ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 58 แผนการ
บทที่ 58 แผนการ
สุดท้าย กลุ่มพิสุทธิ์ก็เลือกรั้งอยู่ต่อ
ชีวิตคนย่อมเต็มไปด้วยความท้าทาย หากหนีหางหดเช่นนั้นยามถูกอีกฝ่ายขู่ไม่กี่คำก็นับว่าอ่อนแอเกินควรแล้ว
หนุ่มสาวจิตใจหุนหันอารมณ์ร้อน แม้จะรู้ว่าตนแข็งแกร่งไม่พอ แต่ก็ยังคิดจะรับมือกับอีกฝ่ายโดยตรง
หลังจากแลกเปลี่ยนของที่ศิลาส่องกลับจนหมดแล้ว พวกเขาก็กลับไปยังป่า
ยามราตรีมาถึงในที่สุด พวกเขาเริ่มก่อกองไฟแล้วทำอาหารเย็นกิน
หลังจากกินอาหารแล้ว แต่ละคนก็ไปหาสถานที่พักผ่อนของตนเอง คุยกับคนอื่น ๆ หรือทำงานอดิเรกของตนไป
หวังโต้วซานยามว่างชอบจับปลา เจ้าอ้วนจะนั่งตกปลาอยู่ริมน้ำ แต่ยามปลากินเบ็ดเขาก็มักหลับไปแล้ว
เหยียนฟู่ซิงและซุนจี้จู่ชอบเล่นหมากรุกด้วยกัน เหยียนฟู่ซิงฝีมือย่ำแย่ และมารยาทในการเล่นก็ยิ่งแย่กว่า คนส่วนมากเล่นตามกฎ หากขยับหมากตัวใดแล้วก็นับว่าสิ้นสุดตา แต่เขาชอบขอเปลี่ยนหมาก ไม่ใช่เพียงครั้งก่อนหน้า แต่เป็นในหลายครั้งก่อนหน้าด้วย ขอเปลี่ยนจนกระทั่งอาจกล่าวได้ว่าหมากของเขาย้อนเวลาได้เลย ซุนจี้จู่นั้นชอบดูอีกฝ่ายเปลี่ยนการเดินหมาก ทุกครั้งก็จะคอยชี้แนะ “เจ้าจะย้อนเวลาเท่าไรก็แล้วแต่ ข้าชนะเจ้าได้ทุกครั้งอยู่แล้ว”
งานอดิเรกของกังเหยียนออกจะแปลกไปสักหน่อย ชอบถูหลังกับแง่งไม้ ภายในครึ่งวันแง่งไม้นั้นก็จะถูกถูจนเรียบ ดูท่าจะทำเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้แผ่นหลัง แต่หากมองจากที่ไกลจะเห็นว่าการกระทำเช่นนี้เหมือนหมีถูหลังกับต้นไม้มากกว่า
ตู้ฉิงชอบอ่านหนังสือ ส่วนมากเป็นนิยายรักทั้งหลาย น้ำตาหญิงสาวหยาดหยดโดยง่าย อ่านแล้วจู่ ๆ ก็จะร้องไห้ออกมาโดยไร้เหตุผล
อวิ๋นเป้าชอบนั่งมองที่ไกลอยู่บนต้นไม้ เหมือนกับคอยเฝ้ายามอยู่ตลอด ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ที่รู้คือเขานั่งอยู่ตรงนั้นเป็นยามโดยไม่ขยับกายเลยแม้แต่นิด
เจิ้งเซี่ยชอบฝึกท่าฝ่ามือยามว่าง ฝ่ามือเขาสะบัดผ่านอากาศ ยามออกกระบวนท่าก็ออกเสียงดังออกมาด้วย คนที่ไม่รู้มาได้ยินเข้าคงคิดว่าเป็นเสียงเหมืองถล่ม
ซูเฉินชอบทดลองยา เขานำโต๊ะทดลองใส่แหวนกักเก็บมาด้วย ดังนั้นแม้กลางป่าเขาก็ยังปรุงยาได้ ไม่เช่นนั้นก็คงไม่มียามาขายมากมายถึงปานนั้น แต่เพราะเขามักทำการทดลองยาที่ยังไม่ชำนาญนัก คนอื่น ๆ จึงเห็นเขาล้มเหลวมากกว่าสำเร็จ สถานที่โดยรอบเด็กหนุ่มจึงเต็มไปด้วยเสียงขวดแก้วแตกกระจายยามยาระเบิด
หลังจากอยู่ด้วยกันมาหลายวันเข้า ทุกคนก็เริ่มชินชากับภาพซูเฉินที่ผมยุ่งเพราะถูกยาระเบิดใส่แล้ว
แต่วันนี้เรื่องราวไม่เป็นเช่นนั้น
เหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้น ซูเฉินไม่ได้ปรุงยาเช่นเดิม แต่ถือผลึกเพลิงไว้ หมุนมันไปเรื่อย ๆ ขณะใช้มีดตัดผิวมัน
เขากำลังแกะสลัก
มีดเล่มเล็กแกะเข้าไปในเนื้อผลึกครั้งแล้วครั้งเล่า ทิ้งรอยลึกไว้ในเนื้อผลึก หลายครั้งที่ผลึกปล่อยไฟออกมา ยามผลึกเพลิงได้รับความเสียหายมันก็จะปล่อยพลังออกมาด้วย
หากแต่มันปล่อยพลังเพลิงออกมาได้เพียงนิดก่อนจะหยุดลง มือที่ถือผลึกเพลิงไว้คอยส่งพลังต้นกำเนิดเติมเข้าไปเรื่อย สกัดไม่ให้พลังจากผลึกเพลิงเล็ดลอดออกมา และในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็ใช้พลังต้นกำเนิดรักษารอยแผลบนผลึกเพลิงเช่นกัน
ผิวที่มีแต่รอยมีดตะปุ่มตะป่ำ ไม่นานก็กลายเป็นเรียบลื่น คล้ายกับเป็นมาแต่กำเนิด
ราวกับว่าซูเฉินกำลังทำการแสดงบางอย่างอยู่ ทุกครั้งที่ลงมีด ผิวผลึกเพลิงก็จะปล่อยไฟสว่างจ้าออกมา สะเก็ดไฟกระเด็นออกมาราวกับดาวตก
ตู้ฉิงถูกประกายไฟสวยงามเหล่านั้นดึงความสนใจ เมื่อเดินเข้าไปดูซูเฉินก็ให้รู้สึกแปลกใจ “เจ้าทำอะไรอยู่ ?”
ซูเฉินตอบ “กำลังแกะสลัก”
“เจ้าใช้ผลึกเพลิงแกะสลักเป็นบางอย่างอยู่หรือ ?” ตู้ฉิงเห็นซูเฉินเอาของล้ำค่าของมาทำเช่นนี้ก็ชะงักไป
แม้ซูเฉินจะใช้พลังต้นกำเนิดรักษารอยมีดบนผลึกเพลิง แต่ทำเช่นนี้ก็จะทำให้พลังในผลึกเพลิงลดลง
หากคิดจะแกะสลักของสวยงามออกมาเท่านั้นก็นับว่าซูเฉินใช้ของมีมูลค่าเกินไปหน่อยกระมัง
“จะว่าเช่นนั้นก็ได้” ซูเฉินตอบโดยไม่เงยหน้า
“แล้วเจ้าจะแกะเป็นอะไรหรือ ?” ตู้ฉิงถามขึ้น
ซูเฉินหัวเราะ “ดูต่อไปแล้วเจ้าจะรู้เอง”
ท่ามีดของเขารวดเร็วมาก ดูท่าคงจะเคยฝึกฝนมาก่อน เมื่อเปลวเพลิงพวยพุ่งขึ้นครั้งแล้วครั้งเล่า ไม่นานเหยี่ยวสีแดงก็ปรากฏในมือซูเฉิน
“เหยี่ยวหรือ ?” ตู้ฉิงงึมงำออกมา
“เรียกว่าผลึกเหยี่ยวเพลิงจะเหมาะกว่า” ซูเฉินหัวเราะอีก “ข้าฝึกแกะอยู่ 2 เดือนกว่าจะทำออกมาได้ วิชามีดข้าไม่เก่งนัก แต่หากทำงานสำเร็จก็นับว่าใช้ได้แล้ว”
“เจ้าจะแกะมันไว้ทำอะไรหรือ ?”
“เป็นที่ระลึก” ซูเฉินหัวเราะ
“หึ !” ตู้ฉิงกลอกตาใส่เขา
แม้จะเพิ่งรู้จักกันไม่นาน นางก็รู้นิสัยซูเฉินดี จากนิสัยเขาแล้ว ไม่ใช่คนที่ทำอะไรไร้เหตุผลเป็นแน่
แต่ในเมื่อเขาไม่พูดอะไร นางก็ขี้เกียจจะถาม คนเราก็มีความลับบ้าง การไม่คิดล่วงรู้ความลับเหล่านั้นของคนอื่น ๆ คือกฎขึ้นพื้นฐานของผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิด
ในช่วงกลางดึกนั่นเอง
ซูเฉินก็แกะสลักสำเร็จ
เขาเก็บผลึกเหยี่ยวเพลิงแล้วเข้าไปพักผ่อน
ตราแดนฝันที่หลังมือเขาเริ่มหมุนอีกครั้ง นำพาจิตของซูเฉินเข้าสู่แดนฝัน
เด็กหนุ่มยังคงอยู่ในปราสาทแดนฝันเช่นเดิม ก่อนที่จะค่อย ๆ เดินทอดน่องไปตามทางแล้วมองภาพโดยรอบไปด้วย
“อวิ๋นฝูปา !”
