ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 53 เฝ้ายามในราตรี
บทที่ 53 เฝ้ายามในราตรี
แม้จะสงสัยอยู่ในหัวใจ แต่ทุกคนก็ยอมเปิดกระเป๋าซื้อเพลิงอัสนีของซูเฉินไปใช้
เพราะอย่างไรก็ไม่อาจหาอะไรมาโต้แย้งเรื่องความทรงพลังของมันได้ นับเป็นไพ่ตายไว้เอาชีวิตรอดที่ดีนัก
พริบตาเดียวซูเฉินก็ขายเพลิงอัสนีไปได้ 30 ลูก จริง ๆ แล้วอาจขายได้มากกว่านี้ แต่เงินของเหล่าสหายนั้นหมดเกลี้ยงแล้ว
ด้วยเหตุนี้เด็กหนุ่มจึงได้หินพลังต้นกำเนิด 3000 ก้อนมาด้วยประการฉะนี้
เนื้อวานรตอนนี้ย่างจนสุกแล้ว พวกเขาพากันนั่งล้อมกองไฟ กินเนื้อและกินเหล้าที่นำมา พูดคุยหัวเราะกันสนุกสนาน
แม้ในอดีตอาจจะมีเรื่องไม่เข้าใจหรือไม่ไว้ใจกัน เมื่อได้อยู่ด้วยกันรู้จักกันมากขึ้น ความต่างเล็ก ๆ ทั้งหลายเหล่านั้นก็ค่อย ๆ จางหายไป
มีเพียงคน 2 คนที่ยังดูจะเข้ากันไม่ได้ นั่นคือตู้ฉิงกับอวิ๋นเป้า
เจ้าอวิ๋นเป้าบัดซบนั่นไม่รู้จักทำตัวมีมารยาทเสียบ้างเลย ส่งผลให้ตู้ฉิงกลอกตาใส่อีกฝ่ายไม่หยุด
เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว
ทุกคนวางแผนจะพักผ่อนกันที่นี่
เมื่อยามที่ทุกคนคิดจะก้าวเท้าเข้าเพิ่งที่สร้างไว้นั่นเอง อวิ๋นเป้าก็เอ่ยขึ้น “ข้าว่าควรมีพวกเราคนหนึ่งเฝ้ายามไว้”
“เฝ้ายาม ?” เจิ้งเซี่ยชะงักไป “จำเป็นด้วยหรือ ? เรามีแผ่นเตือนภัยไม่ใช่หรือไร ?”
แผ่นเตือนภัยเป็นแผ่นรูปแบบต้นกำเนิดที่เอาไว้ใช้แจ้งเตือนชนิดหนึ่ง มันสามารถจับสัมผัสความผันผวนของพลังต้นกำเนิดที่อยู่โดยรอบได้
หากมีสิ่งมีชีวิตทรงพลังเคลื่อนที่เข้ามาใกล้ แผ่นเตือนภัยก็จะร้องเสียงดังขึ้น นับเป็นของที่จำเป็นต้องมีติดตัวยามศิษย์สถาบันมังกรซ่อนเร้นออกเดินทางเลยทีเดียว
ยาขับไล่สัตว์อสูรเองก็สามารถไล่อสูรร้ายไปได้ แต่มันมีราคาแพงมาก ดังนั้นใช้ไปก็ถือว่าเสียเงินเปล่า อีกทั้งมันยังมีผลแค่กับพวกอสูร ไม่รวมถึงไล่มนุษย์ได้
อวิ๋นเป้าเอ่ยเสียงเรียบ “สิ่งมีชีวิตบางอย่างก็ปกปิดพลังต้นเกิดในร่างเพื่อเลี่ยงไม่ให้แผ่นเตือนภัยทำงานได้”
เจิ้งเซี่ยจึงครุ่นคิดดู
เขาเต็มใจฟังอวิ๋นเป้า แต่คนที่ต้องเฝ้ายามข้ามคืนจะเป็นใครเล่า ? คงไม่มีใครอยากรับหน้าที่นี้นักหรอก
แม้เจิ้งเซี่ยจะเป็นคนมั่นคงหนักแน่นมากคนหนึ่ง แต่บางครั้งก็ขาดความเด็ดขาด เขาไม่ต้องการล่วงเกินคนอื่น ๆ สุดท้ายเพียงพูดตะกุกตะกักออกมา “อสูรร้ายที่ทำเช่นนั้นได้คงไม่ธรรมดา เราคงไม่โชคร้ายขนาดนั้นกระมัง”
อวิ๋นเป้าพลันคลี่ยิ้มเย้ยขึ้นมา
เป็นรอยยิ้มที่เย้ยความคิดของเจิ้งเซี่ย ฝากชีวิตและความปลอดภัยตนไว้กับโชคเช่นนั้น
เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ สัมผัสได้ถึงความนัยเบื้องหลังรอยยิ้มได้
ตู้ฉิงเอ่ยเสียงขุ่น “เจ้านี่มีเรื่องให้พูดตลอดเลยนะ ? นี่เจ้าเป็น ‘ทหารผ่านศึก’ แห่งเขาอินทรีโรยประเภทไหนกัน ถึงได้กลัวไปทุกเรื่องเช่นนี้ ?”
