ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 61 โคลนยักษ์ (2)
บทที่ 61 โคลนยักษ์ (2)
เวรเอ๊ย ! เวร ! บัดซบจริง !
จางเซิ่งอันสบถออกมาด้วยความหัวเสีย
พวกเขานี่โชคร้ายเสียจริง !
เรื่องโกลาหลเกิดขึ้นเมื่อตอนที่จางเซิ่งอันและกลุ่มกำลังออกตามหาหญ้าอุโมงค์
หญ้าอุโมงค์เป็นสมุนไพรที่มีพลังวิญญาณสูง หญ้าอุโมงค์ที่เติบโตเต็มวัยแล้วสามารถสร้างอุโมงค์ใต้ดิน ยามพบอันตรายก็ซ่อนตัวอยู่ในนั้นได้อย่างรวดเร็วและเปลี่ยนตำแหน่งไปเรื่อย
ดังนั้นจึงทำให้เป็นหญ้าที่เก็บเกี่ยวได้ยากเย็นนัก
น้ำที่ได้จากรากหญ้าอุโมงค์สามารถนำมาเป็นส่วนประกอบเพื่อสร้างเครื่องมือต้นกำเนิดได้ ดังนั้นราคาในตลาดมันจึงสูงมาก
จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ พบหญ้าอุโมงค์เข้าโดยบังเอิญ แต่มันกลับมุดลงใต้ดินไป
เคราะห์ดีที่กลุ่มเขาชำนาญด้านการแกะรอย ตามร่องรอยที่หญ้าอุโมงค์ทิ้งไว้จนเข้าไปยังเขตแดนของโคลนยักษ์เข้า
พวกเขาคิดจะเก็บหญ้าอุโมงค์แล้วรีบจากไป แต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ เจ้าโคลนยักษ์จะคลั่งขึ้นมาแล้ววิ่งพุ่งออกมาจากป่าเสียอย่างนั้น
จางเซิ่งอันและคนอื่น ๆ ไม่อาจรับมือกับโคลนยักษ์ ดังนั้นจึงรีบถอยออกมาทันที
หากเป็นปกติแล้ว เมื่อโคลนยักษ์ไล่ผู้บุกรุกจนออกจากเขตแล้วมันก็จะกลับไปเฝ้าเขตดังเดิม แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดเจ้าโคลนยักษ์ถึงตามไล่ล่าพวกเขาไม่หยุด มันไม่ได้ไล่กวดได้เร็วมากนัก แต่ก้าวหนึ่งของมันเท่ากับ 4-5 ก้าวของพวกเขา แต่ละย่างก้าวสะเทือนปฐพี
โคลนยักษ์วิ่งพุ่งตามพวกเขามาด้วยแรงสะเทือนรุนแรง มันตามมังกรแล้งเจียงหยางที่เคลื่อนไหวได้ช้าที่สุดในกลุ่มทันเป็นคนแรก จากนั้นมันก็เหวี่ยงแขนยักษ์ของมันขึ้นไปบนอากาศ คลื่นพลังลมรุนแรงก่อตัวหมุนบ้าคลั่งอยู่ที่แขน
เจียงหยางรู้ว่าท่าไม่ดี ดังนั้นจึงรีบถอยและส่งหนึ่งฝ่ามือออกไป และเมื่อตอนที่โคลนยักษ์กำลังเหวี่ยงแขนมาทางเขานั่นเอง เขาก็ร้องขึ้น “จงขึ้นมา !”
กำแพงพิภพผุดขึ้นมาตรงหน้าโคลนยักษ์ทันที
แต่ถึงกระนั้น เมื่อประจันหน้าเข้ากับโคลนยักษ์อันทรงพลังก็ไม่อาจต้านทานได้
โคลนยักษ์ใช้มือใหญ่ของมันทุบเข้าที่กำแพงดิน ทำลายมันลงอย่างง่ายดาย
กำแพงดินแตกกระจายลงในพริบตา หากแต่มือข้างนั้นยังไม่หยุดขยับ เจียงหยางไม่อาจหลบทัน ดังนั้นจึงพยายามสร้างเกราะดินคุ้มกันตนเอง
ตูม !
