ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 73 เยว่หลงซา
บทที่ 73 เยว่หลงซา
เมื่อการสอบปากคำดำเนินต่อไป บรรยากาศก็ผ่อนคลายลงอย่างเห็นได้ชัด
เมื่อรู้ว่านางไม่ได้คิดทำร้ายผู้อื่นเพื่อประโยชน์ส่วนตน เขาจึงล้มเลิกความคิดหลายอย่างที่วางแผนไว้ก่อนหน้า
วิถีการชิงของจากหัวขโมยของเขานั้นขึ้นอยู่กับว่าอีกฝ่ายเป็นหัวขโมยจริงหรือไม่ เมื่อรู้จุดมุ่งหมายของนาง เขาจึงไม่อาจทำเช่นนั้นได้ด้วยไม่สบายใจ
แต่ก็ยังมีบางเรื่องที่ซูเฉินไม่อาจปล่อยวางได้ชั่วคราว
เขาถาม “เจ้าชื่ออะไร ?”
หญิงสาวชุดขาวตอบ “เยว่หลงซา เจ้าเล่า ?”
เมื่อได้ยินชื่อนาง ซูเฉินก็ชะงักไป “เยว่หลงซา? เจ้าก็คือเยว่หลงซาหรือ ?”
“รู้จักข้าหรือ ?”
“อันดับในห้องโถงกลั่นร้อยวิชาของเจ้าโดดเด่นเช่นนั้น ข้าจะไม่รู้จักเจ้าได้อย่างไร ? ไม่แปลกที่เจ้าแกร่งนัก ข้าเป็นคนลอบโจมตีเจ้า แต่เจ้ากลับเกือบเอาชนะข้าได้”
ระหว่างการต่อสู้ที่ถ้ำเจ้ายักษ์ การโจมตีของเยว่หลงซาทั้งหนักแน่นทรงพลัง ปรับตัวเขากับสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็ว ส่วนของซูเฉินนั้นเร่งรีบไม่รอบคอบ เป็นเรื่องจริงที่เขาเกือบพ่ายแพ้แก่นางไปแล้ว
เมื่อพบว่าอีกฝ่ายคือเยว่หลงซา ซูเฉินจึงไม่แปลกใจหรือกังขาเรื่องฝีมือนางอีกต่อไป นางแข็งแกร่งน้อยกว่าจีหานเยี่ยนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
“แต่สุดท้ายข้าก็แพ้” เยว่หลงซาตอบ น้ำเสียงฟังดูเศร้าสร้อย “เจ้าใช้กลใดเอาชนะข้ากัน ? เหตุใดข้าจึงไม่เห็นการโจมตีของเจ้า ?”
“มันคือสิ่งนี้” ซูเฉินหยิบลูกบอลเพลิงอัสนีออกมาให้นางดู
หลังจากอธิบายวิธีการใช้ เยว่หลงซาก็เผยสีหน้าเข้าใจ
ตอนที่เขาเปิดใช้วิชาหอคอยพิสุทธิ์เคลื่อนกาย ก็แอบเขวี้ยงเพลิงอัสนี ในตอนที่ปล่อยการโจมตีออกไปด้วย
แต่เขาเขวี้ยงเพลิงอัสนีไปที่ด้านหลังนาง อีกทั้งยังตั้งเวลาระเบิดไว้ ดังนั้นเยว่หลงซาจึงไม่คาดคิดว่าจะมีการโจมตีจากเขาได้ ส่งผลให้การลอบโจมตีครั้งนี้ของเขาประสบความสำเร็จ
แม้จันทราเร้นกายของนางจะแข็งแกร่ง แต่ความสามารถในการป้องกันของนางเมื่อออกจากแสงจันทร์นั้นต่ำมาก อีกทั้งนางยังบาดเจ็บอยู่แล้ว ดังนั้นถูกพลังเข้าไปจึงไม่อาจทนไหว
เมื่อเข้าใจว่าเหตุใดตนจึงพ่ายแพ้ไป เยว่หลงซาก็อารมณ์ดีขึ้นมาก “เช่นนั้นก็ไม่ใช่ว่าข้าฝีมือด้อยกว่าเจ้า แต่เป็นเพราะเจ้ามีความเข้าใจมากกว่าข้า”
“……”
สำหรับซูเฉิน ชนะคือชนะ แพ้คือแพ้ ไม่จำเป็นต้องหาข้ออ้างเช่นนั้น
ในการต่อสู้จริง วิธีใดที่สามารถทำให้รอดชีวิตได้นับว่าดีทั้งสิ้น
อีกทั้งเขาทุ่มแรงและเวลาในการพัฒนาเพลิงอัสนีไปมากมาย ดังนั้นอย่างน้อยก็ควรนับมันรวมไปในความแข็งแกร่งของเขาด้วย
หากแต่เขาไม่คิดทะเลาะกับนางด้วยเรื่องนี้
เยว่หลงซาถาม “เจ้าชื่ออะไร ?”
