นที่แข็งแกร่งกว่าพวกเจ้ามาก นอกจากคนที่แกร่งที่สุดในโลกหล้านี้แล้ว ยังจะมีใครกล้าเอ่ยว่าตนแข็งแกร่งอย่างแท้จริงอยู่ได้อีก ?”
ซุนจี้จู่เงียบไป
ซูเฉินว่าต่อ “สำคัญที่สุดคือเมื่อ ‘ความแข็งแกร่งที่แท้จริง’ ไม่อาจอยู่เหนือใครได้ ก็อาจกล่าวได้ว่ายังแกร่งไม่พอ ยังมีความแท้จริงไม่มากพอ ! หากคิดตามหลักการนี้ ข้าก็อาจกล่าวได้ว่าข้าสามารถควบคุมทุกสิ่งอย่างได้ด้วยความรู้อันแท้จริงของข้าเช่นกัน หากข้าทำไม่ได้ ข้าก็เพียงแต่กล่าวว่าความรู้ของข้ายังไม่มีความแท้จริงมากพอ เจ้าว่าความคิดเช่นนี้มันมีความหมายอะไรหรือไม่ ?”
“……”
ซูเฉินเอ่ยเสริม “ตามที่ข้าคิดนั้น ความแข็งแกร่งก็เป็นเพียงความแข็งแกร่ง ไม่ว่าจะมาจากสิ่งใดก็ตาม หากเจ้าใช้ได้ก็นับว่าคือความแข็งแกร่ง ความรู้เองก็เป็นความแกร่งชนิดหนึ่ง สร้างประโยชน์ให้ข้าได้มากมาย อาทิเช่น……”
ยามซูเฉินเอ่ยคำ เขาก็หยิบของสิ่งหนึ่งออกมา
ในมือเขาคือลูกเหล็กกลมเกลี้ยงสีดำลูกหนึ่ง ดูไม่โดดเด่นนัก
“มันคืออะไร ?” หวังโต้วซานถามขึ้น
“เจ้ายังจำขวดเหล้าได้หรือไม่ ?” ซูเฉินถามขึ้น
หวังโต้วซานตาเป็นประกายทันที “นี่พัฒนามาจากขวดเหล้านั่นหรือ ? เหตุใดจึงเล็กขนาดนี้เล่า ?”
“ไม่เช่นนั้นจะเรียกว่าพัฒนาขึ้นจากเดิมได้หรือ ?” ซูเฉินตอบ “ข้าอัดตัวยาลงไปในลูกกลมนี้ อย่าได้ดูถูกขนาดเล็กของมันเชียว จริง ๆ แล้วมันทรงพลังกว่าขวดเหล้านั่นมาก ข้าเรียกมันว่าเพลิงอัสนี”
ทุกคนเริ่มสนใจลูกกลมนั่นในทันที
“เจ้าลองใช้ดูสิ !” หวังโต้วซานเอ่ยเสียงตื่นเต้น
“พวกเจ้าคิดว่าอย่างไร ?” ซูเฉินเหลือบมองคนอื่น ๆ
ทุกคนพยักหน้าให้ ต่างก็อยากเห็นว่าความแกร่งที่ได้จากความรู้จะเป็นอย่างไร
“ก็ได้ !” ซูเฉินมองไปยังอวิ๋นเป้า “อวิ๋นเป้า ข้าจำได้ว่าระหว่างทางเราผ่านฝูงตัวต่ออสูรฝูงหนึ่ง”
“อืม มีอยู่ฝูงหนึ่ง” อวิ๋นเป้าพยักหน้า
“ไปหาน้ำผึ้งมาราดเนื้อกันเถอะ เจ้าว่าอย่างไร ?” ซูเฉินหัวเราะออกมา
อวิ๋นเป้าเองก็หัวเราะ “ฟังดูไม่เลว”
พูดจบร่างก็หายไปในพริบตา
ไม่นานก็กลับมาพร้อมกับถือรังต่อขนาดใหญ่ไว้ในมือ และเสียงหึ่ง ๆ ของตัวต่ออสูรที่บินไล่หลังมาติด ๆ
ตัวต่ออสูรเหล่านี้มีขนาดราวหนึ่งกำปั้น ตัวที่ใหญ่ที่สุดอาจใหญ่ได้เท่ากับใบหน้าคนเลยทีเดียว ทำให้ทุกคนพลันเปลี่ยนสีหน้าเมื่อเห็นต่ออสูรฝูงใหญ่กำลังบินเข้ามา
ตัวต่ออสูรนั้นคล้ายกับอสรพิษเงาในเนินกลบวิญญาณ แม้จะแกร่งไม่มาก แต่เมื่อมารวมกันเป็นฝูง ทั้งยังมีเหล็กในมีพิษ จึงทำให้เป็นอสูรที่รับมือได้ยากมาก
เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ นั้นยอมสู้กับวานรยักษ์เหล็กกล้า 2 ตัวดีกว่ารับมือกับฝูงต่ออสูร
เมื่อเห็นว่าอวิ๋นเป้ากลับมาพร้อมกับฝูงตัวต่ออสูรฝูงใหญ่ก็พากันตกใจ
“เจ้าบ้าไปแล้วหรือ ? เหตุใดจึงพาตัวต่ออสูรมากมายขนาดนี้กลับมาด้วยเล่า ?” เหยียนฟู่ซิงตะโกนเสียงดังลั่น
เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ เริ่มลงมือออกท่าโจมตีแล้ว พากันใช้ท่าฝ่ามือกระแทกออกไปสังหารตัวต่อ
แม้ตัวต่ออสูรเหล่านี้จะตัวเล็ก แต่ก็มีร่างแกร่ง เมื่อฝูงส่วนหนึ่งถูกวิชาปะทะจนหายไป ตัวต่ออสูรตัวอื่น ๆ ก็จะยิ่งบ้าคลั่ง โจมตีรุนแรงมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ
ทุกคนจึงรีบสร้างเกราะป้องกันขึ้นมาทันที
เมื่อมันส่งเหล็กในเข้าปะทะเกราะก็เกิดประกายแสงเรียงซ้อนกัน
หากแต่ก็ยังมีตัวต่ออีกจำนวนมากพุ่งเข้ามาอีก และโปรดทราบไว้ด้วยว่า ตัวต่ออสูรนั้นสามารถใช้เหล็กในเคลือบพิษต่อยออกมาได้นับครั้งไม่ถ้วน ดังนั้นแม้ร่างกายมันจะไม่แข็งแกร่งอะไร แต่เมื่อโจมตีรวมกลุ่มกันเช่นนี้ก็นับว่าเป็นการโจมตีที่ทรงพลังมาก
พริบตาเดียวเหล็กในอาบพิษก็พุ่งเข้ามาราวกับห่าฝน
“เหตุใดจึงยังไม่ลงมือเล่า ?” อวิ๋นเป้าตะโกนถาม
เขาเป็นเหยื่อล่อแมลง นับว่าอยู่ในสภาพน่าสงสารที่สุด แม้จะถูกต่อยไปไม่กี่ครั้ง แต่ก็สามารถทำให้อวิ๋นเป้ารู้สึกทั้งเจ็บทั้งคันไปทั่วร่าง
“ต้องมีการเปรียบเทียบกันหน่อย” ซูเฉินหัวเราะออกมา
หลังจากออกกระบวนท่าทั้งหลายไปยกหนึ่งก็สังหารตัวต่ออสูรไปเพียงไม่กี่สิบตัวเท่านั้น หากแต่เหล็กในที่พวกมันปล่อยออกมากลับทำให้ทุกคนเริ่มออกปากบ่นแล้ว
เป็นตอนนั้นเองที่ซูเฉินหยิบเพลิงอัสนีขึ้นมาก่อนจะกดส่วนที่ยื่นออกมา และโยนมันเข้าไปยังฝูงตัวต่อพร้อมกับตะโกนเสียงดัง “ทุกคนหมอบลง !”
ทุกคนหมอบลงกับพื้นทันที ลูกเหล็กกลม ๆ ถูกโยนเข้าไปท่ามกลางฝูงตัวต่ออย่างแม่นยำ ก่อนจะเกิดระเบิดเสียงดัง
คลื่นจากแรงระเบิดแผ่ออกมาล้อมรอบฝูงตัวต่ออสูร กระแทกพวกมันปลิวไปไกล
เมื่อลูกเหล็กระเบิดออก เศษเหล็กก็กระจายไปไกลนับร้อยลี้รอบทิศ ทำให้ต้นไม้โดยรอบถูกเศษเหล็กตัดผ่านโค่นล้มกันไปตาม ๆ กัน
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองภาพหลังจากเปลวเพลิงสงบลง และเห็นตัวต่ออสูรที่ร่วงกราวลงกับพื้นราวกับเป็นละอองไฟเล็ก ๆ เต็มไปหมด
ฝูงตัวต่ออสูรฝูงใหญ่ที่กระทั่งผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดเจ็ดแปดคนรับมือกันได้ยากลำบากยิ่งกลับถูกลูกเหล็กกลม ๆ ลูกเดียวทำลายล้างเสียสิ้นเลยหรือ ?
