ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 59 เมิ่งหลาน
บทที่ 59 เมิ่งหลาน
เมื่อเสียงหัวเราะดังขึ้น ซูเฉินพลันรู้สึกว่าสายตาพร่ามัว พื้นที่โดยรอบหมุนเปลี่ยนโดยฉับพลัน
เขายืนอยู่บนถนนแท้ ๆ แต่พริบตาต่อมากลับมาอยู่ในห้องโถงใหญ่แห่งหนึ่งในปราสาทแล้ว
เมื่อมองหน้าต่างแล้ว ดูท่าเขาจะยังอยู่ในปราสาทแดนฝัน แต่ไม่รู้ว่าเมื่อไรที่ถูกเคลื่อนย้ายมายังหอที่สูงที่สุดในปราสาทแดนฝันเช่นนี้
แต่ซูเฉินก็ไม่ตื่นตกใจแต่อย่างไร
เขาอยู่ในแดนฝัน จะเกิดอะไรขึ้นก็ไม่ทำให้เขาตกใจได้แล้ว
เขาหันกลับไป พบว่าบนที่สูงยังมีหญิงสาวคนหนึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้ทรงสี่เหลี่ยม ดอกไม้สีเขียวพันเกี่ยวอยู่โดยรอบ นางสวมชุดกระโปรงยาวลากพื้นสีขาว รองเท้าส้นสูงแก้วสีขาวโผล่ออกมาจากกระโปรงยาว บนศีรษะมีมงกุฎสีสว่างกระจ่างตา ฝังหินมีค่าไว้นับไม่ถ้วน ผมสีม่วงอ่อนยาวสลวยถึงเอว ใบหน้าเล็กงดงาม ที่กลางหน้าผากมีรอยสลักรูปหยดน้ำสีจางเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวจางหาย
อีกทั้งดวงตานางก็มีขนาดใหญ่มาก ลูกตาดำค่อนไปทางสีม่วง หูแหลมสองข้างยังมีต่างหูสีม่วงทองห้อยอยู่ ให้อารมณ์หญิงสาวจากเทพนิยายที่กำลังอยู่ในวัยงามสะพรั่ง
หญิงสาวคล้ายหลุดออกมาจากนิทานยังมีปีกคู่หนึ่งที่กลางหลัง แต่เป็นปีกดูโปร่งแสง นอกจากนั้นแล้วก็ดูเหมือนมนุษย์ธรรมดาทุกประการ
หญิงสาวเอ่ยขึ้น “สวัสดี ข้ามีนามว่าเมิ่งหลาน เป็นธิดาของเจ้าแดนฝัน และยังเป็นเจ้าของปราสาทแดนฝันแห่งนี้ด้วย”
ซูเฉินมองเมิ่งหลาน “ธิดาของเจ้าแดนฝันหรือ ? นี่ข้ามีโชคถึงขั้นได้พบองค์หญิงเลยหรือ ?”
“ถูกต้อง แต่เจ้าไม่ต้องแปลกใจไป ปราสาทแดนฝันทุกแห่งก็มีธิดาของเจ้าแดนฝันเป็นผู้ดูแลทั้งสิ้น”
“ทุกแห่งหรือ ? หากข้าจำไม่ผิด ปราสาทแดนฝันแห่งนี้คือหมายเลข 124 ใช่หรือไม่ ?” ซูเฉินเอ่ยเสียงตกตะลึง
“ใช้แล้ว ข้าคือธิดาแห่งเจ้าแดนฝันลำดับที่ 124 ข้ายังมีน้อง ๆ อีก 426 คน”
“……” ซูเฉินเงียบไป “เจ้าแดนฝันนี่ลูกมากจริง”
เมิ่งหลานหัวเราะ “เพราะเจ้าไม่เข้าใจสิ่งมีชีวิตแดนฝันต่างหาก สิ่งมีชีวิตแดนฝันไม่ได้สืบพันธุ์กันเช่นมนุษย์อย่างเจ้าที่ต้องใช้สองเพศในการให้กำเนิด”
“เราก็มีวิธีของเราเช่นกัน เจ้าแดนฝันจะสร้างเมล็ดฝันขึ้นมา โดยเมล็ดฝันเป็นต้นกำเนิดของร่างปัจจุบันของพวกเรา เมล็ดฝันดูดซับพลังจิตเข้าไป ทำให้พวกเราสามารถใช้ละอองฝันในการหล่อเลี้ยงร่างได้ หลังจากนั้นพวกเราก็จะนับว่าเป็นสิ่งมีชีวิตแดนฝันโดยสมบูรณ์”
