ราชันบัลลังก์เลือด(原血神座) - บทที่ 74 ลาจาก
บทที่ 74 ลาจาก
บรรยากาศเริ่มหนักหน่วงขึ้นมาในพลันราวกับมีใครเอาหินกดไว้
คำที่คนพวกนั้นเอ่ยขึ้นลับ ๆ ในป่าเมื่อครั้งนั้นดังก้องในหูเขาอีกครา
สุดท้ายก็ลงมืองั้นหรือ ?
เพื่อให้สามารถดำเนินแผนการได้อย่างประสบความสำเร็จจึงต้องสังหารเยว่อูตี้
แต่ละคนมีมุมมองต่อเรื่องต่าง ๆ ไม่เหมือนกัน มุมมองนั้นขึ้นอยู่กับสถานการณ์และข้อจำกัดของคนนั้น ๆ
เมื่อครั้งซูเฉินร่วมมือกับอารามนิรันดร์ เขาได้สัมผัสด้านที่เป็นมิตรและขบขันขององค์กร ยามเวลาผ่านไปก็เริ่มมองข้าม ‘ความน่ากลัว’ ของอารามนิรันดร์ไป ดังนั้นเด็กหนุ่มจึงย่อมมองว่ามันเป็นองค์กรไร้พิษภัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด แต่สำหรับเยว่หลงซา นางกลับมองพวกมันเป็นองค์กรที่จะทำทุกวิถีทาง ไม่ว่าจะเปิดเผยหรือจะปิดบัง เพื่อทำให้บรรลุจุดมุ่งหมาย เป็นองค์กรอันน่าหวั่นเกรงที่กล้าลอบสังหารผู้บัญชาการกองกำลังปฏิบัติการลับ
ไม่เกี่ยวว่าสิ่งไหน ‘จริง’ หรือ ‘ปลอม’ เพราะคนทั้งคู่ได้สัมผัสด้านที่แท้จริงขององค์กรทั้งสิ้น
สามารถวางแผนการเจ้าเล่ห์ สามารถใช้วิธีถอยคนละก้าว ทั้งยังยอมล่าถอยได้ หากแต่ก็สามารถสังหารคนที่ขวางทางได้อย่างไม่ใส่ใจ ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีฐานะเช่นไรด้วยเช่นกัน
เมื่อเห็นสีหน้าซูเฉิน เยว่หลงซาพลันเข้าใจเรื่องบางอย่าง
นางเอ่ยขึ้น “ความลับที่เจ้าได้ยิน…… เกี่ยวข้องกับพ่อข้าหรือไม่ ?”
ซูเฉินพยักหน้าเบา ๆ “ตอนนั้นข้าน่าจะเตือนเขาได้ แต่พอรู้ว่าเขาเป็นหัวหน้ากองกำลังปฏิบัติการลับ ข้าก็รู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องทำเช่นนั้น เพราะอย่างไรก็คงเจอเรื่องเช่นนี้อยู่ทุกวัน คงจะมีวิธีป้องกันเป็นแน่ ดังนั้น……”
“เจ้าจึงมองข้ามเรื่องทุกอย่าง ปล่อยให้พวกมันสังหารพ่อข้า ?” เยว่หลงซาเอ่ยเสียงสั่น
“ข้า……” ซูเฉินอยากตอบว่าเขาไม่ได้มองข้าม ทั้งยังไม่คิดว่าองค์กรจะทำตามแผนการจริง แต่เขาไม่อาจเอ่ยคำใดออกไปได้
เขาไม่อาจพูดโต้แย้งได้เลย เพราะทั้งหมดเป็นความจริง !