“ซูเฉิน”
“เจ้าคือซูเฉินหรือ ?”
“เจ้าก็รู้จักข้า ?”
“อัจฉริยะไร้สายเลือดที่ติดอันดับ 1 ใน 5 ของการสอบที่มณฑลสามเทือกเขา ทว่าหลังจากเข้าสถาบันมังกรซ่อนเร้นได้ก็หายไปไม่กลับมา ดาวตกที่ไม่แม้แต่จะเข้าร่วมการประลองสิ้นปี”
ซูเฉินถูคางตน “คนอื่น ๆ มองข้าเป็นเช่นนั้นหรือ ?”
“อย่างน้อยภายนอกผู้คนก็มองเจ้าเช่นนั้น แต่ตอนนี้ข้าแล้วว่าผิดนัก” เยว่หลงซาตอบ “อย่างน้อยเจ้าก็แกร่งพอจะติด 10 อันดับแรกของการจัดอันดับมังกรผันเปลี่ยนในชั้นปีเรา”
“ขอบคุณที่ยอมรับข้าเช่นนั้น” ปลาเสียบไม้ย่างเสร็จในที่สุด ซูเฉินส่งให้เยว่หลงซาไม้หนึ่ง
เยว่หลงซาไม่แสร้งทำใด ๆ รับอาหารมาก็เริ่มกัดทันที นางกินไปถามไป “นี่ แล้วเจ้ามีความสัมพันธ์ใดกับอารามนิรันดร์กันแน่ ? เหตุใดจึงช่วยพวกมัน ?”
ซูเฉินเล่าเรื่องที่เขาบังเอิญไปล่วงรู้ความลับของอารามนิรันดร์แล้วถูกไล่ล่าเมื่อหลายปีก่อน หากแต่เขาใช้ความลับเรื่องนี้ตลบหลังองค์กรครั้งแล้วครั้งเล่า แน่นอนว่าเขาเล่าเพียงการพบเจอกันครั้งแรกเท่านั้น ไม่ได้เอ่ยถึงเนินกลบวิญญาณแม้แต่น้อย
แต่ถึงกระนั้น เยว่หลงซาก็ตะลึงไปกับเรื่องราวที่เขาเล่านัก
เด็กหนุ่มตาบอดที่ถูกตระกูลทอดทิ้ง ได้แต่พึ่งลำแข้งตนเองต้านทานอารามนิรันดร์อย่างกล้าหาญ สุดท้ายก็ยืมความแข็งแกร่งขององค์กรมาเพื่อหาประโยชน์ได้ ทำเช่นนี้ได้นับว่าเก่งไม่เบา
“เหลือเชื่อนัก เจ้ากล้าเล่นกับอารามนิรันดร์ราวกับอีกฝ่ายอยู่ในกำมือเจ้าได้เช่นนี้” เยว่หลงซาถอนหายใจ
“เรียกว่าอยู่ในกำมือไม่ได้หรอก เหมือนช่วยเหลือกันมากกว่า” ซูเฉินเอ่ยแก้คำเยว่หลงซา “ข้าไม่คิดว่าข้าจะสามารถควบคุมให้องค์กรทำตามต้องการได้ ที่อารามนิรันดร์ยังทนอยู่กับข้าเป็นเพราะข้ากุมจุดอ่อนพวกเขาไว้ แต่ข้าก็ยังให้ความหวังว่าอีกฝ่ายจะสามารถหาประโยชน์จากข้าได้อีกมาก”
มองจากภายนอกราวกับซูเฉินหลอกใช้อารามนิรันดร์อยู่เรื่อย ๆ หากแต่มีเมื่อไรที่อารามนิรันดร์ร่วมมือกับเขาแล้วไม่ได้ประโยชน์กัน ?