แขนยักษ์กระแทกร่างเจียงหยางเข้าอย่างจัง
เจียงหยางกระเด็นไปราวกับดาวตก ไม่มีใครรู้ว่าถูกการโจมตีรุนแรงนี้เข้าไปเขาจะยังรอดชีวิตหรือไม่
โคลนยักษ์ยังไล่ล่าคนต่อ มันพุ่งกายมาถึงดาบระมาดเจิ้นขวง ยกเท้าใหญ่ยักษ์ของมันขึ้นเหยียบเขาในพลัน
จังหวะที่เจิ้นขวงกำลังจะถูกเหยียบจนแบนนั่นเอง เสียงกรีดร้องก็ดังลั่นขึ้น เงาดำสายหนึ่งเคลื่อนผ่านร่างเขาไป หยุดเท้าของโคลนยักษ์ไว้ได้ทันเวลา
เป็นวานรยักษ์เหล็กกล้านั่นเอง ร่างกายของมันทั้งใหญ่ทั้งกำยำเหมือนโคลนยักษ์ แต่มันเตี้ยกว่ามาก จึงได้แต่ยกสองมือค้ำเท้าโคลนยักษ์ไว้อย่างนั้นแล้วคำรามเสียงเกรี้ยว
เจิ้นขวงหลีกหนีจากความตายมาได้อย่างหวุดหวิด จินหลิงเอ้อร์เอ่ยขึ้นข้างหูเขา “รีบหนีเร็ว วานรยักษ์เหล็กกล้าต้านได้ไม่นาน”
อสูรร้ายระดับสูงนั้น เมื่อเทียบกับอสูรร้ายระดับสูงสุดจะนับว่าอ่อนแอมาก โคลนยักษ์นับว่าเป็นขั้นสุดของที่สุด ไม่มีทางที่วานรยักษ์เหล็กกล้าจะต้านทานมันได้เลย
วานรยักษ์เหล็กกล้าถูกโคลนยักษ์โจมตีจนเลือดท่วมตัว ทุกคนกลัวมากจนกระจัดกระจายหนีหายไปกันหมด
ทันใดนั้นเอง จินหลิงเอ้อร์ก็ร้องออกมาด้วยใบหน้าถอดสี
นางเอ่ยขึ้น “วานรยักษ์ตายแล้ว”
พวกเขาเหลือบมองไปด้านหลัง พบว่าวานรยักษ์เหล็กกล้าถูกโคลนยักษ์บี้ร่างจนแหลกเหลวเป็นชิ้นเนื้อ
อสูรร้ายระดับสูงยังต้านทานมันได้เพียงไม่กี่ชั่วอึดใจ
เมื่อเห็นภาพนี้แล้ว คนอื่น ๆ ก็ตกใจกลัวจนวิญญาณแทบหลุดจากร่าง ยิ่งสับฝีเท้าวิ่งหนีให้เร็วขึ้นกว่าเดิม
พริบตานั้นเอง นัยน์ตาจางเซิ่งอันก็ส่องประกายขึ้น
เขาเชี่ยวชาญด้านการยิงศร ดังนั้นจึงต้องมีสายตาเฉียบคมมาก ความตื่นตัวทำให้สายตาเขามองเห็นชัดเจนกว่ายามปกติ มองเห็นคนกลุ่มหนึ่งที่กำลังมองมาทางพวกเขาว่าเกิดอะไรขึ้น
จางเซิ่งอันจำหน้าคนเหล่านั้นได้ทันที ไอสังหารในใจพุ่งทะยานขึ้น
“วิ่งไปทางนั้น !” จางเซิ่งอันชี้นิ้วไปยังทิศหนึ่ง ก่อนจะหมุนตัวแล้วพุ่งออกไปยังทิศนั้นแทน
เดิมทีจางเซิ่งอันควรจะมุ่งหน้าผ่านกลุ่มพิสุทธิ์ไปทางด้านขวา หากไม่เปลี่ยนทางตอนนี้ก็คงผ่านไปแล้ว
แต่พวกเขากลับเปลี่นทิศแล้วพุ่งเข้าหาซูเฉินและคนอื่น ๆ แทน
เจิ้งเซี่ยและคนอื่น ๆ เสียหน้าเปลี่ยนไปในพลัน “แย่แล้ว ! พวกนั้นมันมาทางเราหรือ ?”
“ไอ้บัดซบจางเซิ่งอัน !” หวังโต้วซานร้องขึ้น “หนี !”
ทุกคนรีบออกวิ่งทันที
แต่เมื่อจางเซิ่งอันคิดใช้อีกฝ่ายเป็นตัวล่อแล้ว มีหรือจะปล่อยให้หลุดมือไปได้ง่าย ๆ? เมื่อเห็นศัตรูวิ่งหนี เขาก็หัวเราะบ้าคลั่ง คว้าคันธนูลงจากหลัง มือขวาขึงคันศรแล้วดึงโค้งออกมาอย่างแรง
สายของศรมารพฤกษานั้นทำมาจากผมยาวของมารพฤกษา เมื่อจางเซิ่งอันสัมผัสมันแล้ว ปีศาจตัวเล็กที่อยู่ตามคันศรก็เปล่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดออกมา
ทันใดนั้นปราณดำก็แผ่ออกมาล้อมรอบสายคันศรไว้ ก่อเกิดเป็นศรสีดำยาวขึ้นมาในที่สุด
ศรสีดำถูกยิงออกไปทางซูเฉินและคนอื่น ๆ กลายเป็นเส้นพลังสีดำแผ่ออกไปนับไม่ถ้วน ร่วงหล่นลงสู้พื้นกลายเป็นควันแล้วเลื้อยเข้าหากลุ่มซูเฉินคล้ายอสรพิษดำ ตวัดพันเกี่ยวพวกเขาไว้ ทำให้ไม่อาจมุ่งหน้าต่อไปได้
“จางเซิ่งอัน !”