อวิ๋นเป้าตอบเสียงไร้อารมณ์ “ผู้ชำนาญแท้จริงย่อมไม่เกรงกลัว แต่จะกระทำตัวอย่างสุขุม ทุกก้าวย่างระมัดระวังภัย”
ทุกคนพลันรู้สึกว่าใจตนสะท้านไป
แต่ละคนอยากถามขึ้นอีก แต่อวิ๋นเป้าดูจะไม่อยากพูดให้มากความ
“หากเลือกยากนักข้าทำเอง ข้าเป็นคนคิด ดังนั้นข้าจะจัดการเองก็แล้วกัน” อวิ๋นเป้าพูดขึ้น
เจิ้งเซี่ยรู้สึกว่าเป็นเช่นนี้ก็นับว่าดีนัก
ดังนั้นเรื่องจึงจบลงเช่นนี้
ตอนนี้ดึกมากแล้ว ทุกคนกลับไปพักผ่อนยังเพิงใหญ่กันหมด
อวิ๋นเป้านั่งอยู่บนยอดไม้เพียงลำพัง สายตาทอดมองไปยังที่ไกล
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไร อวิ๋นเป้าก็ได้ยินเสียงฝีเท้าเสียงเบามาจากด้านหลัง
“ใคร ?” อวิ๋นเป้าถามเสียงต่ำ
“ข้าเอง”
คือซูเฉิน
จากนั้นเขาก็เหินร่างขึ้นมาบนต้นไม้แล้วนั่งลงข้าง ๆ อวิ๋นเป้า
“เจ้ามาทำไม ?” อวิ๋นเป้าเหลือบมองอีกฝ่าย
“ข้านอนไม่หลับก็เลยออกมาคุยกับเจ้า” ซูเฉินตอบ
หลังทะลวงสู่ด่านก่อเกิดลมปราณแล้ว ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดก็จะใช้เวลานอนน้อยลงมาก และการนอนหลับก็นับเป็นเพียงการฝึกบ่มเพาะพลังอย่างหนึ่งเท่านั้น วิชาโบราณอาร์คาน่าเรียกมันว่าการทำสมาธิ ในขณะที่ทักษะต้นกำเนิดร่วมสมัยเรียกมันว่าทักษะการหายใจ
ซูเฉินสามารถมองเห็นพลังต้นกำเนิดได้ ดังนั้นจึงสามารถดูดซับพลังที่กระจายอยู่ได้โดยตรง ซึ่งก็นับว่าได้ผลดีกว่าการทำสมาธิหรือฝึกทักษะการหายใจ ดังนั้นเขาจึงไม่ใส่ใจเวลาพักผ่อนเท่าไร
“อยากคุยเรื่องอะไร ?”
“เรื่องอะไรก็ได้ บทสนทนามันก็ไปของมันได้เรื่อย ๆ นั่นล่ะ ไม่จำเป็นต้องเจาะจงหัวข้อใดหัวข้อหนึ่งก็ได้” ซูเฉินเอนตัวพิงลำต้นไม้ด้านหลัง ก่อนปรับท่าให้นั่งสบาย
อวิ๋นเป้าคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อยเอ่ย “มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ทำอย่างไรข้าก็ไม่อาจเข้าใจ”
“เจ้ากำลังคิดว่า แค่กำลังของพวกเราและเจ้าที่คุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมบนเขาอินทรีโรยดีก็คงตั้งกลุ่มแล้วไปกันเองได้กระมัง ? เหตุใดต้องมาเข้ากลุ่มพวกเขาด้วย คิดเช่นนี้ใช่หรือไม่ ?”
อวิ๋นเป้าพยักหน้า “ข้าคิดมาระยะหนึ่งแล้ว แต่ก็คิดไม่ออกเลย”
“เพราะข้าอยากรู้จักคนเพิ่ม” คำของซูเฉินทำเอาอวิ๋นเป้าประหลาดใจ “ข้าอยู่สถาบันมังกรซ่อนเร้นมา 4 ปี ทุกวันหมดไปกับการร่ำเรียนและการทดลองวิจัยต่าง ๆ ไม่เคยมีโอกาสได้ทำความคุ้นเคยกับสหายอื่นมาก่อน รู้จักคนเพิ่มหน่อยก็เป็นเรื่องดีไม่ใช่หรือ ?”
“แต่เป็นพวกเขาเนี่ยหรือ ?” อวิ๋นเป้าขมวดคิ้ว
“เจ้าคิดสร้างไมตรีกับคนโดยดูจากคุณค่าของอีกฝ่ายตั้วแต่เมื่อไหร่กัน ?” ซูเฉินตอกกลับจนอวิ๋นเป้าชะงักไป
เด็กหนุ่มพูดต่อ “พวกเขาไม่ใช่คนเลว อย่างมากก็ขาดประสบการณ์ไปสักหน่อยเท่านั้น อีกทั้งก็ไม่ใช่ว่าสหายกันต้องพบกันด้วยดีตั้งแต่ต้นไม่ใช่หรือไร หากไม่เปิดโอกาสให้ตนได้พูดคุยกับคนอื่นบ้าง เช่นนั้นเจ้าจะสร้างสหายได้อย่างไรกัน ?”