เพื่อรักษาชีวิตตนและใช้ประโยชน์จากองค์กร เขามองข้ามไปจริง ๆ
เมื่อสบสายตาเข้ากับนัยน์ตาเจือความเจ็บปวดและโกรธเกรี้ยวของเยว่หลงซา ซูเฉินก็ไม่รู้ว่าตนควรพูดสิ่งใด
ไม่นานน้ำตาก็ไหลนองหน้าเยว่หลงซา
นางอยากสาปแช่งเขา อยากโทษเขา แต่นางไม่อาจเอ่ยได้
เยว่หลงซาไม่ใช่คนไร้เหตุผล นางเข้าใจสถานการณ์ซูเฉินในตอนนั้นดี ก่อนหน้าที่นางจะรู้ว่าความลับที่เขาได้ยินนั้นเกี่ยวพันกับท่านพ่อ นางยังเอ่ยชมเขาไปอยู่เลย การตัดสินใจของซูเฉินในตอนนั้นไม่มีสิ่งใดเป็นเรื่องผิด
แต่ก็เป็นเพราะเรื่องนี้ ความเจ็บปวดในใจนางจึงยิ่งทวีคูณยิ่งขึ้น
นางไม่อาจเกลียดเขาได้ ความแค้นของนางไร้ที่ปลดปล่อย ความเจ็บปวดในใจนั้นยากเกินจะกล้ำกลืนฝืนทน แต่นางกลับไม่อาจปลดปล่อยมันออกมาได้ ทำได้เพียงฝืนกดมันไว้ ไม่อาจปล่อยให้เล็ดลอดออกมา
ทันใดนั้นเยว่หลงซาก็กระอักเลือดออกมา
ซูเฉินตกใจ รีบเข้าไปช่วยนาง หากแต่ถูกนางผลักออกไป
ซูเฉินจึงทำได้เพียงเอ่ยเสียงเบา “ข้าขอโทษ”
เยว่หลงซาส่ายหน้า ไม่อยากมองเขา
ซูเฉินมองใบหน้าซีดขาวของนางแล้วยิ่งรู้สึกผิดกว่าเก่า
เขาคิดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นดึงแหวนวงหนึ่งออกมาวางไว้ตรงหน้าเยว่หลงซาพร้อมกับขวดยาอีกหนึ่งขวด “แหวนวงนี้เป็นของเจ้า ข้าไม่ได้แตะต้องของใด ๆ ในนั้น ส่วนยานี่ช่วยจขัดผลของผงขัดพลังปราณและสสารอื่น ๆ ได้ เจ้าเก็บเอาไว้ใช้เถอะ เรื่องพ่อเจ้าข้าเสียใจด้วย หากเป็นไปได้ต่อไปข้าไม่คิดจะเกี่ยวข้องกับองค์กรอีก”
ซูเฉินพูดจบก็หันหลังเดินจากไป
เยว่หลงซาจ้องมองแผ่นหลังที่ค่อย ๆ เดินจากไปช้า ๆ ใบหน้าเผยอารมณ์ซับซ้อน
——————————————
หลังจากเดินจากเยว่หลงซามาแล้ว ซูเฉินก็กลับไปยังศิลาส่องกลับ
เมื่อซูเฉินมาถึงก็เย็นมากแล้ว ทุกคนจึงจากไปกันหมด มีเพียงคนไม่กี่คนที่ยังรั้งรออยู่
หวังโต้วซาน อวิ๋นเป้า และคนอื่น ๆ ต่างอยู่ที่นั่นทั้งหมด แต่กลับไร้วี่แววของเจิ้งเซี่ยหรือเหยียนฟู่ซิง
ซูเฉินเห็นดังนั้นในใจก็รู้สึกวูบหล่น
เมื่อเห็นเขาเดินเข้ามา หวังโต้วซานก็เดินเข้ามาหา “เจ้าจัดการจางเซิ่งอันแล้วหรือ ?”
ซูเฉินพยักหน้า “เจิ้งเซี่ยกับเหยียนฟู่ซิง……”
หวังโต้วซานถอนหายใจ “ตายแล้ว”
“ตายได้อย่างไร ? ถูกโคลนยักษ์สังหารหรือ ?”
“เป็นกวนซานอิงกับเจียงหยาง……” หวังโต้วซานอธิบายเรื่องที่เกิดขึ้นหลังเขาจากไปคร่าว ๆ
เมื่อได้ยินว่าหลังเขาจากไป ทุกคนก็เลือกสู้กับอีกฝ่ายแม้จะถูกโคลนยักษ์ไล่โจมตี ซูเฉินประหลาดใจนัก
เขาขมวดคิ้วแน่น “เจ้าหมายความว่าในกลุ่มทะยานฟ้า นอกจากจินหลิงเอ้อร์แล้ว คนอื่น ๆ ก็ตายกันหมดเลยหรือ ?”