ทุกคนพากันหันไปมองซูเฉินอย่างไม่เชื่อสายตาตน
ใครจะไปรู้ว่าเจ้านี่จะมีของที่ทรงพลังอยู่เช่นนี้ด้วย !
“โต้วซาน ข้าต้องการน้ำ ไม่เช่นนั้นทั่วทั้งเขาได้วอดวายกันหมดแน่” ซูเฉินพูดขึ้น
หวังโต้วซานสะบัดมือวูบหนึ่ง หิมะก็เริ่มโปรยลงมา ดับเปลวเพลิงที่ลุกขึ้นโดยรอบ
ทุกคนค่อย ๆ เดินเข้าไปดูที่พื้น ก่อนเห็นว่าเต็มไปด้วยซากตัวต่ออสูรนับไม่ถ้วนนอนแน่นิ่งอยู่ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมาจ้องตากันโดยไม่เอ่ยอะไรออกมา
ซูเฉินพัฒนายาระเบิดขึ้นมาใหม่ จะได้ไม่จำเป็นต้องใช้ของอย่างขวดเหล้าอีก และใช้ลูกเหล็กกลมเป็นตัวระเบิดเสียเอง อีกทั้งยาที่อัดไว้ภายในยังรุนแรงกว่าเดิม กลไกการควบคุมของมันก็แม่นยำกว่าเดิมเช่นกัน
บนลูกกลมมีปุ่มควบคุมเวลาระเบิดที่แตกต่างกันถึง 7 แบบ ซูเฉินสามารถเลือกกดปุ่มอื่น ๆ เพื่อกะระยะเวลาระเบิดของมันได้แทนที่จะต้องมานั่งคำนวณเวลาระเบิดเช่นแต่ก่อน
อีกทั้งเศษเหล็กที่ระเบิดออกไปยังช่วยเพิ่มแรงสังหารของตัวระเบิด ทำให้ความรุนแรงของยาระเบิดเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม
หวังโต้วซานพึมพำ “ของพวกนี้มีราคาแพงกระมัง ไม่งั้นเจ้าคงใช้มันไปกับวานรยักษ์เหล็กกล้าไปแล้ว”
“เพลิงอัสนีไม่เหมาะกับการสู้ตัวต่อตัว จะเหมาะกับศัตรูที่อ่อนแอแต่มีจำนวนมากกว่าเช่นฝูงตัวต่ออสูร หากใช้สู้กับวานรยักษ์เหล็กกล้าก็คงไม่ได้ผลอะไรนัก อีกทั้งของเหล่านี้มีราคา ! แต่ละลูกมีค่าเท่ากับหินพลังต้นกำเนิด 120 ก้อน วานรยักษ์เหล็กกล้ามีค่าเพียงหินพลังต้นกำเนิด 500 ก้อนเท่านั้น หากข้าใช้ไป 10 ลูกแล้วยังสังหารมันไม่ได้ก็นับว่าเสียหินพลังต้นกำเนิดไปโดยใช่เหตุถึง 700 ก้อน จะว่าไป เพลิงอัสนีลูกนี้ใช้เพื่อแสดงผลให้พวกเจ้าดูโดยเฉพาะ ฉะนั้นพวกเจ้าก็จ่ายเงินมาด้วยเล่า”
“……”
ทุกคนถึงกับพูดไม่ออก
เจิ้งเซี่ยคิดว่าอย่างน้อยตนก็ประเมินซูเฉินในตอนแรกไว้ถูกอยู่ข้อหนึ่ง คือเขาเป็นคนหน้าเลือดมากจริง ๆ
ทันใดนั้นตู้ฉิงก็ถามขึ้น “พี่ซูเฉินมีเจ้าลูกนี่เยอะแยะเลยใช่หรือไม่ ?”
ซูเฉินยิ้มตอบ “มีอยู่หลายลูกเลย ทำไมหรือ ? อยากได้กระมัง ? ในเมื่อเป็นสหายกันก็จะลดราคาให้ก็แล้วกัน ลูกละ 100 หินพลังต้นกำเนิดเป็นไง ?”
เจิ้งเซี่ยได้ยินแล้วก็พลันมีความคิดหนึ่ง
เหตุที่ตู้ฉิงถามออกไปแบบนั้น เป็นเพราะถูกซูเฉินหลอกให้ถามกระมัง……?
และที่ว่ามาทั้งหมดนี้ มันก็เพื่อแสดงอานุภาพของเพลิงอัสนีเพื่อขายของกระมัง ?