อวิ๋นเป้าเหลือบมองเขาด้วยสายตาไม่วางใจ
“อะไร ? ไม่เชื่อหรือ ?” ซูเฉินถามขึ้น
“ข้าคิดว่าเหตุผลข้อนี้ของเจ้ามันดูฝืนเกินไปหน่อย ไม่เหมือนกับจะเป็นคำที่เจ้าพูดออกมาเลย”
“เจ้าหมายความเช่นนี้นี่เอง” ซูเฉินเงยหน้าขึ้นมองฟ้า เงียบไปครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น “หากข้าบอกเจ้าว่าเป็นเพราะข้าอยากขายสิ่งที่ข้าประดิษฐ์คิดค้นขึ้นให้ได้ราคาดี ดังนั้นจึงต้องการคนกระจายข่าวเล่า ? เจ้าจะว่าอย่างไร ?”
“เจ้าหมายถึงพวกยาแล้วก็เพลิงอัสนีหรือ ?” อวิ๋นเป้าเริ่มเข้าใจ “ฟังดูมีเหตุผลกว่ามาก เหมาะกับนิสัยเจ้ากว่าเยอะ”
ซูเฉินถอนหายใจ “จริง ๆ แล้วข้าเป็นคนจิตใจดี เห็นแก่ผู้อื่นมากเลยนะ เหตุใดเจ้าจึงมองข้าว่าเป็นพ่อค้าเจ้าเล่ห์เจ้ากล คิดคำนวณไปเสียทุกอย่างเช่นนั้นเล่า ?”
“เจ้ากล้าเรียกตนเองว่าเป็นคนจิตใจดีเห็นแก่ผู้อื่นมากได้อย่างไร ในเมื่อเจ้าขายเพลิงอัสนีที่มีมูลค่าน้อยกว่าหินพลังต้นกำเนิด 10 ก้อน ในราคาหินพลังต้นกำเนิด 100 ก้อน ? ข้าไม่มีทางเชื่อคำเจ้าหรอก !”
“คราวนี้ข้ารู้สึกเหมือนเจ้ากล่าวหาข้าเสียแล้วสิ เพราะอย่างไรข้าก็หมายจะมอบตำราเปิดพลังไคฮวงให้กับเผ่ามนุษย์ทั้งเผ่าเลยนะ” ซูเฉินรู้สึกเหมือนถูกกล่าวหา
นอกจากฉือไคฮวงแล้วก็มีเพียงกังเหยียนและอวิ๋นเป้าที่รู้ว่าเขาค้นคว้าตำราเปิดพลังไคฮวงจนสำเร็จเรียบร้อยแล้ว
เมื่อได้ยินน้ำเสียงเจ็บช้ำใจอย่างแสนสาหัสแบบหยอก ๆ ของซูเฉินแล้ว อวิ๋นเป้าก็หัวเราะออกมาอย่างเห็นได้ยาก “ดูจากวิธีที่เจ้าใช้เผยแพร่ข้อมูลแล้ว ข้าคิดว่าข้ามองประเมินเจ้าไว้ไม่ผิดจริง ๆ”
“นี่ เรื่องนั้นมัน ก็ข้าใช้เงินไปมากกว่าจะทำสำเร็จ ข้าก็สมควรจะหากำไรมาคืนทุนหน่อยสิ” เด็กหนุ่มหัวเราะตอบ “ก็เพราะหากมอบให้เปล่า ผู้คนก็จะไม่เห็นคุณค่า ทั้งยังจะร้องขอมากกว่าเดิมเสียอีก อีกทั้งราคาที่ข้าตั้งยังต่ำมาก นี่ข้านับว่าใจดีมากแล้วนะ !”
อวิ๋นเป้าคลี่ยิ้ม “เจ้านี่ช่างจิตใจสูงส่งจริง ๆ แต่อาจารย์อาจจะโกรธก็ได้”
ซูเฉินเงยหน้าหัวเราะ คนทั้งสองจบบทสนทนาระหว่างกันที่ตรงนั้น
————————————
แดนฝัน
ภายในโถงแห่งความรู้ ที่แท่นประกาศต่างมีรายการข้อมูลใหม่ขึ้นมาประกาศให้ทุกคนที่อยู่ในแดนได้ทราบทั่วถึงกัน
“ขายของ : วิธีทะลวงสู่ด่านกลั่นโลหิตโดยไร้สายเลือดฉบับสมบูรณ์ จ่ายเพื่ออ่าน ราคาเท่ากับ 100 ละอองฝัน”
“ผู้ขาย: อวิ๋นฝูปา”
“ผู้ขายสร้างวิธีนี้ขึ้นมาเพียงผู้เดียว โดยได้รับการรับรองจากเจ้าแห่งแดนฝันแล้ว หากมีการช่วงชิงข้อมูลออกขาย ผู้นั้นจะถูกตรวจสอบอย่างถี่ถ้วน”