“มีฝีมือก็ใช้ศรนั่นกับเจ้าโคลนยักษ์สิ ! เหตุใดมาใช้กับเรา !?”
ทุกคนเริ่มก่นด่าเขาเสียงดัง
แต่พวกเขารู้ดีว่าจางเซิ่งอันคงลองโจมตีโคลนยักษ์มาก่อนแล้วและคงไม่ได้ผล
จางเซิ่งอันเปล่งเสียงหัวเราะชั่วออกมา “พวกแกมันแค่ขยะไร้สายเลือด ตายไปใครจะสน ? เป็นหน้าที่ของพวกแกที่ต้องยอมสละชีพเพื่อผู้กล้าอย่างพวกข้าต่างหาก !”
แม้พวกเขาจะไม่เคยมีเรื่องบาดหมางกันมาก่อน จางเซิ่งอันก็ยังไม่ลังเลจะใช้วิธีนี้เพื่อล่อโคลนยักษ์ไปและหนีเอาตัวรอด
ว่าแล้วก็พุ่งเข้าหาอีกฝ่าย คิดจะผ่านอีกฝ่ายไป ทิ้งให้พวกเขาต้องรับมือกับเจ้าโคลนยักษ์ที่ไล่ล่ามา
อสูรโลหิตจงติ่ง จินหลิงเอ้อร์และคนอื่น ๆ ตามมาติด ๆ
พริบตานั้น จินหลิงเอ้อร์ก็สบตาเข้ากับซูเฉิน
จินหลิงเอ้อร์ใจสั่น “เซิ่งอันปล่อยซูเฉินกับหวังโต้วซานไปเถอะ !”
“ไม่มีทาง ! หากจะทำก็ต้องทำให้สุด ปล่อยรอดไปสักคนต่อไปต้องกลับมาสร้างปัญหาแน่ !” จางเซิ่งอันปฏิเสธ
ในเมื่อลงมือทำแล้วก็ต้องทำให้ถึงที่สุด จางเซิ่งอันไม่คิดลงมือทำสิ่งใดครึ่ง ๆ กลาง ๆ
ยามพูดจบ เขาก็พุ่งเข้าไปกลางกลุ่มอีกฝ่ายแล้ว จางเซิ่งอันยังคงมุ่งหน้าต่อไปไม่คิดหยุดยั้งฝีเท้า
แต่เมื่อเขาโฉบผ่านซูเฉินไป ซูเฉินกลับเอ่ยขึ้นว่า “ข้าบอกหรือว่าต้องให้เจ้ายอมปล่อยข้าไป ?”
ว่าไงนะ ?
จางเซิ่งอันตะลึงไป
ซูเฉินพลันทำท่ามือ ฉับพลันดาบยาวเล่มหนึ่งก็ปรากฏขึ้น
คือดาบหมาป่ากลืนจันทร์ !
เขาใช้มันสับเชือกดำที่รัดขาตนอยู่ เฉือนเชือกขังแค้นจนขาด
จากนั้นก็ตวักไปทางจางเซิ่งอัน
ยามเขาตวัดดาบ กังเหยียนก็พลันร้องเสียงดังขึ้นมา
“อ๊ากกกก !”
เมื่อกังเหยียนร้องคำรามขึ้น กล้ามเนื้อบนร่างก็แน่นขึ้นและต่อต้านเชือกดำที่พันร่า แขนทั้งสองยืดออกคล้ยเสาเหล็กขนาดใหญ่ ในที่สุดเชือกขังแค้นก็ถูกกระชากออก ขากนั้นก็เหินร่างขึ้น ง้างเกราะต้นกำเนิดยักษ์พุ่งเข้าปะทะกับจางเซิ่งอันจากอีกทางหนึ่ง
อวิ๋นเป้าเองก็ลงมือเช่นกัน
ราวกับเชือกขังแค้นเจอกับศัตรูตัวฉกาจ มันพลันจางหายไปจากร่างเขาเสียอย่างนั้น เปิดโอกาศให้อวิ๋นเป้าพุ่งเข้าใส่จางเซิ่งอัน ทิ้งคลื่นแสงเป็นทางยาวไว้เบื้องหลัง
คนทั้งสามต่างพุ่งเข้ามาทางจางเซิ่งอันจากรอบทิศ !