ภูติแดนฝันลู่ลู่ปรากฏขึ้นตรงหน้าซูเฉินอีกครา
ซูเฉินเหลือบมองนางก่อนเดินต่อ “มีอะไรหรือ ?”
“จะมีอะไรได้อีก ? ก็เรื่องยกระดับสิทธิ์น่ะสิ !” ภูติแดนฝันกอดอกมองซูเฉิน “ผ่านไม่นานขนาดนี้ยังตัดสินใจไม่ได้อีกหรือ ?”
“ปัญหาคือข้ามีละอองฝันไม่พอยกระดับสิทธิ์” ซูเฉินยักไหล่ตน
ระดับสิทธิ์แดนฝันมีทั้งหมด 3 ระดับ แต่ละระดับมี 9 ขั้น แค่ยกระดับขึ้นหนึ่งขั้นก็ใช้ละอองฝันมากมายแล้ว ยิ่งขั้นสูงก็ยิ่งต้องใช้มากขึ้นเรื่อย ๆ
ซูเฉินไม่คิดจะทุ่มเงินมากมายไปกับที่นี่
“มีละอองฝันไม่พอก็ช่างเถอะ ใช้หินพลังต้นกำเนิดซื้อเอาก็ได้ ไม่งั้นก็ไปทำภารกิจเสีย ยังมีทางหาละอองฝันอีกตั้งมาก” ภูติแดนฝันนั้นเป็นเหมือนปีศาจลวงตัวน้อยที่พยายามล่อลวงซูเฉิน
“ข้าไม่มีเวลา” ซูเฉินปัดนางออกไป
“นี่ อย่าลืมสิว่าราชันแห่งฝันระดับสูงกำลังควานหาตัวเจ้าอยู่ หากไม่รีบยกระดับสิทธิ์ก็จะถูกพบตัวนะ !” ภูติแดนฝันไม่ยิ้มอีกต่อไป นางพยายามใช้น้ำเสียงข่มขู่เขาด้วยซ้ำ
“ข้ารู้แล้ว ดังนั้นข้าจะขอปลดประกาศที่ส่งออกไป” ซูเฉินตอบนาง
“ว่าไงนะ ? ปลดเหรอ ?” ภูติแดนฝันเกือบร่วงลงพื้นด้วยความตกใจ
“ถูกต้อง ข้าจะปลด” ซูเฉินว่าแล้วก็มุ่งหน้าไปยังโถงแห่งความรู้ “ปลดแล้วเรื่องก็จะจบ ราชันแห่งฝันระดับสูงไม่อาจควานหาตัวตนข้าได้อีก แล้วก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ตัวตนข้าอีก”
“แต่เจ้าไม่จำเป็นต้องนั้นเช่นนั้นเลย” ภูติแดนฝันลู่ลู่ร้องตะโกน “เพราะหากเจ้ายกระดับสิทธิ์ขึ้นเขาก็ควานหาตัวเจ้าไม่พบอยู่ดี แต่หากเจ้าปลดประกาศออก เช่นนั้นเขาก็ไม่จำเป็นต้อง……”
ภูติแดนฝันหุบปากฉับในพลัน
ซูเฉินช่วยต่อประโยคให้นาง “เขาก็ไม่จำเป็นต้องจ่ายละอองฝันเพื่อซ่อนประกาศข้าอีก เจ้าก็จะได้เงินน้อยลง ข้าพูดถูกหรือไม่ ?”
“นี่ เรื่องนี้มัน……” ภูติแดนฝันหัวเราะเก้อออกมา
เห็นได้ชัดว่าซูเฉินซัดเข้าตรงจุดเลยทีเดียว
ซูเฉินเอยต่อ “เป็นแผนที่ไม่เลว อย่างแรก เจ้าก็เอาประกาศของข้าไปแจ้งให้ราชันแห่งฝันระดับสูงหลายคนทราบ ลวงให้พวกเขาใช้ละอองฝันเพื่อซ่อนประกาศของข้า จากนั้นก็เร่งเร้าให้อีกฝ่ายตามหาตัวข้าโดยไม่ยอมบอกไปตามตรง จากนั้นค่อยมายุให้ข้ายกระดับสิทธิ์ หลอกให้ข้ากับเขาปะทะกัน มองมุมนี้เจ้าได้ประโยชน์ตั้งมาก…… เจ้าแดนฝันทำการค้าขายเช่นนี้เองหรือ ?”
ทันใดนั้นเอง เสียงหัวเราะที่ดังกังวานคล้ายเสียงระฆังก็ดังขึ้น “ข้าบอกแล้วว่าอย่าดูถูกเจ้าหนุ่มนี่”