“สำหรับสิ่งมีชีวิตแดนฝันแล้ว ความรักระหว่างพ่อลูกไม่สำคัญ เป็นความสัมพันธ์คล้ายต้นไม้กับเมล็ดพันธุ์เสียมากกว่า พวกเราต่างใช้ชีวิตอยู่ในแดนฝันที่สร้างขึ้นมาโดยเจ้าแห่งฝัน ช่วยกันสร้างข่ายฝันขึ้นด้วยกัน”
“เป็นเช่นนี้เอง” ซูเฉินพยักหน้าเข้าใจ “เจ้าแดนฝันก็เหมือนต้มไม้โบราณ พวกท่านก็เหมือนกับเมล็ดที่เขาหว่านลงมา จากนั้นพวกท่านก็ช่วยกันสร้างผืนป่าขนาดใหญ่ขึ้น”
“ถูกต้อง !” เมิ่งหลานปรบมือพร้อมหัวเราะ “เจ้าสติปัญญาเฉียบแหลมไม่น้อย อธิบายครั้งเดียวก็เข้าใจ”
ซูเฉินพยักหน้า “เดิมทีข้าฉงนนักว่าเหตุใดเจ้าแดนฝันจึงคิดดึงตัวข้า ผู้เชี่ยวชาญพลังต้นกำเนิดไร้ชื่อ เข้ามาในแผนการของเขาด้วย แต่เมื่อท่านมาปรากฏตัวเช่นนี้ข้าจึงเข้าใจ คนที่คิดใช้ข้าไม่ใช่เจ้าแดนฝัน แต่เป็นท่าน ผู้เป็นเจ้าของปราสาทแดนฝันต่างหาก”
“จะว่าเช่นนั้นก็ไม่ได้นะ” เมิ่งหลานพลันเอ่ย “เจ้าแดนฝันสร้างสถานที่และกฎเกณฑ์ขึ้นมา ดังนั้นจึงไม่มีใครสามารถทำลายกฎนั้นลงได้ ข้าไม่เคยคิดใช้ประโยชน์จากเจ้า ข้าเพียงจัดการไปตามอำนาจที่ข้ามีภายใต้กฎเกณฑ์เท่านั้น”
“ท่านจะบอกว่าท่านไม่เคยยุยงให้ใครมาปิดบังประกาศข้างั้นหรือ ?”
“แน่นอนว่าไม่ใช่” เมิ่งหลานเอ่ยตามตรง “เจ้าอาจคิดว่าข้าหมายจะฉวยโอกาสยามพวกเจ้าสองฝ่ายมีปัญหากัน แต่เจ้าคิดหรือว่าข้าจะไม่รู้ว่าวิชานั้นมีผลต่อเผ่ามนุษย์มากมายถึงเพียงไหน ? เจ้าลองคิดดู หากวิชานี้เผยออกไป จะมีคนเท่าไหร่ที่อยากซื้อ ?”
“แม้จะขายเพียง 100 ละอองฝัน แต่ต้องขายได้ละอองฝันมานับล้านแน่ แค่มีคนซื้อไปสักหมื่นก็ได้แล้ว ! ข้ามีเหตุผลอะไรต้องยุให้คนอื่นซ่อนประกาศของเจ้าเพื่อเอาเงินค่าซ่อนประกาศเล็กน้อยด้วย ? เช่นนั้นมุมมองไม่คับแคบไปหน่อยหรือ ? อีกทั้งวิชาประเภทนี้ มันก็ไม่แปลกที่จะมีลูกค้านับล้านคิดซื้อหา แล้วเจ้ายังส่งประกาศออกมาจากปราสาทแดนฝันของข้าด้วยแล้ว ข้าก็ต้องคอยดูแลการค้าขายครั้งนี้ เพื่อให้ตัวข้าเองนั้นได้รับส่วนแบ่ง !”
ซูเฉินค่อนข้างตกใจ “แดนฝันยังต้องทำส่วนแบ่งให้ได้ตามเป้าหมายอีกหรือ ?”
“ถูกต้องแล้ว ! แดนฝันสนับสนุนทุกสิ่งมีชีวิตในแดนฝัน นับเป็นรากฐานแห่งการมีอยู่ของเรา เจ้าปราสาทแดนฝันทุกคนต้องพยายามหาละอองฝันให้ได้มากที่สุดเพื่อใช้ประคองสังคมในแดนนี้ ! ต้นไม้ทุกต้นสมควรจะมีความหวังว่าสักวันหนึ่งจะสร้างป่าใหญ่ได้ !”
ได้ยินคำเหล่านั้นแล้ว ซูเฉินก็ถอนใจ “ท่านจึงหมายความว่าท่านสนับสนุนให้ข้าเผยแพร่ประกาศนั่นสู่สาธารณะสินะ ?”