จินหลิงเอ้อร์ไม่เป็นไรเพราะสุดท้ายนางเลือกไม่เข้าร่วมการต่อสู้
กังเหยียนพบนาง แต่ทั้งคู่ไม่ได้ประมือกันทำเพียงแต่จ้องกันไปมาอย่างเงียบเชียบเท่านั้น
แม้จินหลิงเอ้อร์จะเสียวานรยักษ์เหล็กกล้าไปแล้ว แต่กังเหยียนก็ยังไม่แข็งแกร่งพอจะเป็นคู่ต่อสู้ของจินหลิงเอ้อร์อยู่ดี
ส่วนจินหลิงเอ้อร์เองก็ไม่มีใจคิดต่อสู้ ดังนั้นนางพบกับกังเหยียนเช่นนี้ย่อมดีที่สุดแล้ว
เคราะห์ดีที่นางไม่คิดต่อสู้ ไม่เช่นนั้นกลุ่มพิสุทธิ์คงสูญเสียคนมากกว่าสองเป็นแน่
“อืม !” หวังโต้วซานผงกหัว “เรื่องสำคัญตอนนี้คือต้องตัดสินใจว่าเราจะรับมือกับสถานการณ์อย่างไร”
สมาชิกตระกูลสายเลือดชั้นสูง 6 คนตายพร้อมกันเช่นนี้ ไม่ว่าอย่างไรต้องเป็นเรื่องใหญ่แน่
ซูเฉินพึมพำ “เจ้าหมายความว่า……”
“ไม่ว่าอย่างไรเรื่องนี้ก็เผยออกไปไม่ได้” หวังโต้วซานตอบ “จะให้ 6 ตระกูลนั้นรู้ไม่ได้ว่าพวกเราเป็นคนสังหารพวกมัน ทุกคนต้องบอกตรงกันว่าโคลนยักษ์สังหารพวกมัน”
“ไม่แน่ว่าใช้เรื่องนี้เพียงเรื่องเดียว อีกฝ่ายก็ยังอาจไม่พอใจ” ซูเฉินเอ่ยเสียงเบา
ซูเฉินที่ประมือกับจางเซิ่งอันรู้ดีว่า 6 คนนั้นต้องมีไพ่ตายซ่อนไว้มากมายเท่าใด
โคลนยักษ์อาจไล่ตามคนทั้งหมดได้ แต่หากจะสังหารคนทั้งหมดคงเป็นไปได้ยาก อีกทั้งมันไม่มีทางมีความเร็วเหนือกว่ากวนซานอิงได้เลย
หวังโต้วซานตอบเสียงสบาย “จะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่อีกฝ่าย เราจัดการเรื่องฝั่งเราให้ดีเป็นพอ อย่างน้อยอีกฝ่ายก็โทษเราไม่ได้”
ซูเฉินหัวเราะ “ดูท่าตอนข้าไม่อยู่เจ้าจะคิดจัดการเรียบร้อยแล้ว”
หวังโต้วซานหัวเราะเสียงต่ำ “ถึงข้าจะอ้วน แต่ก็ไม่ใช่คนโง่ ยังดีที่โคลนยักษ์นั่นคลั่งขึ้นมาจริง ๆ หลายคนก็เห็นมันแล้ว ส่วนศพข้าจัดการแล้ว ไม่มีใครพบแน่ อย่างน้อยตอนนี้ก็คงไร้ปัญหา แต่จะยื้อไปได้นานเท่าไหร่นั้น……”
หวังโต้วซานส่ายหัว “อย่างไรก็จะยื้อไว้ให้ได้นานที่สุด”
หากแต่น้ำเสียงที่เขาเปล่งออกมานั้น เห็นได้ชัดว่าไม่คิดว่าจะยื้อไว้ได้นานนัก
ซูเฉินยิ้มบาง “บางเรื่องก็ขึ้นอยู่กับโชคชะตา เหตุใดจึงมองในแง่ร้ายเช่นนั้น ? หากไม่พบย่อมเป็นเรื่องดี แต่หากพบก็แค่เตรียมสู้ ใยต้องเกรงกลัว ?”
หวังโต้วซานดูตกใจ “เจ้าดูไม่เครียดเรื่องนี้เลย”
ซูเฉินตอบ “ตั้งแต่จางเซิ่งอันพุ่งเข้าโจมตีเราพร้อมกับโคลนยักษ์ ข้าก็รู้แล้วว่าต้องทำอย่างไร…… บางสถานการณ์หากเราล่าถอยย่อมมีผลลัพธ์ไม่ดี พวกตระกูลสายเลือดชั้นสูงผู้หยิงผยองเหล่านั้นมองชีวิตคนอื่นเป็นผักปลา ในเมื่อยอมถอยแล้วไม่ได้รับความเคารพกลับมา พวกเราก็ควรสู้ เท่านั้นเอง ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว”
เขาพูดแล้วก็หันไปมองหวังโต้วซาน “เจ้าเชื่อหรือไม่ ไม่ว่าจะปกปิดได้ดีเพียงไร พวกนั้นก็จะมาหาเรื่องเราอยู่ดี ? ตระกูลสายเลือดชั้นสูงพวกนั้นต้องคลั่งแน่เมื่อได้รับข่าวการตายของลูกหลานอันเป็นที่รัก อย่างไรก็ต้องหาคนมาแก้แค้น และแม้จะไม่มีคนนั้น พวกเขาก็จะสร้างขึ้นมา”
หวังโต้วซานใจร่วงหล่น “เจ้าจะบอกว่าอย่างไรพวกนั้นก็ต้องมาหาเรื่องเราเป็นแน่งั้นหรือ ?”
“พวกข้า ไม่รวมเจ้า” ซูเฉินตอบ “เจ้าเองก็มาจากตระกูลสายเลือดชั้นสูง หากหยุดติดต่อกับคนอื่น ๆ ไป เช่นนั้นน่าจะไม่เกี่ยวพันด้วย”