ไม่ว่าจะเป็นตอนทำลายกองกำลังหุบเขาเงาหรือร่วมการต่อสู้ที่เนินเมฆาแดง อารามนิรันดร์ก็ได้ประโยชน์ไปไม่น้อย แม้เรื่องเนินกลบวิญญาณอาจจ่ายไปมากหน่อย ด้วยต้องเชิญคนนอกมาปรุงยาให้ แต่หากให้ซูเฉินเป็นคนรับหน้าที่นั้น ทางองค์กรก็ไม่จำเป็นต้องส่งงานนี้ให้คนนอกอีก
อาจกล่าวได้ว่าข้อตกลงต่าง ๆ ที่มีกับซูเฉินแต่ละครั้งนั้น ทางองค์กรไม่เคยเสียเลย มีแต่เรื่องที่ว่าฝ่ายใดได้รับประโยชน์มากกว่ากันเท่านั้น
สำหรับองค์กรที่แผนใกล้ล่มเต็มทีเช่นนั้นแล้ว อย่างไรก็ไร้อำนาจต่อรอง
“ไม่ว่าอย่างไรก็มีคนไม่มากที่ทำอย่างเจ้าได้” เยว่หลงซาเอ่ย ท่าทางยังประทับใจ
“แค่โชคช่วยเท่านั้น อีกทั้งองค์กรยังเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่องค์กรที่รู้จักแต่การสังหารคนเพื่อจบภารกิจอีกต่อไป ตอนนี้รู้จักการถ้อยทีถ้อยอาศัยและรู้จักล่าถอยแล้ว”
“นั้นเพราะเจ้ายังไม่เห็นด้านที่โหดร้ายเลือดเย็นของมัน” เยว่หลงซาคำรามเสียงเย็น
ซูเฉินได้ยินคำนางเช่นนั้นก็ชะงักไป
จากนั้นเขาถึงนึกเรื่องบางอย่างขึ้นได้ “ใช่แล้ว เจ้ายังไม่บอกเหตุผลที่เจ้าคิดจัดการองค์กรเลย ?”
นัยน์ตาเยว่หลงซาเริ่มชื้นแฉะ
ซูเฉินรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง
เยว่หลงซาเอ่ยตอบ “เมื่อหลายปีก่อนหน้านี้ มันสังหารพ่อข้า”
“……”
แน่นอนว่าเขารู้สึกเหมือนถูกคนตบหน้าอย่างแรง
ตบหน้าคนอื่นอาจเป็นเรื่องสนุก แต่เมื่อถูกตบเองย่อมไม่รู้สึกสนุกด้วย
ซูเฉินที่เพิ่งกล่าวชื่นชมอารามนิรันดร์ไปพลันไร้คำพูดขึ้นมา
ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงเรื่องบางอย่าง นัยน์ตาที่เจือด้วยอารมณ์ซับซ้อนจ้องไปทางเยว่หลงซา
ไม่มีทาง เขาคิดในใจ
เยว่หลงซาเห็นสายตาเขาแล้วไม่สบายใจจึงถามขึ้นเสียงเบา “เจ้ามองอะไร ?”
ซูเฉินหยุดคิดครู่หนึ่ง จากนั้นเอ่ยถามขึ้น “พ่อของเจ้าใช่…… เยว่อูตี้หรือไม่ ?”
เยว่หลงซาจ้องเขาด้วยความตกตะลึง “เจ้ารู้ได้อย่างไร ?”