“ใช่แล้ว !” เมิ่งหลานว่า “ดังนั้นข้าจึงกระตุ้นให้ลู่ลู่คอยเกลี้ยกล่อมให้เจ้ายกระดับสิทธิ์ตนเอง ทำเช่นนั้นแล้วนอกจากจะปกป้องตัวเจ้าเองแล้วยังสร้างแรงกดดันให้อีกฝ่ายได้ด้วย หากเจ้าได้ระดับสิทธิ์สูงขึ้น อีกฝ่ายก็ไม่อาจซ่อนประกาศเจ้าได้อีก พอถึงตอนนั้นแล้วตำราเปิดพลังไคฮวงก็จะถูกเผยแพร่ออกไปไร้ซึ่งสิ่งใดกีดขวาง”
“ดูท่าข้าจะเข้าใจความหวังดีของท่านผิดไป” ซูเฉินเอ่ย
“ไม่ต้องห่วง” เมิ่งหลานหัวเราะคิก
“แต่เกรงว่าถึงจะเป็นเช่นนั้นข้าก็ยังอยากปลดประกาศลงอยู่ดี” ซูเฉินเปลี่ยนน้ำเสียงในพลัน
“เจ้าว่าอะไรนะ ?” เมิ่งหลานแทบพูดไม่ออก
นางนำซูเฉินมาคุยตะล่อมอยู่นานเพื่อให้ล้มเลิกความคิดนั้นเสีย แต่ซูเฉินกลับไม่ไขว้เขวเลย
“เพราะเหตุใด ?” เมิ่งหลานเริ่มโกรธเคืองน้อย ๆ
“เพราะข้ากลัว” ซูเฉินยิ้มตอบ “ในเมื่ออีกฝ่ายสืบหาตัวตนข้าอยู่ วันหนึ่งต้องพบแน่ เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้วข้าจึงอยากปลดมันออกเสีย อีกฝ่ายจะได้ไม่คิดสืบสาวเรื่องราวต่ออีก แบบนั้นไม่ดีกว่าหรือ ? อย่างน้อยก็เรียบง่ายกว่าการเสียเวลาเพิ่มระดับสิทธิ์ ท่านว่าไหม ?”
เมิ่งหลานเงียบไป
นางจ้องมองซูเฉิน
ซูเฉินยังคงรอยยิ้มไว้
ผ่านไปหลายอึดใจ เมิ่งหลานจึงถามขึ้น “ไม่อยากเผยแพร่ตำราเปิดพลังไคฮวงแล้วหรือ ?”
ซูเฉินแบมือไร้หนทาง “ถ้าอยากแล้วอย่างไร ? หากขายที่นี่ไม่ได้ ข้าออกไปขายที่โลกข้างนอกก็ย่อมได้ อย่างมากก็แปลงโฉมเสียหน่อยแล้วไปตั้งร้านขายริมถนน แร่ขายเล่มละ 10 เหรียญทองแดง หากขายผู้ใหญ่ไม่ได้ก็ขายเด็ก ๆ ‘นี่เจ้าหนู กระดูกเจ้าดูไม่เลว อาจจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ฝีมือฉมังหนึ่งในล้านก็ได้ ข้ามีตำราลับเรียกว่า “ตำราเปิดพลังไคฮวง” เชื่อว่าโชคชะตาคงลิขิตมาให้เจ้าได้ร่ำเรียนมัน ข้าขายมันเพียง 10 เหรียญทองแดงเท่านั้น’…… หากข้าดื้อดึงพอก็จะต้องขายมันได้แน่”
“……”
แม้นางจะรู้ว่าซูเฉินเพียงพูดไปอย่างนั้น แต่เมิ่งหลานก็อดรู้สึกเศร้าไม่ได้
แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มชั่วร้ายบนใบหน้าซูเฉิน ในที่สุดเมิ่งหลานก็เข้าใจเรื่องราว
นางเอ่ยขึ้น “บอกข้ามาว่าเจ้าต้องการอะไร ?”
“สิทธิพิเศษ” ซูเฉินตอบนาง “ข้าอยากได้ระดับสิทธิ์ที่ทำให้พวกบัดซบนั่นซ่อนประกาศข้าไม่ได้อีก หรือไม่ก็หากอยากจะซ่อนก็ต้องใช้เงินมากจนต้องคิดหนัก”
“เช่นนั้นไม่ได้” เมิ่งหลานส่ายหน้า “แดนฝันเองก็มีกฎที่สิ่งมีชีวิตในแดนต้องปฏิบัติตาม หากข้าทำได้ก็คงทำไปนานแล้ว เหตุใดเราจึงต้องมายืนคุยกันเช่นนี้ด้วยเล่า ?”
“แต่ท่านมอบโอกาสให้ข้าได้ใช่หรือไม่ ?”
“แล้วเจ้าต้องการโอกาสใด ?”
“โอกาสนอกกฎ โอกาสที่ข้าลงทุนน้อยแต่ได้กลับมามากที่สุด”